กว่าหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายที่สะพานลอนดอนบริดจ์ซึ่งคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปถึงแปดคน เหตุการณ์ที่ชายฉกรรจ์สามคนขับรถตู้ไล่ชนคนบนสะพานในยามวิกาลก่อนจะลงจากรถพร้อมมีดมุ่งเข้าทำร้ายผู้คนเดินถนนในตลาดบริเวณใกล้เคียงเป็นการก่อเหตุครั้งที่สามแล้วในรอบสี่เดือนที่ผ่านมาในสหราชอาณาจักร ครั้งแรกในเดือนมีนาคมที่ใจกลางกรุงลอนดอนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ และอีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่เมืองแมนเชสเตอร์
ตัวผมเองใช้ชีวิตในมหานครแห่งนี้มาเกือบสามปีเต็มแล้ว แม้ว่าจะได้ยินข่าวการก่อการร้ายในประเทศเพื่อนบ้านฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนั้นเกิดขึ้นเลยในอังกฤษ ผมเชื่อเสมอว่าประเทศอังกฤษมีความปลอดภัยสูงมาก และเชื่อใจในหน่วยรักษาความปลอดภัยว่าสามารถดูแลป้องกันประชาชนในประเทศได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ‘พวกเขา’ ได้เปลี่ยนเป้าหมาย หันมีดและระเบิดมายังประเทศนี้เสียแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องสามครั้งในสี่เดือนเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี แม้ในใจจะหวั่นๆ แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวสักเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าเรื่องนี้อยู่เหนือการควบคุมทั้งหลายทั้งปวงของผมก็ว่าได้ ที่ทำได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นการใช้ชีวิตไปตามปกติ และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเป้าหมายหลักเช่นกิจกรรมหรือสถานที่ที่มีคนมาชุมนุมกันจำนวนมาก
วันนี้ ผมใช้เวลาช่วงบ่ายวันเสาร์เพื่อแวะไปที่สะพานลอนดอนบริดจ์ ผู้คนยังคงคลาคล่ำเต็มสถานีรถไฟใต้ดินและแน่นขนัดไม่แพ้กันเมื่อเดินออกมายังบริเวณตีนสะพานที่เกิดเหตุไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งแปลกตาที่เห็นได้ชัดเจนแต่ไกลคงจะหนีไม่พ้นช่อดอกไม้หลายร้อยช่อที่ครอบครัวและเพื่อนพ้องของเหยื่อผู้สังเวยชีวิตทั้งแปดคนนำมาวางเพื่อไว้อาลัยแก่พวกเขา
ใกล้ๆ กันมีกำแพงสองด้านที่เต็มไปด้วยโปสเตอร์ แผ่นกระดาษ และสติ๊กกี้โน้ตพร้อมข้อความไว้อาลัยผู้เสียชีวิตและให้กำลังใจกับชาวลอนดอนเนอร์ที่ยังต้องดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งหน้าจะเกิดขึ้นอีกไหมและเมื่อไหร่ ข้อความส่วนใหญ่ให้กำลังใจว่าให้เข้มแข็ง บางส่วนบอกว่าให้เชื่อว่าสุดท้ายความรักจะเอาชนะความเกลียดชังได้ มีคนจำนวนมากที่เดินผ่าน หยุดดู หยุดอ่าน บ้างก็ถ่ายรูป บางคนหยิบแผ่นสติ๊กกี้โน้ตขึ้นมาเขียนเพื่อเพิ่มตัวเขาเองเข้าไปเป็นอีกหนึ่งเสียงบนกำแพงนี้
ผมได้ลองถามชาวลอนดอนเนอร์สี่คน ว่ามีความรู้สึกอย่างไรกับการก่อการร้ายสามครั้งที่ผ่านมาในสหราชอาณาจักร
อเล็กซานดร้า เป็นคนลอนดอนและอาศัยอยู่ไม่ไกลจากสะพานลอนดอนบริดจ์ เธอบอกว่าเดินมาแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ผมถามเธอถึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ที่ผ่านมาฉันก็คาดไว้แล้วว่าประเทศอังกฤษน่าจะหนีไม่พ้นจากการก่อการร้าย ไม่วันใดก็วันหนึ่งเรื่องนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เราจะต้องช่วยดูแลกันและกันให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เรามีคำพูดติดปากกันว่า “Keep Calm and Carry On” (ถ้าแปลเป็นภาษาไทยบ้านๆ ก็คือ “จงใจเย็นๆ และสู้ต่อไป” ซึ่งเป็นคำพูดในโปสเตอร์ปลุกขวัญชาวอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่าตัวฉันเอง เพื่อนๆ และครอบครัว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กลัวเรื่องนี้เสียเลย ฉันเชื่อว่าหากเราทำตัวให้เข้มแข็ง คอยสอดส่องดูแล สื่อสารระหว่างกัน และรายงานเจ้าหน้าที่ทันทีหากมีสิ่งต้องสงสัยหรือไม่ปกติเกิดขึ้น เราจะป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกได้พร้อมกับกลับมาใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยได้อีกครั้งหนึ่ง”
บ๊อบบี้ บรู๊ซ เป็นคนสก๊อตแลนด์ที่ย้ายมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในลอนดอนได้หลายปีแล้ว ผมถามว่าเขาคิดอย่างไรกับเมืองนี้และเหตุการร้ายที่ผ่านมา เขาบอกว่า
“ผมคิดว่าลอนดอนเป็นเมืองที่มีคนมาจากทั่วโลกและเป็นเมืองที่น่าอยู่มาก
“ผมไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ผมรู้ว่ามีคนอีกจำนวนมากที่กลัว แต่ผมคิดว่าการก่อการร้ายเป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก และความเสี่ยงที่คุณจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ก็น้อยมากๆ นอกจากนี้มันก็เป็นเรื่องที่คุณไม่ควรจะต้องไปกังวลกับมันมากนักเพราะว่ามันแทบคาดเดาอะไรไม่ได้เสียเลยว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ พอๆ กับที่คุณเดินๆ อยู่แล้วจะมีของตกลงจากตึกมาทับคุณนั่นแหละ
“โดยพื้นฐานแล้วผู้ที่กระทำการก่อการร้ายแบบนี้ก็เพราะมุ่งหวังให้คนกลัวและไม่กล้าที่จะออกไปใช้ชีวิตอย่างเสรีตามปกติ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรจะกลัว (เพราะนั่นหมายความว่าผู้ก่อการร้ายทำได้สมหวังตามเป้าหมายที่ต้องการ) โดยส่วนตัวแล้วผมไม่กลัวกับเรื่องอะไรแบบนี้ ผมคงไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผม”
น้าน้อย-วงเดือน เหล่ามงคลชัยศรี คนไทยแต่กำเนิดที่มาทำธุรกิจร้านอาหารไทยอยู่ประเทศอังกฤษได้ 40 ปีแล้ว ผ่านเหตุการณ์ก่อการร้ายมาหลายรูปแบบตั้งแต่สมัยขบวนการ IRA ปี 2000 หรือการก่อการร้ายระเบิดพลีชีพในปี 2005 บอกผมว่า “เรื่องการก่อการร้ายที่อังกฤษนี่ปกติแล้วจะไม่ค่อยกลัวเพราะเราจะไม่ได้ไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่านบ่อยๆ นานๆ ไปทีนึง ก็ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เพราะถ้าเรากังวลมากเราก็จะไม่กล้าออกไปไหนเลยแล้วก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะมีชีวิตที่มีความสุข ไม่ต้องกลัวอะไรไปก่อน เพียงแต่เราก็จะไม่ไปในสถานที่ที่คนเยอะๆ อีกอย่างหนึ่งคือถ้ามันจะเกิดกับเรา อยู่ตรงไหนมันก็เกิด ถ้ามีความจำเป็นถึงจะเข้าไปในเมืองที่มีคนพลุกพล่าน แต่ถ้าไม่จำเป็นก็จะอยู่บ้านที่นอกเมืองดีกว่า
“เมื่อก่อนมี IRA ก็รุนแรง บอมบ์ตรงโน้นบอมบ์ตรงนี้ก็เจอมาเยอะ ถ้ามันไม่เกิดกับเรามันก็ไม่เกิด แล้วสุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ ก็เลยไม่ได้กังวลมากนัก แล้ว IRA สุดท้ายก็ตกลงกันได้ เรื่องพวกนี้มันมีเกิดมันก็ต้องมีดับ เรื่องความปลอดภัยทางรัฐบาลก็ต้องดูแลอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้เค้ามีทั้งทหารตำรวจเดินตรวจตราอยู่ ก็คงไม่ได้จะทำกันอีกได้ง่ายๆ ถ้าเราเห็นอะไรแปลกๆ เราก็หลบมาซะ อย่าไปอยู่ตรงนั้น”
ส่วนนักเรียนทุนที่มาศึกษาต่อ ณ ประเทศสหราชอาณาจักร กุ๊ก-สุภานันท์ สุจริต บอกกับผมว่า “ตั้งแต่มาอยู่ที่ลอนดอนเกือบสามปี รู้สึกว่าที่นี่เป็นเมืองที่ปลอดภัยมาก แม้กระทั่งเป็นผู้หญิงแล้วเดินทางกลับบ้านคนเดียวตอนดึกๆ ก็ยังรู้สึกปลอดภัย แต่จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศสในช่วง 3 ปีนี้ ก็คิดไว้ในใจว่าที่ไหนในโลกก็ไม่น่าจะปลอดภัยทั้งนั้น แต่ตอนนั้นก็ยังแอบชื่นชมว่าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของอังกฤษเนี่ยทำงานได้ดีมาก เพราะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น (หรืออาจจะไม่มีการก่อเหตุร้ายก็เป็นได้)
“แต่หลังจากที่เกิดเหตุที่สะพานเวสมินเตอร์ และโดยเฉพาะแมนเชสเตอร์ซึ่งนับว่ารุนแรงมาก อีกทั้งยังมาเกิดต่อเนื่องกันที่ลอนดอนบริดจ์ รู้สึกว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นจริงๆ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือต้องระมัดระวังตัวเอง แต่นั่นล่ะต้องระมัดระวังตัวเองอย่างไร หลังจากเกิดเหตุการณ์มหาวิทยาลัยประกาศข้อควรปฏิบัติ โดยเฉพาะหากตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างเพื่อเป็นแนวทางให้นักเรียนเลือกปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ
“โดยส่วนตัวคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถหยุดกิจวัตรประจำวันหรือหยุดกิจกรรมต่างๆ ได้ แต่สิ่งสำคัญเราต้องมีสติและตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องระแวงทุกสิ่งอย่างจนเกินไป”
นี่อาจจะเป็นอีกครั้งที่ประเทศอังกฤษถูกท้าทายจากปัญหาหลายด้าน ทั้งการก่อการร้าย การจะต้องออกจากสหภาพยุโรป และการเมืองในประเทศที่ก็วุ่นวายไม่แพ้กัน และคงเป็นอีกครั้งที่ชาวอังกฤษจะต้องทำตามคำปลุกขวัญอันแสนจะโด่งดังที่อเล็กซานดร้าบอกกับผมว่า “KEEP CALM AND CARRY ON”