ท่ามกลางวงดนตรีในวงการเพลงไทยมากมาย TELEx TELEXs นับเป็นหนึ่งในวงที่สามารถยืนระยะ และมีแฟนเพลงคอยติดตามผลงานใหม่ๆ ของพวกเขามาอย่างสม่ำเสมอ
เราคงไม่ต้องอธิบายมากกับผลงานที่พวกเขาเคยฝากไว้ในอดีต เพราะเพลงอย่าง ‘SHIBUYA’ ‘LABELLE’ หรือ ‘เรือใบ’ ก็กลายเป็นเพลงที่ติดลมบน ผู้คนมากมายสามารถร้องตามกันได้ไปแล้ว ยังไม่นับการแสดงโชว์ซึ่งพวกเขาเต็มที่อยู่อย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ TELEx TELEXs เป็นวงขวัญใจชาวไทยไปได้ในที่สุด
ตรงหน้าของเราในตอนนี้ คือ 3 สมาชิกของ TELEx TELEXs คือ
ออม—สรรัตน์ ลิมปะนพรัตน์ (ร้องนำ)
ปิ้ว—กษิเดช ฤทธิ์งาม (ซินธิไซเซอร์)
นาว—คิรากร อิงควราภรณ์กุล (กีต้าร์และคีย์บอร์ด)
วันนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ชื่อเท่ๆ ‘WHEN YOU HAVE NOTHING TO DO JUST GO TO SLEEP’ แปลเป็นไทยง่ายๆ ได้ว่า ถ้าไม่มีอะไรทำก็จงไปนอน
บทสัมภาษณ์นี้ จะพูดคุยกับพวกเขาถึงผลงานใหม่ และประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับจากการทำวงดนตรีร่วมกัน จากวงที่ตั้งใจทำเล่นๆ ในหมู่เพื่อนสนิท มาสู่วงที่ตั้งใจผลิตผลงานของตัวเองออกมา เพื่อเป็นเพื่อนคนหนึ่งให้กับคนฟัง
The MATTER : เล่าที่มาของอัลบั้มใหม่ให้ฟังหน่อย
ปิ้ว : อัลบั้มนี้ชื่อ ‘WHEN YOU HAVE NOTHING TO DO JUST GO TO SLEEP’ ความหมายคือ ก่อนที่เราจะนอน เราชอบอยากหาอะไรทำเต็มไปหมดเลย พอนอนไม่หลับก็คิดนู่นคิดนี่ ก็นอนไม่หลับอยู่อย่างนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่เราใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะที่สุด เราชอบว่าโมเมนต์ตรงนั้นดีเลยเอามาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม
ออม : ชื่ออัลบั้มมันมีความประชดประชันด้วยเหมือนกันนะ คือถึงแม้จะบอกว่า ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปนอนเถอะ แต่การที่ไปนอนก็ไม่ได้นอนจริงๆ หรอก เพราะต้องคิดอะไรไปเรื่อย ในจังหวะก่อนที่เราจะนอนนั้น เราจะมีความคิดที่ฟุ้งที่สุดเลย
ปิ้ว : อีกอย่างคือเราชอบชื่อนี้เพราะภาษามันดูคล้องจองด้วย (หัวเราะ) มันเป็นประโยคที่ดูตลกแล้วก็เหมือนมีความหมายอะไรบางอย่าง
The MATTER : วางคอนเซ็ปต์อัลบั้มนี้ไว้ยังไงบ้าง
ออม : เราอยากให้แฟนเพลงรู้จักวงเราหลายๆ มุมมากขึ้น เห็นได้จากเพลงที่ปล่อยออกมาซึ่งมีอารมณ์ที่ต่างกัน มันอาจจะไม่ใช่ TELEx TELEXs แบบในภาพจำเก่าๆ เช่น จากเพลง ‘SHIBUYA’ หรือ ‘เรือใบ’ เพราะมันฉีกจากเดิมไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น เราก็รู้สึกว่า ถ้าวงเราเป็นแบบเดิมมากๆ ต่อไป เมื่อถึงสักวันนึงคนก็ต้องถามหาการเติบโตของวงเราอยู่ดี ดังนั้น พวกเราเลยตั้งใจที่อยากจะให้คนได้ฟังดนตรีที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
The MATTER : ดูเหมือนว่าวงพยายามจะเอาตัวเองออกจากภาพจำว่าเป็นวงแนว synth pop อย่างเดียว
