It might not be the prettiest
But it’s the prettiest…to me
ไม่แน่ใจว่าเราจะเรียกตัวเองเป็นชาวกุ้งไหม แต่พอนึกย้อนไป HYBS เป็นหนึ่งในวงที่มาพร้อมกับกระแสเพลงไทยอินดี้ที่ทำเพลงแบบไม่ไทย คือถ้าฟังเราจะไม่รู้เลยว่านี่คือเพลงคนไทย เป็นเพลงที่มีทั้งสไตล์และเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษเกือบหมด แต่วงที่มาก่อนนิดหน่อยในยุคนั้น เช่น My Life as Ali Thomas ประกอบกับกระแสการกลับมาของ City Pop สไตล์เพลงรวมถึงสไตล์วงที่ย้อนกลับไปสู่อดีต ซึ่ง HYBS เองก็ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นแนวทางที่ผสมผสานเข้ากับความชอบอื่นๆ
ถ้าเรามองย้อนไป HYBS เป็นวงที่เท่ มีเพลงฟังสบาย นอกจาก Ride จะเป็นเพลงเปิดตัวและยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้ อีกเพลงที่พาเราไปยังจักรวาลความรู้สึกก็คือ Dancing With My Phone เพลงที่ทำให้การอกหักเป็นเรื่องแสนเท่ เป็นการอกหักที่เราเองก็คูลได้ โดยรวมเนื้อหาต่างๆ ของ HYBS จึงค่อนข้างพาเราไปยังพื้นท่ีที่มองโลกในแง่ดี ยิ่งถ้าเราได้เจอทั้งคู่ในงานแสดงสด สิ่งที่เรามักจะเจอคือความความน่ารักดุ๊กดิ๊กที่สอดคล้องกับดนตรีของทั้งคู่
สิ่งที่น่าใจหายคือเรารู้สึกว่าเราอยู่กับ HYBS มานานแล้ว และทุกเพลงของพวกเขายังสามารถนิยามได้ว่า ไม่มีเพลงไหนที่ทำให้เราผิดหวัง ทว่าเพลงแรกของ HYBS กลับปล่อยในช่วงปี 2021 ช่วงที่เราจมอยู่กับความกังวลและการถูกผูกติดอยู่กับบ้าน นอกจากระยะเวลาไม่กี่ปีในยุคโควิด-19 ที่ทำให้เรารู้สึกว่า HYBS เพิ่งจะอยู่กับเรามาไม่นาน บริบทของโรคระบาดเองก็อาจเป็นคำตอบหนึ่งว่า ทำไมเพลงของ HYBS จึงกลายเป็นแหล่งพักใจที่ดี ซึ่งทำให้เราแสนจะรักวงนี้และกลายเป็นชาวกุ้งโดยไม่รู้ตัว
ร้านสเต๊กบนดวงจันทร์ที่ Very Well Done, Pals
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา สำหรับ HYBS คงไม่ผิดที่เราจะพูดคำว่า ‘น่าเสียดาย’ และ ‘ไม่มูฟออน’ กับคอนเสิร์ตอำลา HYBS : WELL DONE CONCERT คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของวง เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายของวงตั้งแต่การปล่อยอัลบั้ม WELL DONE ที่เป็นอัลบั้มสั่งลา และเป็นการแสดงคอนเสิร์ตที่เล่นทุกเพลงของวง รวมถึงเพลงคอลแลปต่างๆ ครบทุกเพลง ทั้งหมดนี้ HYBS ทำให้วลี ‘Well Done’ นั้นเป็นจริง คือพวกนายทำมันได้ดี เป็นการอำลาที่เราต่างตบบ่ากัน และพึมพัมว่า “ทำได้ดีแล้วนะ” แม้ว่ามันจบลงท่ามกลางความเสียดาย แต่ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ
เอาเป็นว่าคอนเสิร์ต HYBS เป็นคอนเสิร์ตที่แสดงให้เห็นความตั้งใจและศักยภาพแทบจะทุกๆ ด้านของการแสดงตัวตน การออกแบบเวที การสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจากแทบจะทุกองค์ประกอบเท่าที่เวทีการแสดงหนึ่งจะทำได้ เราได้เห็นงานภาพ งานเสียงที่ทำให้เห็นความตั้งใจที่แสนจะถี่ถ้วน เห็นร้านสเต็กที่เราเคยเห็นแค่ในปกหรือในคลิปกลายเป็นพื้นที่สามมิติ มีพื้นที่ด้านใน เห็นสารพัดบรรยากาศที่ร้านสเต็ก และดนตรีที่พาเราไปพื้นที่เมือง ดวงจันทร์ และจักรวาลอันแสนไกล เราเห็นการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ตู้โทรศัพท์ ป้ายร้าน ไปจนถึงการปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคา เป็นความสนุกที่เรานิยามได้ว่า ทำถึง เอาเรื่อง เอาทุกเม็ด
