ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสี อาจมีบางคนหลบซ่อนอยู่ในเงามืด เตรียมออกมาผลิบานยามค่ำคืน ปลดเปลื้องพันธนาการมากมายที่คอยรัดรึงตัวตนเอาไว้ ทว่าเมื่อแสงแดดเริ่มสาดส่อง ดอกไม้ที่เคยเบ่งบานในยามค่ำ ก็จะกลับมาเหี่ยวเฉา เปลือกนอกถูกนำกลับมาห่อหุ้มตัวตนของเขาอีกครั้ง และกลับไปเป็นเพียง ‘ใครสักคน’ ผู้ใช้ชีวิตคล้อยตามสังคม เพื่อหวังว่าโลกจะไม่ต้องใจร้ายกับตัวเขาอีกต่อไป
คงเป็นเรื่องน่าเศร้า หากตัวเราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ดั่งใจนึก แม้แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง อย่าง การเป็นตัวของตัวเอง ก็ไม่อาจทำได้ เพราะภายนอกนั้น ยังมีสังคมที่พร้อมตัดสินและตีตราให้ทุกคนดำเนินตามมาตรฐานอย่างไม่ผิดเพี้ยน
และนั่นคือชีวิตของ ‘ฮึงซู’(รับบทโดย โน ซังฮยอน) จากภาพยนตร์ Love in the big city (2024) ชายหนุ่มผู้เก็บงำความลับว่าตัวเองเป็นเกย์ และใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมเกาหลีที่มีบรรทัดฐานชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแสดงออกทางเพศ ซึ่งถูกตีกรอบกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าเพศในสังคมนี้จะมีเพียงแค่ผู้ชายและผู้หญิง อีกทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็จะต้องปฏิบัติตามครรลองต่างๆ อย่างเหมาะสมด้วย นั่นจึงทำให้ฮึงซูเลือกที่จะละทิ้งความเป็นตัวเองเอาไว้เบื้องหลัง และออกมาใช้ชีวิตตามที่สังคมต้องการ เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนสี ชีวิตที่แท้จริงของเขาถึงจะเริ่มต้นขึ้น
ภาพยนตร์ Love in the big city นี้ เป็นส่วนหนึ่งของนวนิยายในชื่อเดียวกันของ พาร์ค ซังยอง(Park SangYoung) ซึ่งได้รวบรวม 4 เรื่องราวความรักในหลากหลายรูปแบบที่มีฉากหลังเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยวุ่นวายและความเร่งรีบ แต่กลับมีบางคนที่ยังเผชิญกับความเหงาและเดียวดายท่ามกลางแสงสีของมหานครแห่งนี้
*เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของภาพยนตร์ Love in the big city*

เมื่อสังคมคือตัวกำหนดความเป็นไป
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ LGBTQ+ สักคน ต้องเติบโตขึ้นมา ท่ามกลางสังคมที่เกลียดและกลัวกลุ่มคนรักร่วมเพศ มองว่าพวกเขาแปลกแยกจากผู้คนธรรมดาทั่วไป พวกเขามักถูกกีดกันและได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ฮึงซู รับรู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็กถึงความปราถนาและตัวตนที่แท้จริงข้างใน ว่าเขาชอบและรักใคร่ในผู้ชาย แต่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาให้ใครรับรู้ได้ ทำให้ชีวิตของเขานับตั้งแต่วินาทีแรกที่ยอมรับถึงสิ่งที่ตัวเองเป็น ต้องยอมซ่อนเร้นอัตลักษณ์นั้น เพื่อให้เขายังคงกลมกลืนอยู่ในสังคมแห่งนี้ต่อไปได้
ถามว่าสังคมเกาหลีมีมุมมองต่อกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไร?
