ความชอบในอนิเมะพาเราไปได้ถึงไหน?
สำหรับ มายด์—ณัชชา พงศ์สุปาณี เจ้าของช่องยูทูป MindaRyn แล้ว อนิเมะไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่พักใจที่ช่วยให้ผ่อนคลายในวันที่เหนื่อยล้า แต่เธอยังได้รับกำลังใจจากเรื่องราวในการ์ตูน ให้เดินหน้าพิชิตความฝันที่อยากจะเป็นศิลปินผู้ร้องเพลงประกอบอนิเมะญี่ปุ่น (อนิซอง) ให้ได้
จากเด็กที่เคยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก ได้เริ่มฝึกฝนร้องเพลง หัดพูดต่อหน้ากล้อง ลองผิด-ลองถูกกับการทำคอนเทนต์ออนไลน์ จน กลายมาเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ ที่มีผลงานโคฟเวอร์อนิซองมากที่สุดของไทย
หากแต่ความฝันของมายด์ไม่ได้หยุดลงแค่การทำยูทูป เธอหมั่นฝึกฝนกับการร้องเพลงจากอนิเมะอย่างต่อเนื่อง โดยมี ‘ฝันที่ไม่กล้าฝัน’ อยู่ลึกๆ ในใจที่จะได้ร้องเพลงอนิเมะของตัวเองจริงๆ เข้าสักวัน
คลิปโคฟเวอร์ของเธอบางคลิปมีคนเข้าดูเกือบ 10 ล้านวิวในยูทูป และหลายต่อหลายผลงานของเธอ ได้เข้าตาค่ายในญี่ปุ่นอย่าง Lantis ที่ชวนเธอมาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินแนวอนิซองอย่างเป็นทางการ
จากฝันที่ไม่กล้าฝัน กลายเป็นความจริงที่ตรงหน้า และกลายเป็นอาชีพหลักในวันนี้ และนำพาเธอไปสู่โอกาสใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
เรามีนัดคุยกับมายด์ เพื่อคุยถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา จากเด็กที่ไม่มั่นใจสู่การเผชิญหน้ากับความฝันและเส้นทางต่อไปในอนาคต
มายด์เพิ่งบินกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น อยากรู้ว่าประสบการณ์ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง
ไปอยู่มาประมาณ 3 เดือน เป็นการออกไปอยู่คนเดียวครั้งแรกในชีวิตที่เป็นระยะเวลานานประมาณนึง 3 เดือนก็ได้ทำอะไรที่ตัวเองเคยคิดว่าโตแล้วอยากลองทำ อย่างเช่น ทำอาหารกินเอง ซักผ้าเอง ซึ่งปกติแล้วจะมีคุณแม่ช่วยทำให้ตลอด เราเลยค่อนข้างต้องปรับตัวประมาณนึง
รู้สึกอย่างไรในตอนที่รู้ว่าต้องไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
ตื่นเต้นและก็กลัวๆ อยู่บ้าง แต่หลักๆ แล้วเรารู้สึกว่าอยากลองไป อยากลองทำ ตื่นเต้นอยากไปเพราะว่าด้วยความที่เราไม่เคยออกไปจากบ้านเราเลย ก็เลยมีความตื่นเต้นอยากไปเผชิญว่าถ้าเราไปอยู่คนเดียวที่ญี่ปุ่นจะเป็นยังไง
แล้วภาพที่มายด์คิดไว้กับที่ไปเจอจริงๆ ต่างกันไหม
มันสนุกน้อยกว่านิดนึงค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่ไปอยู่คนเดียวด้วยแล้วก็เหงา ตอนแรกเราก็คิดว่าเราเป็นคนอยู่คนเดียวได้ประมาณนึงนะ แต่ว่าพอไปเจอทั้งเรื่องแรงกดดันที่นู่นบวกอยู่คนเดียวและพูดภาษาไม่ได้เลย มันก็เลยมีความกดดันและคิดถึงบ้านเกิดขึ้นเหมือนกันค่ะ
ต้องปรับตัวเรื่องการทำงานยังไงบ้าง
หลักๆ เป็นเรื่องภาษาญี่ปุ่นเพราะว่าผู้จัดการที่ไปด้วยก็เป็นคนญี่ปุ่น ทีมงานที่ทำงานด้วยกันทุกคนเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย เราก็เลยแทบจะไม่ได้พูดภาษาไทยเลย ต้องพูดภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นภาษาญี่ปุ่นเราก็ไม่ได้เก่ง เพราะเราอาจจะสื่อสารได้ แต่ว่าศัพท์เฉพาะหรืออะไรที่เกี่ยวกับการทำงานบางคำเราไม่รู้ และบางทีเราพยายามสื่อสารออกไป เรามี 100 แต่เราสื่อสารออกไปได้ 40-50 อะไรแบบนี้ เราก็จะมีความอึดอัดว่า ภาษาญี่ปุ่นเรายังไม่ได้ เราต้องผลักดันตัวเองให้เก่งขึ้นกว่านี้นะ