ออม : เราว่าการเป็นศิลปินมันอาจจะไม่ได้หมายความว่า คุณถูกจำกัดอยู่ในหมวดใดหมวดหนึ่ง เราคิดว่าในยุคสมัยนี้ มันยากมากเลยนะ ที่จะบอกว่าคุณเป็นศิลปินแนวไหน เพราะว่าแต่ละวงมีสีของตัวเอง มีคาแรคเตอร์ของตัวเอง โดยที่สไตล์เหล่านั้นอาจจะเป็นการผสมผสานจากหลายๆ อย่างมารวมกัน จนมันออกมาเป็นตัวเขาเอง พอมาอัลบั้มนี้เราเลยรู้สึกว่า ไม่อยากถูกจำกัดความว่าคุณเป็น synth pop นะ แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าคุณฟังจริงๆ ก็จะรู้ว่านี่ก็ยังเป็นพวกเราอยู่ดี
เราแค่มีความรู้สึกว่า การที่คุณจะเขียนเพลงเศร้า มันไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงช้า เพราะเวลาเราไปโชว์ เราไม่อยากให้คนดูออกมาเศร้าลงไปอีกกับเพลงของเรา เราก็เลยคิดว่า เพลงเศร้ามันก็อยู่ได้ในหลายๆ ดนตรีและหลายๆ จังหวะ
The MATTER : เราแอบไปดูการเรียงเพลงในอัลบั้มนี้มา ดูเหมือนว่าเรื่องราวมันก็ต่อเนื่องกัน
ปิ้ว : ใช่ เพราะเราอยากให้ทุกคนฟังเพลงทั้งอัลบั้ม เพราะแต่ละเพลงมันมีสตอรี่ที่ฟังเรียงต่อกันได้เลย
ออม : เพลงแต่ละเพลงมันมีความร้อยเรียงกันอยู่ ถึงแม้ว่าแต่ละเพลงมีเรื่องราวของตัวเอง เรามองว่าการทำเพลงมาหนึ่งอัลบั้มแล้ว ก็ไม่อยากทำให้คนฟังต้องกดข้ามเพลงใดเพลงหนึ่งไป
ปิ้ว : ยกตัวอย่างใน track ที่ 6 มันมีความเชื่อโยงอยู่นะ คือมันเป็น track ชื่อเดียวกับอัลบั้มเลย มันเหมือนเป็น intro ของเพลง ‘หรือฉันเองที่ขังเธอไว้ในความทรงจำ’ จริงๆ แล้วชื่อเพลงมันก็เกี่ยวกับเนื้อหาด้วยนิดหน่อย
The MATTER : ตอนแต่งเพลง ‘หรือฉันเองที่ขังเธอไว้ในความทรงจำ’ ปิ้วแต่งมันขึ้นมาด้วยเรื่องราวแบบไหน
ปิ้ว : ผมแต่งเพลงนี้ให้แม่ เพราะหลังจากที่พ่อเสียไป ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านที่เชียงใหม่ แม่ก็จะชอบพูดถึงพ่อให้ฟังเสมอ เราเลยรู้สึกว่า จริงๆ เราสามารถแต่งเพลงนี้ให้แม่ได้ เพื่อบอกให้แม่เข้มแข็งได้ อยากให้เข้มแข็ง อยากให้กลับมารักตัวเองให้มากที่สุด
ออม : ต่อให้จริงๆ นี้เพลงนี้จะแต่งขึ้นมาจากเรื่องราวของปิ้ว แต่เพลงนี้มันก็ใช้ได้ในหลายสถานการณ์ สุดท้ายแล้วเราก็อยากจะเป็นเพื่อนของคนฟัง เรามองว่า เพื่อนก็มีหลายอารมณ์ สนุกด้วยกัน ทะเลาะกัน ต้องเตือนสติกันในบางเรื่อง ซึ่งเพลงนี้มันก็ให้อะไรแบบนั้นเยอะ
The MATTER : แล้วในฐานะที่ออมเป็นนักร้องนำ ออมตีความเพลงนี้ยังไง
ออม : เราอยากให้คนฟังมูฟออนได้ เวลาเราร้องเพลงนี้ เราอยากบอกทุกคนว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือการกลับมารักตัวเอง เพราะตั้งแต่คุณเกิดมาจนคุณตาย สมมติว่าคุณส่องกระจกทุกวัน คุณก็จะเข้าใจว่าคนที่เราต้องอยู่ด้วยตลอด ก็คือตัวเราเองนี่แหละ ดังนั้นก็ควรจะรักคนที่อยู่กับเรามากที่สุด
The MATTER : ณ จุดไหน ที่คิดว่าเราควรกลับมารักตัวเองได้แล้ว
ออม : การที่คนๆ นึงมีความสัมพันธ์กับอีกคน ถึงแม้เราจะอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าวันไหนความสัมพันธ์มันบั่นทอนชีวิตเราแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่เราต้องอยู่ด้วยก็คือตัวเราเองและรักตัวเอง
The MATTER : ดูเหมือนว่าพวกคุณทำเพลงออกมา โดยมองว่าคนฟังคือเพื่อนจริงๆ เลยอยากรู้ว่า ถ้าเปรียบ TELEx TELEXs เป็นเพื่อนสักคน วงนี้จะเป็นเพื่อนในแบบไหนให้กับคนฟัง
