ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2545 วงดนตรี Moderndog ได้สร้างตำนานบทใหม่ให้กับตัวเองด้วยคอนเสิร์ตอะคูสติกที่มีชื่อว่า ‘The Very Common of Moderndog’
ในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าจะเห็น ป๊อด—ธนชัย อุชชิน, โป้ง—ปวิณ สุวรรณชีพ และ เมธี น้อยจินดา ที่เล่นดนตรีอะคูสติกได้อย่างสุดเหวี่ยง ควบคู่ไปกับชวนให้ผู้คนกว่า 400 คนในหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จมลึกไปบทเพลงที่พวกเขาเล่นได้ขนาดนี้ จนทำให้ The Very Common of Moderndog กลายเป็นคอนเสิร์ตในตำนานครั้งหนึ่งที่เคยมีมาในวงการเพลงไทย
“มันคือคอนเสิร์ตที่ขึ้นหิ้งไปแล้วนะ ด้วยความที่อารมณ์ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบนั้น เรายังจำรายละเอียดเกือบทุกอย่างในวันนั้นได้หมดเลย” โป้ง มือกลองประจำวงเล่าให้เราฟัง
ผ่านไปแล้วกว่า 20 ปี ทั้งสามคนเชื่อว่า นี่คือเวลาที่เหมาะสมแล้วที่ Moderndog จะกลับมาเล่นคอนเสิร์ตแบบอะคูสติกอีกครั้ง มันคือคอนเสิร์ตที่พวกเขาตื่นเต้นที่จะได้ออกแบบทุกอย่างด้วยตัวเอง รวมถึง ท้าทายตัวเองอีกครั้งว่าจะไปสู่ความรู้สึกแบบเดิมได้อีกไหม กับคอนเสิร์ตที่ชื่อว่า ‘Amado Presents The Very Normal of Moderndog’ ที่จะเริ่มแสดงในเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ.2564
เรามีนัดพบกับ ป๊อด โป้ง และเมธี ในวันที่พวกเขากำลังออกแบบโชว์นี้ให้ดีที่สุด เราคุยกันถึงเรื่องคอนเสิร์ตใหม่ และการมองย้อนกลับไปสำรวจตัวเองในอดีตว่าพวกเขาได้เรียนรู้-เข้าใจอะไรจากช่วงเวลาที่ผ่านมา
The MATTER : อยากรู้ที่มาที่ไปคอนเสิร์ตนี้
ป๊อด : เราตั้งใจทำคอนเสิร์ตมาตั้งแต่ต้นปี พอผ่านช่วงโควิดเราก็ปรับเปลี่ยนจนได้จังหวะที่เหมาะสมคือกุมภาพันธ์ปีหน้า คอนเสิร์ตในครั้งนี้ เราจะจัดในรูปแบบของอะคูสติกคอนเสิร์ตแบบที่เคยจัดเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนั้นคอนเสิร์ตชื่อว่า The very common of moderndog ซึ่งตอนนั้นเราจัดแค่สี่รอบ รอบละสี่ร้อยที่นั่งเท่านั้นเอง คนดูเลยไม่เยอะมาก มาครั้งนี้ เราเลยอยากกลับมาทำคอนเสิร์ตแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง
เมธี : The very common of moderndog เป็นคอนเสิร์ตที่เราประทับใจ มีคนพูดถึงเรื่อยๆ นะ แต่เราไม่เคยมีจังหวะที่จะกลับมาเล่นแบบนี้เท่าไหร่ ตอนนี้เราเลยรู้สึกว่า วงเราก็มีเพลงเยอะกว่าเดิมสองเท่าแล้ว มันเลยเป็นจังหวะที่ดีและเหมาะสมที่เราจะจัดคอนเสิร์ตในรูปแบบนี้อีก
