แอเรียลบ้าผู้ชาย? ทำไมหนังไม่ถ่ายทอดความมุ่งมั่นของตัวละครมากกว่าให้ดีกว่านี้? เมื่อเราต่างต้องมีบางสิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิต มันผิดหรือหากแรงบันดาลใจของเราเป็นเพียงการได้ใช้เวลาร่วมกับใครสักคน…
ท่ามกลางสารพัดข้อถกเถียงที่มีต่อภาพยนตร์ The Little Mermaid เวอร์ชั่น 2023 ทั้งการคัดเลือกนักแสดง การออกแบบเครื่องแต่งกาย หรือกระทั่งทรงผมของเงือกสาว ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยแทบจะทันทีที่หนังลงโรงอย่างแรงผลักดันของแอเรียลที่รับบทโดย แฮลลี เบลีย์ (Halle Bailey)
ตั้งแต่ฉบับอนิเมชั่นจากปี 1989 เรื่องราวของลูกสาวคนเล็กแห่งราชาไตรตันก็ว่าด้วยความใฝ่ฝันที่จะไปใช้ชีวิตบนผืนดินดั่งเนื้อหาในบทเพลงที่เราฟังจนคุ้นชิน อาทิ
“ที่คนเดินเหิน วิ่งเพลินกันไป สุขใจในแสงตะวันจากเบื้องบน…เที่ยวเพลินเดินเล่น ขอเป็นเช่นคนอยู่บนโลกงาม”
อย่างไรก็ดี เมื่อแอเรียลได้พบกับเจ้าชายอิรีค ที่รับบทโดยโจนาห์ ฮาวเออร์-คิง (Jonah Hauer-King) ความต้องการที่มีก็ขยับจุดเน้นไปเล็กน้อย แน่นอนเธอยังอยากมีขาและเท้า อยากเต้นรำ และย่างก้าวเฉกเช่นมนุษย์ แต่เป้าหมายใหม่ที่แทบจะสำคัญที่สุดของเธอแปรเปลี่ยนเป็นการได้เคียงคู่กับชายที่เธอรัก นำมาสู่กระแสวิพากย์วิจารณ์ที่ว่า หนังขับเน้นอาการคลั่งรักของแอเรียลมากเกินไปแทนที่จะใส่ใจกับความเป็นนักสู้ของเธอมากกว่านี้ ขณะเดียวกัน อีกฟากก็ออกมาปกป้องทันควันด้วยคำถามที่ว่า การที่ผู้หญิงสักคนใช้ความรักนำทางชีวิตนั้นผิดตรงไหน และต่อให้แอเรียลจะหลงรักอีริคหัวปักหัวปำอย่างที่ใครเขากล่าวอ้าง นั่นก็เป็นสิทธิและทางเลือกที่เธอสมควรได้เลือกด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ
การตั้งคำถามถึงแรงปรารถนาที่แท้จริงของตัวละครหญิงชวนให้เรานึกถึงวรรณกรรมคลาสสิคที่ชื่อเรื่องขึ้นต้นว่า ‘Little’ เหมือนกันอย่าง Little Women หรือ สี่ดรุณี ย้อนกลับไปในปี 1868 ลุยซา เมย์ อัลคอตต์ (Louisa May Alcott) ได้รังสรรค์ตัวอักษรโดยใช้ชีวิตวัยเยาว์ของตัวเองและพี่น้องเป็นแรงบันดาลใจ เกิดเป็นนวนิยายที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งซึ่งถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้วถึง 7 ครั้ง และครั้งล่าสุดเมื่อ 2019 ที่เขียนบทและกำกับโดยเกรต้า เกอร์วิก (Greta Gerwig) ก็การันตีคุณค่าได้ด้วยการเข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 6 สาขาเลยทีเดียว
ว่ากันตามตรง เงือกน้อยแอเรียลใน The Little Mermaid ก็แทบไม่ต่างจากสี่สาวตระกูลมาร์ชใน Little Women กล่าวคือ แต่ละคนล้วนมีฝัน สิ่งที่ต้องการ และความทะเยอะทะยานในแบบของตัวเอง ซึ่งความฝันของแต่ละคนก็นำไปสู่วิถีชีวิตและทัศนคติที่แตกต่าง เห็นตรงกันบ้าง ขัดแย้งบ้าง ทว่าไม่มีผิดถูก