ถ้าพูดถึงประสบการณ์ Performance นี่ต้องพูดถึงตั้งแต่ก่อนเดบิวต์เลยค่ะ เพราะก่อนที่เราจะได้เดบิวต์ด้วยเพลง BLUE ROSE knows ก็มีได้พูดคุยกับทางค่ายที่ญี่ปุ่นทำเรื่อง training ทั้งร้องและก็ performance ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นประมาณปี 2019 บินไปกลับญี่ปุ่นเพื่อที่จะไปเล่นที่ไลฟ์เฮาส์ซึ่งจริงๆ เราก็รู้นะว่ามาตรฐานเพลงของประเทศญี่ปุ่นนั้นสูงมาก แต่ยิ่งเราไปเจอจริงๆ ยิ่งรู้สึกได้ว่าประเทศนี้เต็มไปด้วยปีศาจ (หัวเราะ) คือทุกคนเก่งมาก
ปีศาจที่ว่านี้หมายถึงเก่งเกินมนุษย์ทั่วไป
อย่างมายด์ไปเล่นไลฟ์เฮาส์เราจะเจอศิลปินหลายๆ คนที่เขาเล่นกัน ศิลปินอินดี้หลายคนเขาก็เพิ่งเริ่มต้นเหมือนเราเลย แต่พอได้เห็นเขา perform ได้เห็นคุณภาพของเพลงและทุกคนเล่นเพลงของตัวเองหมดเลย เราก็รู้สึกว่า โห ขนาดเราเป็นศิลปินไม่ได้เป็นแฟนคลับที่ไปดูเขา เรายังรู้สึกประทับใจเลย เพราะด้วยแพชชั่น ความเชื่อต่างๆ ที่เขามีในงานของตัวเอง มันสื่อมาถึงมากๆ เราก็เลยรู้สึกว่าถ้ามาตรฐานเขาสูงขนาดนี้เราต้องตามเขาให้ทัน ซึ่งมันกดดันมาก รู้สึกว่าเราต้องพัฒนาตัวเองให้เยอะขึ้น ในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา เราก็เลยพยายามฝึก performance พยายามหาตัวเองอยู่ประมาณปีนึง ก่อนจะได้เดบิวต์
การที่ได้ไปเจอกับปีศาจเยอะๆ มายด์ได้เรียนรู้อะไรจากพวกเขาบ้าง
เราเรียนรู้ว่าทุกคนเขาทุ่มทุกอย่างในชีวิตเพื่อสิ่งที่เขาอยากทำจริงๆ ค่ะ เพราะขึ้นไลฟ์เฮาส์แต่ละทีไม่ใช่ว่าศิลปินได้เงินด้วยนะ ศิลปินต้องจ่ายเงินเพื่อที่จะขึ้นไปร้องเพลงของตัวเองให้คนอื่นฟัง เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ใช่ในงานของตัวเองคงไม่มีใครที่มานั่งทำแบบนั้นก็เลยรู้สึกว่า ทุกคนมีความเชื่อในความฝันของตัวเองและก็พยายามอย่างเต็มที่กันหมดเลยที่ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกว่า เราต้องทำบ้างเพราะว่าโอกาสของเรา เราก็ได้มาแล้ว เราจะแพ้คนที่นั่นไม่ได้
ในอีกแง่หนึ่ง เราก็รู้สึกอยากทำให้ได้เหมือนกับศิลปินที่เราไปเจอมา เราอยากทำให้แบบเวลาเราขึ้นไปยืนตรงนั้น ร้องเพลงของเรา แล้วคนข้างล่างที่เขาไม่รู้จักเรา เขาอยากรู้ว่าคนนี้เป็นใครนะ อยากจะมาติดตามเรา ความรู้สึกกดดันมันมีแต่ว่าความรู้สึกตื่นเต้นและก็ความรู้สึกอยากทำให้ได้มันก็มีเหมือนกัน
เราเคยกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเรามาจากต่างประเทศ คิดว่าคนญี่ปุ่นน่าจะไม่ค่อยรู้จักเรา เรากลัวว่าแบบจะมีคนมาดูเรารึเปล่าเพราะเขาไม่รู้จักเรา เขาจะซัพพอร์ทเราไหม แต่ว่าในวันเดียวกันได้เห็นอีกวงนึงที่มาไกลมากมาจากโอซาก้า และเขาเล่นเพลงที่เฉพาะกลุ่มมากเป็นเพลงอินดี้แนว 90 แต่ว่าเขาแสดงได้เต็มที่มากและเรารู้สึกได้เลยว่าเขารักในงานของเขา และอยากให้คนฟังชอบ เราก็เลยรู้สึกว่าต่อไปนี้เวลาเรา perform ต่อให้มีคนดูหรือไม่มีคนดูเราก็จะเล่นเต็มที่ ต่อให้วันนั้นไม่มีคนดูเราก็จะทำให้ซาวน์เอนจิเนียร์ชอบค่ะ (หัวเราะ)
แต่ถ้า perform หลังจากที่เป็นศิลปินอนิซองแล้ว เรารู้สึกได้ว่าครอบครัวอนิซองญี่ปุ่นน่ะมันอบอุ่นประมาณนึง คือเหมือนคนที่ฟังเพลงแนวอนิซองก็เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่แล้วก็ทุกคนเปิดรับงานใหม่ๆ ตลอดเวลา รู้สึกดีใจที่อย่างงานแรกที่ได้ไปขึ้นหลังจากที่เดบิวต์ชื่องาน Tokyo International Music Market Live ก็คือปกติจะเป็นไลฟ์ที่ให้คนจ่ายเงินซื้อเข้ามา แต่ว่าวันนั้นเป็นออนไลน์แล้วก็เหมือนไม่ได้ไปไลฟ์จริงๆ ค่ะ คนญี่ปุ่นก็ยังสนับสนุนนะ