The MATTER : The very common of moderndog เป็นคอนเสิร์ตที่โดดเด่นและคนพูดถึงมาโดยตลอด สำหรับพวกคุณแล้ว มองคอนเสิร์ตครั้งนั้นยังไง
โป้ง : มันเป็นมาสเตอร์พีซของพวกเราเลยนะ ถึงตอนนั้นจะมีคนดูแค่สี่ร้อยคนต่อรอบ แต่รายละเอียดที่เกิดขึ้นมันสมบูรณ์แบบมากเสียจนเราจำทุกอย่างได้หมดเลย มันเป็นคอนเสิร์ตที่ขึ้นหิ้งของโมเดิร์นด็อกไปแล้ว
ป็อด อยากแนะนำให้เข้าไปดูในยูทูป เพราะมีใครก็ไม่รู้เอาดีวีดีบันทึกคอนเสิร์ตครั้งนั้นอัพโหลดขึ้นแล้ว (หัวเราะ) เอาจริงๆ คอนเสิร์ตนี้เป็นความประทับใจที่อยู่กับพวกเรามาตลอดเลยนะครับ เรายังจำได้ว่า มันเป็นคอนเสิร์ตที่เราได้ใกล้ชิดกับคนดูมากที่สุดครั้งหนึ่ง
The MATTER : แล้วการกลับมาทำคอนเสิร์ตอะคูสติกใหม่ในครั้งนี้จะมีความพิเศษยังไงบ้าง
เมธี : จุดเด่นของความอะคูสติก คือมันมีความเปลือยๆ ทางดนตรี เช่นเราต้องถอดดนตรีบางอย่างออกเพื่อให้เป็นเนื้อแท้จริงๆ เช่น เอฟเฟคกีต้าร์ต่างๆ ออกไปให้เหลือแต่แก่นดนตรีจริงๆ
โป้ง : เราเพิ่งคุยกับป๊อดว่า เวลาเราเล่นคอนเสิร์ตกัน เสียงของป๊อดก็จะขึ้นอยู่กับเสียงตีกลองของเรา เช่น ถ้าเราตีกลองแรง ป๊อดก็จะร้องดังไปด้วย ทีนี้ ถ้าเราทำคอนเสิร์ตให้เป็นอtคูสติก มันก็จะเหลือที่ว่างให้ทุกคนเข้าไปเติมเต็มตัวเองเข้าไป
The MATTER : โมเดิร์นด็อกมีคอนเสิร์ตใหญ่ทีไร หลายคนก็คาดหวังกับ setlist พอสมควร
ป๊อด : เราเพิ่งคิดกันเมื่อกี้เลย (หัวเราะ) เรื่องที่ดีมากคือ เราได้เลือกเอาเพลงที่ไม่ค่อยได้เล่นตามงานทั่วไปมาใส่ในคอนเสิร์ตนี้เยอะเลย มันจะมีเพลงแบบดื่มด่ำ เพลงส่วนตัว เพลงที่เข้าหาตัวตนข้างใน จะมีในคอนเสิร์ตนี้เยอะเลย
The MATTER : ที่พี่ป๊อดบอกว่าดื่มด่ำ มันหมายถึงยังไง
ป๊อด : มันเป็นเพลงแบบที่คนฟังฟังไปแล้วหลับตาไปด้วยได้ สามารถปล่อยให้เพลงมันซึมซาบเข้าไปข้างในเรา เพราะปกติ ทุกคนมักจะเข้าใจว่าโมเดิร์นด็อกมักจะมีเพลงที่เน้นกระโดดกันเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้ว พวกเราก็มีเพลงที่เงียบ เพลงที่ได้คุยกับตัวเองด้วยเหมือนกัน
เมธี : ความสนุกยังมีอยู่นะ แต่มันคงจะเป็นรสชาติใหม่ๆ คนเข้ามาดูน่าจะเข้ามาประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยเหมือนกัน
โป้ง : เพลงช้าก็สนุกได้นะ ถึงจะนั่งเล่นแบบอะคูสติก มันก็เดือดได้พอสมควร
ป๊อด : เราอาจจะไม่ได้มีแขกรับเชิญ แต่จะเป็นเครื่องดนตรีรับเชิญมากกว่า (หัวเราะ) เช่น เครื่องสายต่างๆ อย่าง ไวโอลิน เชลโล หรือเพอร์คัชชัน ที่อะไรแบบนี้หาดูได้ยากจากการแสดงทั่วไปของโมเดิร์นด็อก
