ครั้งแรกที่ผู้เขียนทราบว่าภาพยนตร์เรื่อง Drive My Car ของ ริวสุเกะ ฮามากุจิ มีความยาวถึงสามชั่วโมงก็ออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจากมันดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของ ฮารูกิ มูราคามิ ที่มีความหนาราว 50 หน้าเท่านั้น
แต่จากการดัดแปลงผลงานของมูราคามิสู่จอเงินที่ผ่านมา เราพบว่าการดัดแปลงนิยายขนาดยาวของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันเต็มไปด้วยการบรรยายความรู้สึกภายใน ความเจ็บปวด และการย้อนอดีตขนาดยาว หนังเรื่อง Norwegian Wood (2010) จึงออกมาไม่ถูกใจแฟนหนังสือสักเท่าไร แต่ผู้เขียนสังเกตว่าหนังที่ ‘เวิร์ก’ มักเป็นเรื่องสั้นที่ผู้กำกับนำไปสร้างเป็นโลกของตัวเอง อย่างเช่น Burning (2018) ที่กลายเป็นหนังทริลเลอร์ยาวสองชั่วโมงครึ่งที่สะท้อนเรื่องชนชั้นและความเหลื่อมล้ำของสังคมเกาหลีใต้ได้อย่างคมคาย
ต้นฉบับของ Drive My Car มีเรื่องราวชนิดสรุปได้ในสองประโยค “ชายคนหนึ่งสูญเสียภรรยาไป เขาเล่าเรื่องของตัวเองให้คนขับรถหญิงฟัง” แต่เอาเข้าจริงแล้วฮามากุจิยังหยิบยืมวัตถุดิบมาจากเรื่องสั้นอีก 2 เรื่องจากเล่ม Men Without Women (2014) มาใส่ในหนัง นั่นคือเรื่องของหญิงสาวที่ชอบเล่าเรื่องระหว่างมีเซ็กซ์จาก Scheherazade และชายผู้เห็นภรรยายร่วมรักกับคนอื่นต่อหน้าต่อตาใน Kino
ถึงกระนั้นการทำ Drive My Car เป็นหนังยาวสามชั่วโมง ฮามากุจิก็แทบไม่ได้เพิ่มพล็อตหรือภูมิหลังอะไรเพิ่มเติมจากเรื่องสั้นทั้งสามเลย สิ่งที่เขาทำคือการเล่นกับ ‘เวลา’ ในเชิงภาพยนตร์ ในขณะที่ทุกวันนี้เราคุ้นชินกับภาพยนยนตร์หรือมิวสิควิดีโอที่มีการตัดต่อทุกสองวินาที จังหวะเวลาใน Drive My Car กลับดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย ด้วยฉากขับรถ ฉากบทสนทนา การถ่ายทอดสีหน้าท่าทางของผู้พูด และปฏิกิริยาตอบรับของผู้ฟัง ซึ่งตัวหนังเองก็มีเวลาเป็นปัจจัยสำคัญ เช่นว่า หากลองวัดระยะทางของโรงละครกับบ้านพักของพระเอก จะพบว่ามันต้องขับรถยาวถึงหนึ่งชั่งโมงครึ่ง ดังนั้นเขาต้องใช้เวลากับคนขับรถหญิงอย่างน้อยวันละสามชั่วโมง จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ทั้งคู่จะค่อยๆ เปิดใจกัน ยังไม่รวมถึงตอนท้ายเรื่องที่ขับรถจากฮิโรชิม่าไปยังฮอกไกโด ซึ่งใช้เวลาราว 26 ชั่วโมง
หากจะพูดถึงเรื่องเวลาในการทำหนังของฮามากุจิ ก็ต้องย้อนไปถึงผลงานมาสเตอร์พีซของเขาที่ชื่อว่า ‘Happy Hour’ (2015) ซึ่งเป็นหนังความยาวห้าชั่วโมงว่าด้วยชีวิตของผู้หญิง 4 คน แต่ละฉากในหนังเรื่องนี้ล้วนยาวนานกว่าความคุ้นชินทางภาพยนตร์ของเรา อาทิ ฉากเวิร์กช็อปเคลื่อนไหวทางร่างกายหนึ่งชั่วโมง ฉากคนคุยกันบนรถเมล์ครึ่งชั่วโมง หรือฉากนักเขียนอ่านหนังสือออกเสียง 20 นาที (ผู้เขียนมักมอบหมายให้นักศึกษาดูหนังเรื่องนี้เพื่อการสอบ และต้องเขียนคำสาปแช่งขำๆ ไว้ว่า “ใครที่ดูแบบกดข้ามขอให้สอบตก”) ซึ่งผู้เขียนคิดว่าวิธีการทางเวลาใน Happy Hour และ Drive My Car มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เพียงแต่เรื่องหลังอาจจะลดความฮาร์ดคอร์ของความยาวของแต่ละฉากลง