เฝ้ารอที่จะได้ไลฟ์จริงๆ ไหม
รอค่ะ เพราะว่าพอมันเป็นออนไลน์ไลฟ์แล้วเราต้องจินตนาการว่ามีคนดูแล้วก็พยายามเล่นกล้อง แต่ว่าเราก็อยากฟิลจริงๆ เหมือนกันว่าถ้าได้ไปเจอทุกคนจริงๆ คนญี่ปุ่นเขาจะต้อนรับเราไหมนะ
ในวันที่มายด์ต้องไปเล่นไลฟ์แล้วคนดูไม่เยอะมาก พอจะเล่าได้ไหมว่าอย่างน้อยสุดที่เจอ บรรยากาศมันเป็นยังไง
น้อยสุดที่เคยขึ้นไปเล่นมาคือมีลูกค้าเข้ามาดู 2 คน ที่เหลือก็เป็นทีมงานและก็เป็นวงอื่นที่มายืนดูกันเอง ก็เป็นวันเดียวกับที่บอกว่าเจอวงที่มาจากโอซาก้าเลย วันนั้นรู้สึกไม่มั่นใจสุดๆ เลย เพราะว่าหนึ่งคือคนมาดูน้อยมาก วันนั้นเขาให้เราขึ้นเพราะว่าเขาอยากให้เราหาประสบการณ์การขึ้นเวทีด้วยแหละ แต่ว่าพอมีคนมาดูน้อย แน่นอนว่าเรากลัว เรามีความประหม่าว่าเราจะเล่นให้ใครฟังน้า
แต่พอเราเห็นวงนั้นเขาเล่นก็เลยเหมือนทำให้เราเปลี่ยนความคิด ว่าต่อให้มีคนมาดูน้อยเราก็จะเล่นให้เต็มที่ นี่คือประสบการณ์ที่ได้มาจากเมืองแห่งปีศาจ อยากให้ทุกคนได้เห็นมากเลยที่เวลาคนญี่ปุ่นเขาเล่นไลฟ์ ต่อให้เป็นวงเล็ก วงที่ไม่เป็นที่รู้จัก เขาก็จะเล่นแบบไม่สนใจว่าใครจะมองเขายังไง เขาจะภูมิใจ หน้าตาจะอินกับเพลงมาก
เคยนึกภาพตัวเองว่าจะมาถึงจุดที่ได้ร้องเพลงอนิซองของตัวเองไหม
จริงๆ เมื่อก่อนช่วงทำช่องมันมีความฝันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะว่าเราชอบเพลงอนิซองมาก รู้สึกว่าถ้าวันนึงเสียงของเราได้ไปร้องประกอบเพลงอนิเมะจริงๆ เราคงจะดีใจมากเลยนะ แต่ว่าใช้คำว่า ไม่กล้าฝัน ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นจริงได้เลยจริงๆ เหมือนเป็นความฝันสูงสุดของเรา
วันที่รู้ว่าจะได้มาร้องจริงๆ มันดีใจจนคิดว่าเรากำลังฝันอยู่รึเปล่า หรือเราฟังผิดเพราะว่าคนที่มาบอกมายด์วันนั้นเป็นสตาฟฟ์คนญี่ปุ่น และเขามาบอกเราเป็นภาษาญี่ปุ่น เราคิดว่า เอ๊ะหรือเราฟังผิดนะ เราแปลผิดรึเปล่า ตอนนั้นยังไม่เชื่อเลย ยังทำใจว่าครึ่งๆ เลยว่าอาจจะเป็นข่าวดีในอนาคตต้องมีเรื่องผิดพลาด เราอาจจะไม่ได้ร้องจริงๆ รึเปล่านะ แต่ว่าหลังจากได้ยินและมีการดำเนินการไปเรื่อยๆ จนได้ยินเพลงเดโม่ เริ่มไปอัดเพลงจริงๆ ก็รู้สึกได้อัดจริงๆ ด้วยอ่ะ คือมันไม่เชื่อจนผลงานมันออก ก็ดีใจมากๆ
คิดว่าอะไรในตัวเราที่มันทำให้มายด์มาถึงจุดนี้ได้
อาจจะเป็นเรื่องที่เราเป็นคนดื้อค่ะ เป็นคนหัวแข็ง เราไม่ค่อยฟัง จริงๆ มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียนะ ตอนที่เราร้องอนิซองและทำช่องยูทูป เราจะโดนคำถามจากคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ ว่า ทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม ทำไปแล้วจะมีคนฟังเหรอ แต่ด้วยความชอบของเรา ก็ทำให้เรายังทำต่อมาจนทุกวันนี้ เราไม่ได้ไปคิดมากกับสิ่งที่เราจะได้กลับหรือไม่ได้กลับ เราตั้งใจว่าจะยังทำมันอยู่จนแบบโอกาสก็เข้ามาค่ะ
ที่บอกว่าโดนคนตั้งคำถามค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นมายด์รู้สึกว่า เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้มากขึ้นไหม