เมธี : เราคิดว่าด้วยสเกลการจัดคอนเสิร์ตในโรงละคร คนดูก็จะได้ความรู้สึกใกล้ชิดเป็นพิเศษด้วย มองตากันแล้วสื่อสารกันได้
The MATTER : ตอนนี้โมเดิร์นด็อกก็ผ่านมา 26 ปี ในช่วงปีที่ผ่านมาหลายคนก็เห็นข่าวลือเรื่องโมเดิร์นด็อกจะยุบวงแล้ว คอนเสิร์ตนี้เป็นการคืนชีพของวงไหม
ป๊อด : สิ่งที่ดีงามจากข่าวว่าวงเราอวสานแล้วเนี่ย ข้อดีคือเราได้รับความรัก ความห่วงใยที่แฟนๆ ส่งมาให้เยอะมาก ทำให้เรารู้สึกว่าแฟนๆ ยังคิดถึงเรา ตอนแรกเราตั้งชื่อให้คอนเสิร์ตนี้ว่า ‘โมเดิร์นด็อกคืนชีพ’ เลยด้วยซ้ำนะ แต่ว่าสุดท้ายเราก็หันมาใช้ชื่อ very normal เพราะว่ามันสื่อถึงสไตล์ของโชว์นี้ที่กลับมาทำอะคูสติกคือ
เมธี : ใช่ แล้วมีคนที่ช่วยซื้อเสื้อโมเดิร์นด็อกคืนชีพด้วยนะ (หัวเราะ)
ป๊อด : ทีแรกเลยที่คิดทำเสื้อนี้ขึ้นมา คือเรามีไอเดียโทรบอกน้องทีมงานเลย ว่าผลิตเสื้อเลย ตอนแรกคิดว่าทำแค่สามร้อยตัวพอ แต่ไปๆ มาๆ ก็เปลี่ยนเป็นว่าก็ทำขายให้ทุกคนที่อยากได้ดีกว่า ทุกวันนี้ก็ยังมีคนตามหาอยู่เลย
The MATTER : พอใช้ชื่อ very normal เลยอยากรู้ว่าพี่ๆ มองความหมายของคำนี้ว่ายังไง
เมธี : เราคิดกันมานานแล้วว่า เดี๋ยวนี้พวกเราอายุเยอะขึ้น นอนเร็วขึ้น ห้าทุ่มเที่ยงคืนก็เริ่มหาวกันแล้ว พวกเราเลยอยากเซ็ตโชว์ขึ้นมาเอง เป็น residency programs มันน่าจะเป็น new normal ของวงการเพลงบ้านเราขึ้นมาก็ได้นะ โดยจะทำให้เห็นว่า นักดนตรีสามารถเลือกทำโชว์ของตัวเองได้ ไม่ได้เป็นแค่คนที่ถูกเลือกไปโชว์ มันจะเป็นโชว์ที่เราได้เลือกสิ่งแวดล้อมต่างๆ ด้วยตัวเอง
ป๊อด : พอไปเล่นในผับหรืองานต่างๆ เราควบคุมการแสดงได้ยากหน่อย เราเลยโหยหายการแสดงโชว์ที่เราได้ออกแบบเองมาตลอด มาในคอนเสิร์ตนี้พวกเราเลยเป็นคนที่คิดรูปแบบกันเองทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกสถานที่เลย
เมธี : จริงๆ ผับมันก็มีความสนุกนะ แต่โดยเครื่องเสียงและสิ่งแวดล้อม ทำให้เราต้องเล่นเพลงซ้ำค่อนข้างเยอะ เช่น บุษบา หรือ ตาสว่าง แต่จริงๆ แล้วโมเดิร์นด็อกมันมีมิติที่ดื่มดำและลึกซึ้งด้วย
The MATTER : แล้วมองคำว่า normal (ปกติ) ยังไง เพราะเป็นคำฮิตของปีนี้เลย
เมธี : normal มันเหมือนกับความธรรมดา แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติขึ้นมา เราจะรู้สึกว่า normal มันก็ดีนะ เช่นในช่วงโควิดระบาดแล้วเราสามารถกลับมาเล่นดนตรีได้มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ
ป๊อด : พอเมธีพูดแบบนี้ ทำให้ผมคิดว่า การเป็นอะไรที่ปกติเนี่ย มันดีงามและสำคัญมากนะ เมื่อไหร่ที่ไม่ปกติขึ้นมา เช่น สิวขึ้น ปวดฟัน เราก็จะแสวงหาความปกติแล้ว อยากกลับไปสู่ปกติ ที่ผ่านมาพวกเราพยายามองหาแต่ความพิเศษ แต่จริงๆ แล้วความปกตินี่แหละคืออะไรที่ยาก หรือบางทีต้องใช้ความกล้าที่จะเป็นปกติด้วย รวมทั้งกล้าที่จะเป็นอะไรธรรมดาๆ ซึ่งมันก็ต้องสู้กับอัตตาตัวเองเหมือนกัน
โป้ง : คำว่า normal มันเป็นธรรมชาติที่เกิดจากเรา ถ้าฝืนที่จะต้องทำอะไรโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากเราจริงๆ เราจะรู้สึกว่ามันไม่ธรรมชาติ
The MATTER : ช่วงแรกๆ moderndog ต้องเจออะไรแบบนั้นไหม การฝืนเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง
ป๊อด : พวกเราต้องปรับตัวตลอด เพราะตอนแรกๆ พวกเราก็เป็นเด็กจบใหม่ ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่หมด การเผชิญหน้ากับความสำเร็จ การรักษาความสำเร็จ การยอมรับกับความล้มเหลว มันเป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกมิติของการอยู่ในวงการเพลง
โป้ง : นอกจากเพลง 6 อัลบั้มที่เราทำจากพวกเราเอง คอนเสิร์ตที่เราทำกันเองจริงๆ มันก็มีแค่ไม่กี่ครั้ง นอกนั้นก็เป็นงานที่ต้องตอบโจทย์คนอื่นเกือบทั้งหมด
The MATTER : ในช่วงที่เกิดความไม่ปกติขึ้นในวง จัดการยังไง
เมธี : ส่วนใหญ่ก็จะพักกันไปก่อน บางทีก็อาจจะต้องหาจุดสมดุลตรงกลาง
ป๊อด : ผมคิดว่าเราต้องรู้จักสร้างสมดุล มันไม่ใช่ว่าเราจะสามารถหาจุดสมดุลได้ตลอดเวลา บางทีมันก็แน่นเกินไป บางครั้งก็อาจจะถ่างกว้างเกินไป เราต้องสามารถเลี้ยงตัวให้อยู่ในความพอดี การที่มากไป หรือน้อยไป มันก็คือสิ่งที่ไม่ปกติแล้ว สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้สึกตัวว่าสิ่งนี้มันกำลังเกิดขึ้นนะ แล้วก็มาช่วยกันจัดการสิ่งนี้กัน
The MATTER : ในช่วงที่หลายๆ คนอยากเป็นคนพิเศษหมดเลย การเป็นคนปกติมันสำคัญยังไงบ้าง
ป๊อด : ผมคิดว่ามันคือความเป็นธรรมชาตินะ แบบนี้โป้งพูดไว้
โป้ง : บางทีความต้องการที่จะเป็นคนพิเศษเกินไป มันก็เหนื่อยนะ ทั้งต้องดิ้นรนให้โดดเด่นให้ได้ แต่บางทีเราก็อยู่กับตัวเองแล้วก็ทำให้ตัวเองพอใจได้ เราอาจจะมองข้างนอกไว้ก่อนจนลืมมองตัวเองไป
ป๊อด : ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็เป็นเพราะพวกเราผ่านการใช้ชีวิตมากพอสมควรแล้วด้วยนะ เราเคยอยากได้สิ่งนั้น อยากเป็นสิ่งนี้ อยากไปถึงจุดนั้นจุดนี้ พวกเราก็ผ่านมาหมดแล้ว
The MATTER : แล้วความตื่นเต้นในการทำเพลงของโมเดิร์นด็อกในทุกวันนี้คืออะไร