คอนเสิร์ตส่งท้ายของ HYBS จึงค่อนข้างสะท้อนตัวตนของพวกเขา นอกจากดนตรีที่พาเราหลีกหนีจากโลก หรือพาความรู้สึกของเราไปยังจักรวาลใหม่ๆ ของชาวกุ้งที่ทั้งสวยงามและขี้เล่น ตัวคอนเสิร์ตส่งท้ายยังค่อนข้างสะท้อนศักยภาพดนตรีและการแสดงในนามของวงและผู้จัดที่ยืนอยู่ในระดับโลกได้
อดีตที่สวยงามและการหลีกหนี
นอกจากการอำลาแล้ว ความน่าสนใจของ HYBS คือจังหวะเวลาของวงที่เกิดขึ้นช่วงโควิด-19 ตรงนี้เองที่ดูเหมือนว่า เพลงและดนตรีจะกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่เข้ามามีบทบาทต่อความรู้สึกของเรา ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า เพลงของ HYBS นั้นดีด้วยตัวเอง แต่ตัวเพลงเองอาจเป็นพื้นที่สำคัญที่มาสนองความรู้สึกของเราพอดี พูดง่ายๆ คือเพลงของ HYBS มีโทนหรือบรรยากาศที่มองโลกในแง่ดี น่ารัก โดยบรรยากาศของ HYBS เป็นส่วนหนึ่งของกระแส Nostalgia นั่นคือการมองย้อนกลับไปยังอดีตที่สวยงาม ซึ่งเป็นกระแสสำคัญที่เกิดขึ้นในขณะที่เรารู้สึกว่าโลกใบนี้มืดลงกว่าปกติ
นั่นจึงไม่แปลกเลยที่ในช่วงที่เราล็อคดาวน์ไปไหนไม่ได้ เพลงเช่น Ride ที่พูดถึงบรรยากาศ Road Trip การกลับไปใช้เวลากับครอบครัว การหนีออกจากเมือง หรือถ้าตามกระแสในทำนอง City Pop อย่างการวาดบรรยากาศเมืองขึ้นใหม่ เช่น Dancing With My Phone เพลงที่ให้ภาพเก่าๆ ของเมืองที่เรายังอยู่กับตู้โทรศัพท์ แถมยังทำอาการอกหักให้สวยงาม กระทั่งมุมของเมืองเองก็มีความสวยงาม หรือ Killer เพลงโปรดที่ให้ภาพตัวร้ายสาวในหนังสายลับ Femme Fatale มาอธิบายการถูกหักอกที่เราทุกคนพบเจอ
เนื้อหาเพลงต่อๆ มาจากเพลงรุ่นแรกส่วนใหญ่ HYBS ก็ยังพาเราให้เป็นคนที่อาจจะแพ้บ้าง หลีกหนีบ้าง เช่น Run Away เพลงที่พูดถึงเรื่องซวยๆ แล้วให้เรายอมรับไป หรือ Let It Rain ความพ่ายแพ้ที่สวยงามก็อาจจะไม่เสมอไปเพราะในความเป็นคนแพ้สุดเท่ สุดท้ายก็อาจกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้เช่นในเพลง Rockstar
ดังนั้น จากเนื้อหาเพลงไปจนถึงสไตล์ภาพ เช่น ร้านสเต็กที่เปลี่ยนที่เปิดจากชายหาด ไปจนถึงในเมืองและบินไปเปิดไกลถึงในจักรวาล นัยหนึ่งของเพลงแบบ HYBS คือการเปิดพื้นที่พิเศษให้เราได้หลบหนีออกไปจากโลกแห่งความจริง ไม่ว่าจะหลบไปสู่อดีตที่สวยงาม หรือไปยังดินแดนแสนไกลอื่นๆ ซึ่งต่อมาเพลงที่น่ารักมากที่ยอมรับการหนีจากความจริงไปเลย เช่น Run Away
เรียบง่าย กระจัดกระจาย แต่งดงามราวบทกวี
ความโรแมนติก หมายถึง การพาเราไปยังจินตนาการที่สวยงาม ซึ่งเป็นจุดเด่นมากๆ ของวง ความพิเศษของ HYBS เป็นวงที่แต่งเนื้อเพลง หรือใช้ถ้อยคำได้เรียบง่ายแต่สวยงาม เมื่อเอาความธรรมดาไปผสมกับดนตรี หรือบางกรณีอย่างงานภาพ เช่น Prettiest To Me กับการผสมผสานกันของทุกองค์ประกอบที่ทำให้เรานั่งดูเฉยๆ ก็น้ำตารื้นได้