มีบ้างเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากคนรอบตัว บางคนที่เขาไม่ได้เข้าใจและก็ไม่ได้อินกับสิ่งที่เราชอบ ซึ่งมายด์ก็ไม่ได้โทษเขานะ เขาเป็นห่วงเราแหละว่าเราทำอันนี้แล้วเราได้อะไรไหม แต่มายด์ก็รู้สึกว่า เราได้พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าสิ่งที่เราทำเรามีความสุข และเราก็ได้รับอะไรบางอย่างกลับมาให้เราด้วยเหมือนกัน โดยที่เราไม่ได้ฝืนทำเลย เราสนุก และคนที่สนับสนุนเราเขาก็เข้ามาให้กำลังใจ และบอกกับเราตลอดว่าเขาชอบสิ่งที่เราทำนะ มันเหมือนมีกำลังใจอยู่ตลอดเวลา
มายด์ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองประมาณกี่ปี
ถ้าเป็นช่อง MindaRyn ก็ทำมาประมาณ 4 ปี แต่จริงๆ มายด์เคยทำยูทูปมาอีกช่องนึงก่อนหน้านี้แต่ว่าโดนลบไปแล้ว ถ้าเกิดนับรวมจริงๆ มายด์ทำช่องมาตั้งแต่อยู่ ม.ต้นแล้วแหละ ก็ถ้ารวม 2 ช่องก็น่าจะประมาณ 7-8 ปี
ดูเหมือนเป็นคนที่เอาสิ่งที่ทำอยู่เป็นตัวพิสูจน์
ใช่ค่ะ ไม่ค่อยได้แบบไปบอกหรือโต้ตอบกลับเท่าไหร่ว่าต้องได้สิ เพราะตัวเราเองตอนนั้นเราก็ไม่อยากจะไปคอนเฟิร์มอะไรที่เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้ไหม แต่เราแค่สนุกและมีความสุข ณ วันนั้นที่เราทำค่ะ
ตอนนั้นคิดถึงเป้าหมายไหม หรือว่าแค่สนุกสิ่งที่ทำอยู่มากกว่า
ตอนที่เปิดช่องทำช่องแรกๆ ไม่ได้มีเป้าหมายเลย เพราะว่าเราแค่รู้สึกว่าเราชอบเพลงอนิซองและเราอยากแชร์สิ่งที่เราชอบกับใครก็ได้ เพราะว่ามายด์จะไม่ได้ค่อยมีเพื่อนรอบตัวที่แชร์อะไรเหมือนๆ กันได้เท่าไหร่ค่ะ ก็เลยเป็นเหตุผลที่เปิดช่อง แต่ว่าพอทำช่องไปแล้วก็ได้รู้จักคนหลายๆ คนที่เขาชอบอะไรเหมือนๆ กับเรา เราก็เลยมีความสุขยิ่งอยากทำต่อไปเรื่อยๆ มันก็เลยค่อยๆ โตขึ้น และพอถึงจุดนึงเราก็เลยเริ่มรู้จักกับทีมงาน คนทำเพลง และทุกคนก็มีความฝันคล้ายๆ กัน มันก็เลยต่างคนต่างมีเป้าหมายคล้ายๆ กัน ก็เลยแบบเรามาทำช่อง MindaRyn ด้วยกัน เป็นช่องอนิซองที่ดีในไทยกันดีกว่า
จุดไหนที่มายด์คิดว่าต้องจริงจังกับช่องนี้จริงๆ แล้ว
น่าจะเป็นจุดที่เริ่มมีทีมค่ะ เริ่มมีเพื่อนมีแพชชั่นอะไรคล้ายๆ กัน รู้สึกว่ากับคนพวกนี้ที่เขาชอบอะไรเหมือนเรา เราว่าน่าจะไปได้ไกลแล้วก็อยากทำสิ่งที่มันยิ่งใหญ่ด้วยกันค่ะ แบบอยากให้ช่องนี้เป็นช่องอนิซองที่ถ้าพูดถึงนักร้องอนิซองในไทยก็จะนึกถึงช่องเรา เราเองก็มีทั้งตากล้องที่ปกติเป็นตากล้องถ่ายคอสเพลย์ ได้รู้จักกันผ่านวงการอนิเมะ มีคนทำเพลงที่เป็นคนอินโดนีเซียที่เขาก็ชอบและรักในเพลงอนิซองมาก ได้รู้จักกันผ่านออนไลน์ จนทุกวันนี้ก็มาทำงานด้วยกันที่ไทย
พูดอย่างนี้ได้ไหมว่า วงการอนิเมะทำให้มายด์รู้จักคนเยอะมากขึ้น
อนิเมะคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นตัวเราทุกวันนี้ เรารับเอาข้อดีข้อคิดต่างๆ ที่อนิเมะมันสอนเรามาใช้กับชีวิตประจำวัน เช่น อนิเมะจะมีเรื่องราวของการไม่ยอมแพ้ และให้กำลังใจในการสู้ต่อไปเยอะมาก ซึ่งมันมีหลายเหตุการณ์เหมือนกันที่เรารู้สึกว่าท้อนะเหนื่อยกับมันนะ ก็นึกไม่ถึงว่าแบบตัวเอกเรื่องนี้มันเจอมาขนาดนี้มันยังไปต่อได้เลย เราก็จะไปยอมแพ้ได้ยังไง มันเป็นอะไรที่ทำให้เราข้ามผ่านอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตด้วยเหมือนกัน
บางคนจะบอกว่า อนิเมะเป็นเรื่องของเด็กเท่านั้น