ป๊อด : คือการได้คิดได้ออกแบบคอนเสิร์ตที่พวกเราอยากทำจริงๆ นี่แหละ ถ้านั่งรอรับงานอย่างเดียว เราก็ไปทำให้มันดีเท่านั้นเอง แต่งานแบบนี้มันสร้างความท้าทายให้กับพวกเรานะ เช่น ถ้าเล่นเพลงที่ไม่เคยเล่นเลยจะไหวไหม ถ้าเมธีจะไม่ได้ใช้เอฟเฟคอีกแล้วนะในโชว์นี้ เมธีจะไหวไหม มันอะไรแบบนี้ครับ (หัวเราะ)
The MATTER : เวลามองย้อนกลับไปในความสำเร็จแบบอดีต ทั้งสามคนมองช่วงเวลานั้นยังไงบ้าง
ป๊อด : ความสำเร็จในวันนี้ มันเป็นเรื่องความอิ่มเอมในขณะปัจจุบันมากกว่า ความสุขคือสิ่งที่เราทำมันในตอนนี้จริงๆ ถ้าเราอิ่ม เราก็สำเร็จแล้ว ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์แล้ว ถ้าทำนาทีนี้ให้มันอิ่มได้ เราก็จะอิ่มกับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ด้วยเหมือนกัน
เมธี : เราก็ยังเป็นวงที่ปรับตัวให้ผ่านยุคสมัยมาได้ ตั้งแต่เราทำแผ่นเสียง มายุคเทป มาออกซีดี เราก็เรียนรู้ที่จะปรับตัว ตอนนี้ก็เริ่มหันเริ่มมีไลน์กรุ๊ปด้วยนะ (หัวเราะ)
โป้ง : เราอยู่กันมายี่สิบหกปี มันผ่านอะไรกันมาเยอะมาก จุดที่อาจจะสูงสุด รวมถึงจุดที่ไม่ประสบความสำเร็จเลย แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราเลือกแล้วที่เรามาถึงตรงนี้ได้เพราะเราไม่ได้ยึดกับจุดสูงสุดหรือต่ำสุด เรารู้แล้วว่า วงกลมนี้มันจะอยู่ตรงไหน เราจะใช้แต่ละคนยังไง สามคนนี้สามารถเดินจากจุดนี้ไปได้เรื่อยๆ
The MATTER : แล้วในวันที่เจอกับความล้มเหลวล่ะ รับมือยังไง
เมธี : ยกตัวอย่างอัลบั้ม love me love my life ก็มีคนบอกว่าแป้กนะ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีสันที่แฟนเพลงชอบพูดถึงกัน กลายเป็นว่ามีคนกลับไปชอบอัลบั้มนี้ด้วยเหมือนกัน สมมติถ้าเราทำงานมาหกชุด แต่มันเหมือนกันทั้งหกชุดเลย มันก็คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่ แต่การมีช่วงดาร์ค ช่วงทดลอง มันก็ทำให้เรามีสีสันในชีวิตมากขึ้น
ป๊อด : เราไม่ได้มองผลลัพธ์ว่าสิ่งที่เราทำมันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่เรามองว่า เราชอบสิ่งที่เราทำอยู่มากเลย ถ้าคิดแบบนี้เราก็สำเร็จตั้งแต่ที่เราทำมันแล้วนะ ผลลัพธ์ที่จะตามมามันเลยเป็นองค์ประกอบเสริมมากกว่า เพราะเรารู้สึกอิ่มตั้งแต่ได้ทำงานนั้นแล้ว
โป้ง : คล้ายกับที่ป๊อดบอกเลย มันจบตั้งแต่ที่เราทำกันแล้ว คนอื่นจะวัดผลลัพธ์ยังไงก็ได้ เรารับได้หมดเลย
สนใจจองบัตรคอนเสิร์ต The very normal of moderndog ได้ที่ : https://www.thaiticketmajor.com/concert/the-very-normal-of-moderndog-2021.html