Prettiest To Me ถือเป็นอีกเพลงหนึ่ง โดยเฉพาะ Official Video ของทางค่ายเป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นความไม่ธรรมดา รวมถึงการข้ามของดนตรีและรสนิยมของวงไปสู่ระดับนานาชาติ อันที่จริงเนื้อเพลงดังกล่าวถือว่าเล่าเรื่องธรรมดามาก เป็นการนิยามความรักที่แสนจะธรรมดา เป็นคำธรรมดาที่เราอาจจะใช้จีบกัน วลีเชยๆ ให้เราเป็นทำนอง ส่วนเธอเป็นคำร้อง สุดท้ายด้วยดนตรีและวาทศิลป์ก็ทำให้ในความธรรมดานี้ เนื้อเพลงหรือความรักของเราที่มันอาจจะไม่สวยงามน่ารักที่สุด (It might not be the prettiest) ไม่อยู่ไปนานเท่านาน (It might not last forever) แต่มันกลับงดงามที่สุดสำหรับเรา
ตัววิดีโอ Prettiest To Me ยังเป็นการใช้เทคนิคที่แปลก คือให้ความรู้สึกหน่วงๆ แม้ตัวเพลงจะพูดถึงความรักหวานชื่น แต่ด้วยบรรยากาศและดนตรีกลับเหมือนเต็มไปด้วยความรู้สึกปะปนไปในหลายๆ ด้าน จะเศร้าก็ไม่เชิง จะหวานแบบยิ้มร่าก็ไม่ใช่ เป็นการพูดถึงความรักที่สวยงาม ทว่ารู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ท่วมตาไปซะแล้วด้วยการผสมกันของทุกองค์ประกอบ
ถ้าเราไปดูช่องคอมเมนต์ เราจะเห็นว่าเพลงและงานภาพของ Prettiest To Me นั้นทำงานกับแทบจะทุกชาติ และทุกเสียงพูดถึงการพาดนตรีของวงไปสู่ระดับที่สัมผัสหัวใจของผู้คนอย่างประหลาด สำรวจความรู้สึกที่ซับซ้อนด้วยสิ่งที่แสนจะเรียบง่าย ทำให้คิดถึงความรักครั้งแรก หรือพาให้คนที่หัวใจด้านชากลับไปรู้สึกรักอีกครั้ง
เทคนิคถ้อยคำของ HYBS จึงค่อนข้างคล้ายกับกวีนิพนธ์ร่วมสมัยที่มักพูดถึงเรื่องธรรมดาๆ โดยมีความไม่ธรรมดาเล็กน้อยในการพูดถึง เช่น การใช้ถ้อยคำหรือการเปรียบเปรย และอีกวิธีคือการปล่อยสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นเศษเสี้ยวแล้วค่อยๆ ประกอบจนกลายเป็นภาพบางอย่างที่ทำให้เราจินตนาการร่วมกันได้
คิดดูว่าเพลงแบบ Ride ซึ่งเป็นเพลงที่ใช้มุมมองแบบ City Pop ที่ให้ภาพการขับรถไปเรื่อยๆ ประโยคแรกของเพลงค่อยๆ พาเราไปยังถนน ทำให้เรามองเห็นช่วงเวลาเที่ยงคืนที่มืดมิดที่สุด ภาพคนสองคนที่รายล้อมไปด้วยดวงดาว (Surrounded by the stars) และเป็นดาวที่ฉายประกายเฉพาะคุณ (they’re shining just for you) คือเป็นหนุ่มเศร้าที่แสนจะหวานและมีชั้นเชิงอะไรขนาดนั้น
HYBS ยังเป็นศิลปินวงหนึ่งที่ทำเพลงไม่ใช่เพลงไทย แต่ดูเหมือนว่าตัวตนของของพวกเขาจะมีเอนเนอจี้คนไทยมาก เช่น การเป็นคนตลกถึงขนาดเอามุก ‘เคยเป็นกุ้งไหม?’ (หมายถึงกะปิเคย) มาตั้งเป็นชื่อวง หรือการใช้การเปรียบเรื่องการทำสเต๊กและตีความจากร้านสเต๊กที่เปิดร้าน นวดและย่างเนื้อจนมาถึงคอนเซ็ปต์ส่งท้าย ก็เป็นการใช้การเปรียบที่คมคายและน่ารักเข้าถึงได้ที่สะท้อนความสบายๆ แต่ก็เป็นคนจริงจังและโรแมนติกมากๆ ได้ในคนเดียวกัน ตรงนี้จึงน่าจะเป็นอีกส่วนที่ทำให้เรารัก HYBS
สุดท้ายไม่น่าเชื่อว่า เราจะวนกลับไปสู่เนื้อหาของ Ride ที่จริงๆ พูดถึงการมาถึงของเวลาที่เราต้องจำต้องจากกัน การจากลาเป็นเรื่องธรรมดา ความเดียวดายก็เป็นเรื่องธรรมดา สำหรับ HYBS ก็นับเป็นอีกปรากฏการณ์วงดนตรีไทยที่น่าจะเกี่ยวข้องกับบริบท และเป็นการนำเอาตัวตนของวงมาผสมเข้ากับความสามารถทางดนตรี และงานการผลิตอื่นๆ เช่น งานภาพไปจนถึงคอนเสิร์ต เป็นอีกหนึ่งวงที่แม้จะต้องจากลา แต่เราก็จะจดจำกันไว้
แม้จะต้องจากกันไป แต่เราเองก็คงพูดเหมือนเดิมว่า “ทำได้ดีแล้วเพื่อน Very Well Done”
อ้างอิงจาก