ใช่ๆ เราโดนพูดคำนี้ใส่บ่อยมาก “โตแล้วทำไมยังดูอนิเมะอยู่” แต่ว่ายิ่งพอเรามายืนอยู่ตรงนี้ และเรารู้สึกว่างานอดิเรกที่เราชอบอนิเมะ อนิซอง ดูแล้วเราได้ข้อคิด ทุกวันนี้เราก็ได้รับการตอบรับจากการที่เราชอบตรงนี้ด้วย ก็เลยอยากให้หลายๆ คนที่ยังมีความคิดที่ยังไม่ได้เปิดใจให้กับอนิเมะ การฟังเพลงอนิซอง รู้สึกว่ายังเป็นเรื่องของเด็กๆ อยู่ อยากให้คนเหล่านั้นได้มองเห็นข้อดีบ้าง
ทำไมมายด์ถึงรัก หลงใหล อนิซองมากขนาดนี้
น่าจะเพราะเราโตมากับมันด้วย ตอนเด็กๆ เพื่อนบ้านจะไม่ค่อยมีเด็กที่รุ่นเดียวกันเท่าไหร่ วันไหนว่างๆ เสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียนก็จะดูอนิเมะ อ่านการ์ตูน เล่นเกมกับพี่ชายน้องสาวที่บ้าน ก็มีงานอดิเรกที่แชร์กันคือดูการ์ตูนด้วยกัน อ่านมังงะด้วยกัน มันเป็นเหมือนอะไรที่อยู่ในชีวิตประจำวันก็เลยชอบ
ในเวลาที่ท้อๆ อนิเมะและเพลงจากอนิเมะมันช่วยมายด์ได้ยังไงบ้าง
ช่วยได้เยอะค่ะ เพราะว่าหนึ่งคือเป็นคนที่ไม่ได้มีเพื่อนเยอะจนทุกวันนี้ก็มีเพื่อนแหละแต่ว่าคนที่สนิทมากๆ ถึงขั้นโทรไปเม้าท์เรื่องความท้อหรืออะไรแบบนี้ จะไม่ได้เป็นคนที่ชอบเอาเรื่องที่ตัวเองทุกข์ใจไปโยนใส่เพื่อเท่าไหร่ จะใช้วิธีแบบว่าวันไหนรู้สึกดาวน์ วันนี้รู้สึกเศร้าจังเหนื่อยจังเลย ก็จะหาวิธีรีแลกซ์ตัวเองทั้งดูอนิเมะด้วย ฟังเพลงอะไรแบบนี้ค่ะ เพลงญี่ปุ่นบางเพลงต่อให้เป็นเพลงอนิเมะแต่มันก็จะมีข้อความบางอย่างที่เราฟังแล้วเรารู้สึกว่าแบบ เอาว่ะสู้เว้ย มันจะมีแบบเพลงที่ไม่เป็นไร ไปต่อเหอะ
ถ้าเป็นเพลงที่ฟังบ่อยๆ เพลงนี้ชอบมากอาจจะไม่ได้เป็นเพลงในอนิเมะแต่เป็นเพลงที่ดังในหมู่คนฟังอนิเมะ เพลงชื่อ Main Actor ของ Minami ค่ะ เนื้อเพลงเขาจะเปรียบเปรยตัวเองว่า เรามีคนๆ นึงที่รู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นตัวเอกในอนิเมะตลอด แล้วตัวฉันเหมือนเป็นชาวบ้าน คือเป็นชาวบ้านที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรแล้วคอยให้ฮีโร่มาช่วย ฉันอยากจะเป็นตัวเอกในอนิเมะของใครสักคนจังเลย มันเป็นเพลงเศร้าแหละ บางทีฟังแล้วรู้สึกว่าคุณมินามิเขาเข้าใจเราจังเลยอะไร ก็จะชอบค่ะ มีโคฟเวอร์อยู่ในยูทูปด้วยเหมือนกันเพราะชอบเพลงนี้มาก
มายด์คิดว่าเพลงอนิเมะให้กำลังใจแบบไหนกับเราบ้าง
มันเป็นกำลังใจที่ได้จากเนื้อเพลงของตัวเพลงด้วย เวลาเราฟังอนิเมะอย่างเพลง Gurenge ฟังปุ๊ปเราจะไม่ได้นึกถึงแค่เนื้อเพลงมันพูดถึงอะไร เราจะนึกถึงเนื้อเรื่อง ตัวเอกผ่านอะไรมาบ้าง เวลาเราดูอนิเมะความรู้สึกขนลุกเวลาที่ทันจิโร่กับเนซึโกะร่วมกันต่อสู้ปีศาจอะไรแบบนี้ มันจะนึกถึงเวลาเราฟังเพลงอนิซองด้วย เหมือนเป็นพลังงานให้เราประมาณนึงเลย
จำเพลงที่ชอบมากเพลงแรกได้ไหม
ถ้าไม่ได้นับเพลงการ์ตูนเด็กแบบแฮมทาโร่อะไรแบบนี้ เพลงแรกที่ชอบมากและฝึกร้องจริงๆ เป็นเพลงจากดิจิมอนอย่าง ‘ปีกรัก’ น่าจะเป็นเพลงที่เริ่มฝึกร้องอนิซองเลยแหละ
แล้วมาร้องอนิซอง ในช่องเพลงแรกคือเพลงอะไร
เพลงแรกที่ลงไม่ใช่เพลงอนิซอง เป็นเพลง Wherever you are ของ One Ok Rock แต่ว่าช่องก่อนหน้านี้ก็ลงเพลงอนิซองไว้เยอะเหมือนกัน คิดว่าน่าจะเป็นพวกปีกรัก ก็เคยลงในช่องนั้นมาก่อน เพลงจากเรื่อง Guilty Crown ก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่ชอบในวัยเด็กๆ
ชีวิตวัยเด็กของมายด์เป็นยังไง
ก็ถ้าเป็นช่วงเด็กๆ ประถมจะเป็นเด็กค่อนข้างขี้อายมากๆ เงียบๆ เก็บตัว ช่วงนั้นไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ แล้วด้วยความที่เราชอบอนิเมะแล้วยังเป็นคนเก็บตัวขี้อายเลยไม่ค่อยได้มีเพื่อนเยอะ ไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์มาก มีกินข้าวคนเดียวบ่อยตอนเด็กๆ ก็เลยมีอนิเมะค่ะเป็นเพื่อน