ออม : TELEx TELEXs เป็นเหมือนกับเพื่อนที่อยู่ด้วยในทุกสถานการณ์กับชีวิตเขา สนุกก็มี เศร้าก็เยอะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนเวลาเศร้าเสียมากกว่า เหมือนเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันตลอด
ปิ้ว : เรามองว่าเป็นเหมือนรูมเมทคนหนึ่งที่อยู่กับเพื่อนด้วยมาเสมอ
ออม : ใช่ๆ เป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาจนรู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง ชีวิต ณ ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง คุณควรจะทำตัวยังไง หรือแค่อยากมีคนคอยรับฟังเราก็ช่วยเป็นเพื่อนแบบนั้นได้
ปิ้ว : อัลบั้มนี้มีหนึ่งเพลง มันเป็นคอนเซ็ปต์ที่เราอยากทำมาตลอด เราพยายามทำให้เป็นเพื่อนกับคนฟัง ในอัลบั้มนี้ก็มีหลายเพลงที่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งกับเขา
ออม : เพลง ‘หรือฉันเองที่ขังเธอไว้ในความทรงจำ’ จริงๆ แล้วเนื้อเพลงมันก็มีโหมดเศร้า แต่สุดท้ายแล้วเราก็อยากให้ทุกคนกลับมารักตัวเองดีกว่า
The MATTER : เราเห็นภาพในงาน Cat Expo ครั้งล่าสุด ที่คนฟังสามารถร้องตามเพลงนี้ได้เยอะมากๆ ทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งปล่อยเพลงออกมาได้ไม่นานเลย
ออม : เราเซอร์ไพรส์ทุกครั้งเลยนะ เพราะการร้องตามเราได้แปลว่าเขาต้องฟังเพลงของเรามาเยอะขนาดไหนถึงจะร้องได้ขนาดนี้ เหมือนทุกคนทำการบ้านมาให้เรารู้สึกดี เราเลยรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เล่นแล้วมีคนร้องตาม
The MATTER : ในฐานะที่ได้ออกไปเล่นดนตรีกันบ่อยๆ อยากรู้ว่า TELEx TELEXs ทำยังไงเพื่อไม่ให้เบื่อกับการเล่นเพลงเดิมซ้ำๆ
ออม : เราไม่เบื่อนะ ทุกครั้งที่เราไปร้องเพลง เราสนุกกับสิ่งที่เราสื่อสารออกไป ยังไงมันก็ไม่มีทางน่าเบื่อ เพราะสำหรับเราแล้ว ต้องทำการบ้านเพิ่มด้วยซ้ำ เพราะในแต่ละครั้งที่ออกไปร้องเพลง เราจะคิดว่าอยากสื่อสารเรื่องราวแบบไหนออกไปด้วย
ยิ่งเราเป็นคนร้องที่อยู่ข้างหน้า การเล่นสดเลยมีเสน่ห์ของมันอยู่ด้วยนะ เพราะต่อให้เราเล่นเพลงเดิม แต่มันก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างมากที่ทำให้มันไม่เหมือนเดิม สติเราด้วย สถานการณ์ ณ ตอนนั้นด้วย มันเลยไม่ได้น่าเบื่อเลยสำหรับเรา
The MATTER : ทำวงด้วยกันมาก็หลายปี คิดว่าวงนี้เติบโตขึ้นยังไงบ้าง
ปิ้ว : วงเราไม่ได้เติบโตแบบขึ้นไปสูงสุดอะไรขนาดนั้น มันเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ใช่เขาที่ชันมาก แต่เราก็ยังเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ มีคนฟังเพิ่มขึ้น มีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น
ออม : มันเป็นการเติบโตที่มั่นคง การที่เราค่อยๆ ไต่เขาที่ไม่ชันมาก มันก็ไม่อันตรายนะ เราล้มไปข้างหลังก็ยังมีพื้นให้เราอยู่ ไม่ได้กลิ้งตกเขาไป การเติบโตแบบนี้มันมีเวลาของมัน
The MATTER : เคยถูกความสำเร็จของตัวเองในอดีตมากดดันไหมว่า ต้องทำให้ได้แบบที่เคยทำมา