หากมองอย่างผิวเผิน ตัวละครที่มีลักษะนิสัยใกล้เคียงกับแอเรียลมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นโจ มาร์ช ที่รับบทโดยเซอร์ชา โรนัน (Saoirse Ronan) พี่คนรองของตระกูล พวกเธอทั้งคู่มีความคิดเป็นของตัวเองชัดเจน อยากรู้อยากเห็น กล้าหาญ และก็พร้อมจะเสียสละเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่เสมอ ขอแค่ได้เป็นมนุษย์ แอเรียลก็พร้อมละทิ้งเสียงอันไพเราะของตัวเอง และเพื่อให้ได้นักเขียนเลี้ยงชีวิต ต่อให้ต้องส่งต้นฉบับโดยปลอมชื่อเป็นผู้ชาย โจก็ยินยอมพร้อมใจ
นอกจากนี้ วิธีคิดของทั้งสองตัวละครยังสวนทางกับค่านิยมในสังคมที่ตัวเองอาศัย พี่สาวทั้งหกของแอเรียลต่างก็เชื่อฟังผู้เป็นพ่อที่ว่าชาวเหนือน้ำเป็นเผ่าพันธุ์อันตราย ซึ่งฝั่งแอเรียลเห็นต่าง ขณะที่โจก็ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้ในยุคที่ผู้หญิงทั้งหลายต้องแต่งงานมีคู่ ดังนั้น หากจะเรียกโจว่าเฟมินิสต์คนแรกๆ ของโลกวรรณกรรมก็คงจะไม่เกินจริง
“ผู้หญิงมีความคิด มีวิญญาณ และหัวใจ พวกเธอมีความทะเยอทะยาน พรสวรรค์ เช่นเดียวกับความสวยงาม และหนูทนไม่ไหวที่คนเอาแต่พูดว่า โลกของผู้หญิงมีแค่ความรักเพียงอย่างเดียว”
การที่โจกล่าวประโยคนี้กับแม่ยิ่งสะท้อนว่า ตัวตนของสตรีในเวลานั้นถูกบริบทตีกรอบ และโจคือหนึ่งในไม่กี่คนที่อยากทลายกรอบอันไม่ชอบธรรมนี้ให้ราบคาบ หนังบอกให้ผู้ชมรู้อยู่ตลอดว่าเธอไม่เคยอยากแต่งงาน เพียงแต่ต้องการเพื่อนคู่คิดสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง ความสัมพันธ์ที่โจมองหาอาจไม่สอดรับกับค่านิยมจนทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกและแตกต่าง อย่างไรก็ตาม การตั้งคำถามของโจก็ช่วยกระตุกใจให้ผู้ชมตระหนักว่า เราทุกคนล้วนมีสิทธิเลือกทางเดินชีวิตของตนเอง ถึงแม้สิ่งที่เราต้องการ จะเป็นคนละเส้นทางกับแบบที่ผู้ใหญ่ในยุคหนึ่งวาดฝัน มันก็ไม่ใช่สิ่งผิด แต่เป็นเพียงพลวัตรอันนำไปสู่สังคมแห่งความเท่าเทียม
แต่ถึงแม้สิ่งที่โจเลือกจะไม่ผิด นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอีกทางที่เม็ก พี่สาวคนโตของตระกูลมาร์ชก้าวเดินนั้นไม่ถูกต้อง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็กเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่คล้ายคลึงกับแอเรียลไม่น้อยไปกว่าโจ ถ้าจะกล่าวว่าแอเรียลมีส่วมผสมของสองพี่คนโตจาก Little Women ก็คงได้ เพราะแอเรียลอยากเรียนรู้โลกกว้างไม่ต่างจากตัวละครนักเขียน พร้อมกันนั้นก็หลงรักชายหนุ่มผู้อ่อนโยนและมีอุปสัยใกล้เคียงเหมือนอย่างเม็ก
แม้จะเคยใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงละครเวที แต่เม็กก็มีความปรารถนาที่ตรงกับค่านิยมในเวลานั้น นั่นคือ ลึกๆ แล้วเธออยากเป็นภรรยาและอยากเลี้ยงดูลูกที่น่ารักเฉกเช่นสตรีส่วนใหญ่ในสมัยนั้น ก่อนจะถึงงานแต่งงานของผู้เป็นพี่ โจดึงดันชักชวนให้เม็กหนีพิธีสมรสไปพร้อมกัน เพราะเธอไม่อยากเสียพี่สาวคนนี้ให้กับชายหน้าไหนและไม่ต้องการให้ผู้เป็นพี่ละทิ้งเป้าหมายที่จะเป็นนักแสดง แต่แล้วเม็กก็ตอบโจกลับด้วยรอยยิ้ม