ณ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่ามันดาร์คแต่ว่าพอเล่าให้ทุกคนฟัง ทุกคนก็จะชอบแบบตอนเด็กไม่มีเพื่อนเหรอ แต่มายด์ก็รู้สึกว่าเหมือนตอนเด็กๆ พออยู่คนเดียวได้ พอโตมาเราเลยอยู่คนเดียวเป็นด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนนะ โตมาก็เริ่มมีเพื่อนที่แบบแชร์อะไรเหมือนกันบ้าง เป็นกลุ่มเล็กๆ
ตอนเด็กๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน่ารักอะไรแบบนี้ ก็เลยไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้หญิงน่ารักนะ และเป็นคนขี้อายไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครด้วย ตอนเด็กๆ พูดติดอ่างเลยด้วย ความที่ไม่ค่อยมั่นใจและไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดเยอะ ทำให้เวลารายงานหน้าชั้นก็จะทำตัวไม่ถูก
แล้วปัญหาเหล่านี้มันเริ่มหายไปตอนไหน
เอาจริงๆ เราก็ไม่เหมือนกัน แต่ช่วงที่ติดอ่างแต่เวลาร้องเพลงจะไม่ติดอ่าง เพิ่งมาค้นพบก็น่าจะเป็นตอนที่เริ่มร้องเพลงค่ะ แล้วก็ค่อยๆ โตมา เริ่มมีการคุยเยอะๆ มันก็หายเอง
จากเด็กที่ไม่มั่นใจมาสู่การชอบร้องเพลงได้ยังไง
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะทำช่อง เพราะเราไม่ได้มั่นใจที่จะไปโชว์ต่อหน้าคนเยอะๆ แต่พอเราทำช่องลงวีดีโอคนเดียว แล้วเริ่มมีคนมาชื่นชม มาบอกว่าอันนี้ร้องดีนะ เราชอบเสียงเธอนะ มันค่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเราทำได้จริงเหรอ เราทำดีเหรอ อะไรแบบนี้ มันเลยค่อยๆ มั่นใจขึ้น จริงๆ พอยิ่งได้พูด ยิ่งได้ทำช่อง และมีคนมาสนับสนุน มันยิ่งทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้น
พอได้เป็นตัวเองมากขึ้น ปัญหาต่างๆ ก็เริ่มหายไปไหม
มันเหมือนเราหาสเปซที่เราอยู่แล้วเราสบายใจเจอแล้ว เรื่องนี้ต้องขอบคุณแฟนๆ ทุกคนเลยที่เข้ามาสนับสนุน มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลยนะ เราเคยรู้สึกว่าสิ่งที่เราชอบมันไม่ค่อยมีคนชอบหรอก แต่แล้วก็วันหนึ่งมีคนเข้ามาพูดว่า เราก็ชอบสิ่งนี้เหมือนกันนะ เราชอบสิ่งที่เธอทำนะ มันทำให้เรารู้สึกดีและกลายเป็นเซฟโซนของเราเลย เรารู้สึกสนิทกับแฟนคลับหลายๆ คนที่เข้ามาคอมเมนต์ในช่องค่ะ อยากบอกว่าขอบคุณนะคะ
ในช่วงที่ทำยูทูป เคยคิดว่าต้องสู้กับอะไรไหม
มายด์ไม่เคยมีโมเมนต์ที่ต้องสู้จนแบบท้อแล้วหยุดขนาดนั้น แต่ช่วงที่ทำยูทูปมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการที่จะเลือกว่าเราจะไปทางไหนด้วย เป็นช่วงมหาลัยพอดีด้วย ญาติผู้ใหญ่หรือว่าหลายๆ คนก็ต้องการคำตอบในชีวิตเราว่าเราจะไปทางไหน เพราะเค้าก็เป็นห่วงเรา มันก็มีบางครั้งที่รู้สึกหนักเช่นอัพคลิปทุกอาทิตย์เพราะว่าเราเรียนด้วย แต่ด้วยความที่เราทำแล้วเราชอบ เราไม่อยากให้มันหายไปนาน เช่น ช่วงมหาลัยช่วงที่ยังไม่ได้อัพคลิปเป็นตางราง ก็จะอัพบ้าง และก็มีช่วงที่หายไปเพราะว่าไปโฟกัสอย่างอื่น ก็เริ่มมีอินบ็อกซ์เข้ามาว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่อัพคลิปเลยรอคลิปใหม่อยู่นะ ยังติดตามอยู่นะลงคลิปใหม่เร็วๆ นะ เขาคิดถึงเรา ความรู้สึกแบบนี้มันดึงเรากลับมาตลอดว่าแบบมันมีคนรอ มีคนสนับสนุนอยู่นะ