ปิ้ว : ไม่มีนะ เราแค่รู้สึกว่าต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำตามมาตรฐานของเรา ไม่ได้ทำเพลงออกมาแล้วหลุดโลกไปเลย
ออม : การทำวงมันเป็นการทดลองบางอย่างไปเรื่อยๆ ถ้ามันยังออกมาจากคนๆ เดิมอยู่ ตัวตนก็อยู่ในเพลงนั้นอยู่ดี ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เราไม่เคยพยายามเป็นคนอื่นเลย มันก็จะเป็นเราในแบบที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับแฟนเพลงเราที่โตขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกัน เราไม่ได้คาดหวังว่าฉันจะต้องทำได้ดีกว่าเดิมนะ แต่มันจะดีขึ้นด้วยตัวของมันเอง
ปิ้ว : เราเติบโตขึ้นมาด้วยประสบการณ์ต่างๆ ด้วยเหมือนกัน
The MATTER : จุดไหนที่คิดว่าวงเรามันมาไกลแล้วนะ
ปิ้ว : น่าจะตอนที่เพลงเริ่มติดชาร์ต มีคนฟังเยอะขึ้น
ออม : จุดที่มีคนติดต่องานเข้ามา ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าอยากมีเพลงของตัวเองเล่นเยอะๆ
นาว : ได้ออกไปข้างนอก เจอคนเยอะๆ เจอสังคมใหม่ๆ
ปิ้ว : ความสุขของเราคือการทำสิ่งที่เป็นตัวเองที่สุด มันก็เลยถ้าไม่รู้ว่าจะทำดนตรี เราก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร เพราะมันคือสิ่งที่ตัวเราทำแล้วมันดีที่สุดและชอบที่สุด
ออม : ในช่วงแรกๆ ก็ตะกุกตะกัก แต่พอได้แชร์ความคิดกันมากขึ้น ก็ทำให้เรารู้ว่าความสุขมันคือการที่เราไม่ได้ฝืนตัวเอง เพราะเราเป็นคนไม่ชอบฝืน ให้เราลองเป็นแบบคนนั้นคนนี้ เราก็เป็นไม่ได้ การได้เจอคนใหม่ๆ ที่เขาซื้อในสิ่งที่เราเป็น การออกไปเจอคน เจอแฟน เขาไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องเป็นใคร พอเราเจอแฟนเพลงที่รู้อยู่แล้วว่าพวกเราเป็นยังไง สิ่งเหล่านี้เลยไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดเลย
The MATTER : คิดว่าความสำคัญของการเป็นตัวของตัวองในวงการดนตรียุคนี้มันยังไง
ออม : การเป็นตัวของตัวเอง มันทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยในระยะยาว ถ้าเราเป็นตัวเองตั้งแต่ต้น เราคิดว่าคนฟังเพลงก็จะรับได้กับการเติบโตของเราเสมอ เพราะว่าคนๆ นึงไม่ได้เหมือนเดิมตลอดเวลา ทุกอย่างมันคือการถูกหล่อหลอมจากสิ่งต่างๆ ที่เราเจอ การที่วงเป็นตัวของตัวเอง แล้วขายสิ่งนี้ออกไป ถ้ามีคนซื้อเราก็สามารถมีความสุขในระยะยาวแน่นอน เพราะเราไม่ต้องฝืนอะไร
The MATTER : หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เราต้องพยายามหาลายเซ็นของตัวเองให้ได้เพื่อที่จะอยู่ต่อไปในวงการนี้
ออม : เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำมันคือลายเซ็นที่ชัดอะไรขนาดนั้น เราแค่รู้สึกว่าทุกเพลงที่เราทำออกไป ภายในนั้นมันคือการนำเสนอตัวตนเราออกไป เพราะฉะนั้น ถ้าตัวตนเราพิเศษพอ คนฟัง คนดูก็จะเข้าใจเองว่านี่แหละคือเรา
The MATTER : สุดท้ายแล้วอยากให้ฝากผลงานหน่อยครับ
ออม : นาว ถึงเวลาทำหน้าที่แล้ว
นาว : ฝากเพลงใหม่ ‘หรือฉันเองที่ขังเธอไว้ในความทรงจำ’ ‘ไม่อยากนอน’ และฝากอัลบั้มใหม่ ‘WHEN YOU HAVE NOTHING TO DO JUST GO TO SLEEP’ ด้วยนะครับ