“แค่เพราะความฝันของพี่แตกต่างจากเธอ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สำคัญ”
หากต้องเลือกระหว่างการมีครอบครัวกับการได้ทำกิจกรรมที่โปรดปราน คำพูดนี้ชี้ว่าเม็กต้องการอย่างแรก เม็กไม่เหมือนโจที่พร้อมกระโจนสู่เส้นทางการเป็นนักเขียน ทำสิ่งที่ตัวเองรักโดยไม่ต้องการความรักจากใครอื่น ตรงกับกรณีของ The Little Mermaid ที่ผู้ชมบางส่วนอาจไม่ชอบที่แอเรียลมักตัดสินใจเพราะไฟรัก กับเม็กเอง คนดูก็อาจเสียดายที่ตัวละครนี้ต้องตกเป็นจำเลยของวิถีสังคมและอาจตั้งคำถามว่า ทำไมเธอจึงไม่ลองขวนขวายให้ถึงที่สุดเหมือนอย่างที่โจเคยลอง อย่างไรก็ดี ถ้าเราลองขยับออกจากความเห็นของตัวเองสักนิด ลองคิดแบบตัวละครดูสักหน่อย เราจะพบว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความต้องการเป็นของตัวเอง ไม่ว่าความต้องการนั้นจะตรงหรือตรงข้ามกับขนบของสังคมก็ตาม
เป็นความจริงที่ว่า สิ่งที่เราในปัจจุบันพยายามทำอยู่คือการต่อสู้เพื่อให้เพศหญิงและเพศใดๆ ไม่ตกอยู่ใต้ร่มเงาของความคิดแบบชายเป็นใหญ่ นี่ถือเป็นเจตจำนงที่สมควรกระทำเพื่อความเท่าเทียมของมนุษย์ แต่ท้ายที่สุด หากผู้หญิงสักคนยังคงมีความสุขกับการแต่งงาน ครองคู่กับสามี หรือมีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกน้อยตามวิถีปฏิบัติเดิม แม้ความต้องการนี้จะไม่สอดรับกับแนวคิดของโจหรือไม่ได้สนับสนุนการเรียกร้องสิทธิเท่าใดนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความต้องการนี้ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่สำคัญ หรือจะทำให้เม็ก แอเรียล หรือมนุษย์คนหนึ่งมีความสุขไม่ได้
กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ทุกคนพึงระลึกอยู่เสมอคือ วิธีคิดและการตัดสินใจของเรามาจากหัวใจจริงๆ หรือเกิดขึ้นเพราะเราตกอยู่ใต้เงื่อนไขของระบอบชายเป็นใหญ่กันแน่ เราคิดแบบนี้เพราะถูกสังคมปิตาธิปไตยหล่อหลอมซ้ำแล้วซ้ำแล้วว่าเพศหญิงต้องพึ่งพิงบุรุษ สตรีต้องเป็นภรรยา และกานดาต้องเป็นแม่รึเปล่า แต่ถ้าหากสามารถก้าวข้ามค่านิยมทั้งปวง ทบทวนถึงแรงกดทับฉบับเดิมๆ แล้วพบว่า ความฝันของฉันคือการได้เลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกจริงๆ ความฝันนี้ย่อมไม่ผิดและไม่สมควรมีใครมาดูถูกดังคำที่เม็กเอื้อนเอ่ยกับน้องสาวของเธอ
คุณค่าที่แท้จริงของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องไม่ใช่การตีกรอบว่าใครควรทำอย่างไร แต่คือการโอบกอดและพูดคุยอย่างจริงใจว่า เราทุกคนต่างก็เป็นแอเรียลและสี่พี่น้องตระกูลมาร์ชที่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองได้
แต่ถ้าหากสังคมยังบีบคั้นจนไม่สามารถเลือกในสิ่งที่ใจปรารถนา ก็คงถึงเวลาที่เราต้องช่วยกันทลายกำแพงที่ขวางกั้นเพื่อให้ความฝันของทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงเสียที
อ้างอิงจาก