พอชีวิตมาถึงทางแยกจริงๆ ระหว่างทำงานตามที่เรียนมา กับทำตามความฝัน ตอนนั้นมีความมั่นใจมากแค่ไหนกับทางที่เราจะเลือกตามความฝัน
จริงๆ ตอนนั้นเราไม่มีความมั่นใจเลยกับทางแยกทั้งสองทางเลย ก็เลยจับปลาสองมือ ทำทั้งคู่เลย เพราะว่าทางยูทูปก็ยังสนุกอยู่ แต่การเรียนก็ยังเรียนสิ่งที่หนูชอบอยู่ด้วย หนูก็เลยอยากทำทั้งสองอย่างคู่กันไป แต่ว่าด้วยความที่ทำทั้งสองอย่างเวลาพักผ่อนก็น้อย อันนั้นก็เลยทำให้คนรอบตัวเป็นห่วง แต่ว่าก็ดีใจที่ไม่ได้ปล่อยทางไหนเลยเพราะว่าที่เรียนก็รู้สึกว่าชอบด้วย และช่องตอนนั้นถ้าเกิดไม่ได้ทำต่อก็อาจจะไม่ได้เป็นมายดารินในถึงทุกวันนี้ก็ได้
ตอนจบมหาลัยก็คือต้องเลือกเลยว่าแบบเราจะทำช่องจริงจังหรือจะไปสมัครงาน เพราะว่างานสายที่มายด์เรียนมาจะเป็นสาย Coding ก็คือถ้าไม่สมัครตามบริษัท Start-Up หรือไปตามบริษัท Software House ก็คือต้องทำงานทุกวัน ซึ่งการทำช่องเวลาก็จะไม่มีเยอะเท่าตอนเราเรียนอยู่แล้ว และ ณ ตอนนั้น มายด์รู้สึกว่าแนวโน้มมันกำลังดีและรู้สึกอยากทำต่อ ก็เลยรู้สึกว่างั้นงานสายโค้ดเนี่ยขอพักแล้วขอเสี่ยงมาเป็นยูทูปเบอร์เต็มตัวก่อน เพราะว่าเรารู้สึกว่างานโค้ดมันทำเมื่อไหร่ก็ได้หลังจากที่เราอายุเยอะๆ ไปแล้วแต่ความรู้เรายังมีอยู่เราจะกลับมาโค้ดอีกมันก็ยังทัน
แต่ว่างานสายยูทูปเบอร์ สายร้องเพลง ถ้าไม่ทำตอนนี้แล้วไปทำอีกทีตอนแก่ก็ไม่ได้แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าถ้าทิ้งโอกาสตอนนี้ไปตอนอายุ 35 ต้องกลับมาเสียดายแน่เลย ก็เลยเลือกทำทางนี้ก่อนค่ะ เพราะว่า 35 มันดูเริ่มดูแก่แล้วอ่ะ ต้องเริ่มมีครอบครัว ต้องทำอะไรจริงจังแล้วจะใช้ชีวิตเสี่ยงๆ แบบวัยรุ่นก็ไม่ได้แล้วก็เลยคิดว่าตอนนี้เรายังอายุน้อยอยู่ เรายังเป็นวัยรุ่นอยู่ งั้นอะไรที่มันเสี่ยงได้ขอลองเสี่ยงดูก่อนแล้วกันค่ะ ซึ่งจริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าปลายทางจะเป็นยังไงด้วยเพราะตอนนั้น Subscribe น่าจะเพิ่งได้โล่มา น่าจะประมาณแสนกว่าๆ เอง ก็ถือว่าถ้าเทียบกับช่องอื่นๆ ที่เขามีคนดูเยอะๆ ก็ถือว่าเรายังเป็นช่องเริ่มต้นอยู่
ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่ได้แมสนะ (หัวเราะ) แต่ว่ารู้สึกดีใจที่มันขยายใหญ่มากกว่าที่คิดมากกว่าค่ะ ก็ไม่รู้นะมันค่อยๆ มาเรื่อยๆ ช่องมายด์จะไม่ได้มีช่วงที่แบบอยู่ดีๆ ขึ้นมา 5 แสนซัพอะไรแบบนี้ เหมือนค่อยๆ เก็บเกี่ยวมามากกว่า ก็จะมีบางคลิปร้องเพลงที่คนชอบเยอะๆ อย่าง Gurenge อะไรแบบนี้ ฐานคนดูใหม่ๆ ก็จะมีเข้ามาบ้างแต่ว่าเหมือนถ้าเฉลี่ยๆ แล้วก็จะค่อยๆ ขึ้นค่ะ
ระหว่างทางที่ผ่านมานี้ ได้ลองผิด-ลองถูกเยอะไหม
ลองผิด-ลองถูกค่อนข้างเยอะค่ะ อย่างที่บอกตอนแรกว่าที่ทำช่องคือไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรเลย มีแค่โทรศัพท์ 1 เครื่องแล้วก็หูฟัง คือทำแบบไม่ค่อยมีความรู้ มิกซ์ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ว่ายิ่งทำไปเราจะยิ่งรู้ว่าแบบที่ดีมันเป็นแบบนี้นะ แล้วรอบหน้าเราก็จะค่อยๆ ทำให้มันดีขึ้น ค่อยๆ เพิ่มอุปกรณ์ มีกล้อง คนทำเพลง หาคนช่วย อะไรแบบนี้ ลองมาเรื่อยๆ
กลายเป็นว่าความสม่ำเสมอและความต่อเนื่องในการ ฝึกฝนคือสิ่งสำคัญมากๆ