ฉากการพูดคุยใน Drive My Car จะมีหลายฉากและยาวนาน ทว่าฮามากุจิยังเพิ่มมิติเรื่องการสื่อสารเข้าไปอีก เขาจงใจให้พระเอกกำกับละครเวทีเรื่อง ‘Uncle Vanya’ ของ แอนตัน เชคอฟ ในเวอร์ชันที่นักแสดงมีกันหลายสัญชาติ พูดหลายภาษา และที่น่าสนใจที่สุดคือมีนักแสดงใช้ภาษามือด้วย การมีตัวละครสาวเกาหลีที่ใช้ภาษามือทำให้ช่วงเวลาของหนังถูกยืดขยายออกไปอีก ด้วยไวยากรณ์ของภาษามือที่ต้องใช้ท่าทาง เราได้จับจ้องการเคลื่อนไหวของเธอพร้อมกับตัวละครที่กำลังรับฟัง และต้องตามด้วยการแปลเป็นคำพูดจากผู้รู้ภาษามืออีกคน อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่าภาษามือกลายเป็นไม้เด็ดของหนังในฉากแสดงละครเวทีท้ายเรื่องที่สาวเกาหลีแสดงภาษามือถึงสารสำคัญว่าด้วยการมีชีวิตต่อไป หนังจงใจถ่ายภาษามือพร้อมกับความเงียบงัน ทำให้เวลาในฉากนี้เคลื่อนตัวช้ากว่าปกติ หากแต่มีความหมายในแทบทุกวินาที เป็นฉากที่ยืนยันว่าฮามากุจิจัดเรียงจังหวะเวลาในหนังของเขาได้อย่างแม่นยำ
ตอนดู Drive My Car จบใหม่ๆ มีสิ่งที่ผู้เขียนรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง หนังดูจะเน้นย้ำสารบางอย่างมากไป ไดอะล็อกว่าด้วยการต้องใช้ชีวิตต่อไปแม้จะทนทุกข์แค่ไหนปรากฏทั้งในฉากที่พระเอกคุยกับนางเอกที่ฮอกไกโดและฉากละครเวที แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้เขียนก็เริ่มตระหนักได้ว่ามันอาจเป็นนัยถึงการที่ ‘ชีวิต’ และ ‘ศิลปะ’ ล้วนสะท้อนและลอกเลียนซึ่งกันและกัน หากแต่ตัวพระเอกที่เล่นละครเรื่อง Uncle Vanya มาหลายปี พูดประโยคธีมมาเป็นร้อยรอบอาจไม่ได้ซึมซับกับแง่มุมของการมีชีวิตต่อจากละครเลย เพราะชีวิตเขาตกอยู่ในกับดักความเจ็บปวด ทุกครั้งที่ต่อบทกับเทปเสียงของภรรยา ปริศนาแห่งชีวิตที่ว่าทำไมภรรยาถึงต้องมีสัมพันธ์กับชายอื่น-ทั้งที่เธอยังรักเขา-ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป
ในแง่หนึ่ง Drive My Car ดูจะมีความขัดแย้งและหักล้างในตัวเองอยู่เช่นกัน ช่วงต้นเรื่องมีประโยคสำคัญที่ตัวละครพูดว่า “ความจริงนั้นน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการไม่รู้ความจริง” แต่เมื่อหนังดำเนินถึงช่วงท้าย เราอาจต้องมาคิดทบทวนว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ สุดท้ายแล้วพระเอกก็ไม่รู้ว่าทำไมภรรยาต้องมีชู้ หรือคืนสุดท้ายก่อนตายเธอพยายามจะบอกอะไรกับเขา หรือตัวนางเอกเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเธอถึงไม่ช่วยแม่ออกมาจากเหตุดินถล่ม