สำคัญมากจริงๆ เพิ่งมารู้ตอนทำช่องช่วงแบบตอนกลางทางแล้วเหมือนกันนะคะ ประมาณ 2 ปีอะไรแบบนี้ มันสำคัญทำกับ stat ในยูทูปและก็วินัยของตัวเองด้วย พอเรารู้ว่าต้องทำอะไรเป็นตารางเวลาเราจะรู้เลยว่าวันนี้เราจะอัดเพลงเสร็จภายในวันอังคารนะ วันพฤหัสจะเป็นวันที่เรากับตากล้องต้องมาเจอกันนะ เพราะว่าตากล้องที่ทำช่องให้เราเขาไม่ได้ทำงานให้เราอย่างเดียว เขาทำอย่างอื่นด้วย พอมันมีเป็นตารางชัดเจนงานมันก็ไหลไปได้ในแต่ละอาทิตย์โดยที่แบบไม่ต้องนั่งถามกันว่า วันนี้ว่างไหม นัดวันนี้ได้ไหมนะ อะไรแบบนี้
จากเด็กจบใหม่ต้องมาจัดการงานเอง
ก็ประมาณนั้นค่ะ แต่อย่างที่บอกค่ะมันคือการลองผิด-ลองถูกไปเรื่อย ช่วงแรกๆ ก็มีไม่ได้เป็นตารางอะไรมากก็ต้องมานั่งนัดทุกอาทิตย์ว่า เพลงเสร็จยัง ถ่ายได้วันไหน แล้วพอมันเจอปัญหาที่มาก็ค่อยๆ แก้ไขไปทีละอย่าง
ภูมิใจแค่ไหนกับสิ่งที่เราผ่านมา
ภูมิใจมากค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรที่เราต้องพัฒนาอีกเยอะค่ะ มันภูมิใจที่แบบการทำช่อง สิ่งที่เราได้ทำมาตลอดมันทำให้เรามาถึงตรงนี้นะ แต่ว่าเราก็ยังรู้สึกว่าพอเห็นหลายๆ คน ศิลปินที่นู่นคนที่เขาพยายามทำสิ่งเดียวกับเรา เขาก็ยังเก่งมากๆ เราก็รู้สึกว่าเรายังต้องพัฒนาอยู่ บางทีพอเราภูมิใจว่าความฝันเราเป็นจริงแล้ว แต่ว่าเราจะมารู้ทีหลังว่าความจริงแล้วมันเป็นแค่การเปิดประตูไปสู่โลกใบใหม่ โลกที่กว้าง อาจจะมีภูเขาอีกเยอะมากที่ต้องเดินข้าม
สำหรับมายด์แล้ว ถ้าต้องเดินข้ามภูเขา มายด์จะเป็นคนที่ ค่อยๆ เดิน หรือ รีบวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาให้ได้
ไม่อยากเป็นคนที่ค่อยๆ เดินแต่ก็ไม่อยากจะเป็นคนที่รีบวิ่งจนกลิ้งตกลงมาเหมือนกัน (หัวเราะ) อาจจะแบบว่าค่อยๆ เดิน อาจจะเป็นแบบนักเดินค่ะ เพราะว่าด้วยความที่ตอนนี้ก็อายุ 25 แล้ว อาจจะมีเวลาอยู่ตรงนี้อีกไม่มาก อยากจะสำรวจ อยากจะรู้ว่าด้วยตัวเราทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้ถ้าเราทุ่มไปทั้งหมดแล้วเราจะสามารถเดินไปถึงภูเขาลูกไหน
ความรู้สึกที่พอได้มีเพลงของของตัวเองเป็นยังไงบ้าง ต่างจากการโคฟเวอร์เพลงอื่นๆ ไหม
ต่างๆ ตอนเราโคฟเวอร์เพลงคนอื่นเราได้เห็นตัวอย่างต้นฉบับว่าเขาร้องมาแบบนี้ เขาสื่ออารมณ์ออกมาแบบนี้ เราแค่รับความออริจินอลมาแล้วมาทำเป็นของตัวเองค่ะ แต่ทีนี้พอเราเป็นคนที่ต้องร้องออริจินอลแล้วเราต้องส่งข้อความให้คนอื่นเข้าใจเพลงของเรา เราไม่ใช่แค่ร้องให้มันถูกโน๊ตและถูกคำ แต่ว่าเราต้องเข้าใจเพลงนั้นและก็ส่งความรู้สึกเพลงออกไปให้ได้ในสไตล์ของเราด้วยค่ะ แล้วมันไม่ได้มีตัวอย่างมาไกด์เราเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย มันก็เลยรู้สึกว่ายากกว่าการ้องโคฟเวอร์ค่ะ
สุดท้ายนี้ ฝากผลงานหน่อยครับ
ยังไงขอฝากทุกคนด้วยนะคะสำหรับซิงเกิลแรกของมายด์นะคะ BLUE ROSE knows เป็นเพลงประกอบอนิเมะเรื่อง “神達に拾われた男” (Kami-tachi ni Hirowareta Otoko) นะคะ ออนแอร์ไปแล้วที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนตุลาคม แล้วก็เพลง BLUE ROSE knows ทุกคนก็สามารถฟังผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ทั้งใน Streaming และ Youtube เองก็ลงมิวสิควีดีโออยู่นะคะ
เร็วๆ นี้ก็จะมีดิจิทัลซิงเกิลที่มีแพลนโปรโมทในปีนี้ด้วยนะคะ 1 เพลง ออกไปแล้วนะคะชื่อเพลงว่า Kiss My Cheek แล้วก็มีเดือนกุมภาพันธ์กับเมษายนจะมีปล่อยมาอีก 2 เพลง ส่วนปลายปีนี้จะมีผลงานถัดไปของมายด์ ซึ่งเป็นเพลง Ending ของอนิเมะเรื่อง Shakugan!! ชื่อเพลงว่า Shine ยังไงก็ติดตามผลงานกันด้วยนะคะ
Photo by Watcharapol Saisongkhroh