คำตอบก็ชัดแจ้งอยู่ในตัวหนัง หลังจากที่มีข่าวลือหนาหูว่า อาจารย์ชาวต่างชาติแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับนักศึกษาสักคนในเอก เหล่านักศึกษาต่างก็จ้องจะตามหาเพื่อนคนนั้น แถมยังพากันหัวเราะและใช้คำพูดล้อเลียนพฤติกรรมรักร่วมเพศ มิหนำซ้ำยังเทียบเคียงหลักฐานปากต่อปากกับตัวฮึงซู ผู้เกือบจะเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีกลุ่มก้อนกับใครที่ไหนในสาขา
ยิ่งไปกว่านั้น ฮึงซูยังเคยถูกผู้เป็นแม่จับได้ขณะที่กำลังยืนนัวเนียกับผู้ชายในลานจอดรถยามค่ำคืน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นถึงความผิดหวังและความเสียใจบนใบหน้าของผู้เป็นแม่ นับแต่นั้นเป็นต้นมาอีกฝ่ายก็ปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งการเข้าโบสถ์แทบทุกวันเพื่อสวดมนต์ภาวนาให้การเป็นเกย์ของฮึงซูถูกรักษาหาย หรือกระทั่งการมีกำแพงแก้วที่มองไม่เห็นกั้นขวางระหว่างทั้งคู่
นี่จึงเป็นเหมือนความรู้สึกอกหักอย่างรุนแรงของฮึงซู เพราะครั้งหนึ่งตัวเขาก็คงเคยเชื่อว่า คนในครอบครัวของเขาพร้อมที่จะซัปพอร์ตและอยู่เคียงข้างในทุกย่างก้าวของชีวิต แต่ครั้งนี้มันกลับพิสูจน์แล้วว่า บางครั้งคนในครอบครัวก็ไม่อาจสนับสนุนเราได้ทุกเรื่อง
ด้วยสังคมโดยรอบตัวที่มองว่าตัวตนของเขานั้นผิดปกติ ทำให้ฮึงซูเชื่อเสมอมาว่าการหลบซ่อนทุกสิ่งอย่างไว้เป็นความลับ เป็นทางเลือกที่เหมาะควรที่สุด เพราะตัวเขาเองก็คงไม่อยากได้รับความเกลียดชังไปตลอด
จึงไม่แปลกเลยหากตัวของฮึงซูจะรู้สึกว่า ตัวเขาคือคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง ในมหานครอันยิ่งใหญ่ มีเพียงแค่ความอ้างว้างที่โอบอุ้มตัวเขาเอาไว้
ถึงครั้งหนึ่งจะมีตัวละครอย่าง ซูโฮ (รับบทโดย จองฮวี) เข้าหาตัวเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ และพร้อมจะยืนหยัดอยู่ข้างเขา แต่ด้วยประสบการณ์อันแสนเลวร้ายที่ผ่านมา ได้บ่มเพาะความหวาดกลัวในใจของฮึงซู จนตัวเขาไม่อาจจะจับมือซูโฮ แล้วก้าวต่อไปได้ เพราะเขากลัวว่า หากยื่นมือออกไปอีกครั้ง สิ่งที่ได้รับกลับมาอาจเป็นบาดแผลเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
การที่ฮึงซูเติบโตท่ามกลางสังคมที่พร้อมจะตัดสินเขาในแทบทุกย่างก้าว ก็คือเหตุผลอันชัดเจนว่าทำไมเขาจึงเลือกเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ในใจ แล้วกดมันลงไปสู่ก้นบึ้งที่ลึกที่สุด แม้จะมีใครพยายามเอื้อมมือมาคว้าตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่พร้อมจะโอบกอดมัน และเลือกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี
“ถ้าความหลงใหลไม่ใช่ความรัก ฉันก็ไม่เคยรักมาก่อน”- ฮึงซู

ไม่มีใครต้องเพียงลำพังเสมอไป
แม้โลกทั้งใบจะหันหลังให้กับฮึงซู แต่ยังมีโลกอีกใบที่พร้อมอ้าแขนรับตัวเขาอยู่เสมอ
ย้อนกลับไปครั้งแรกที่ฮึงซู เจอกับแจฮี (รับบทโดย คิมโกอึน) เขารู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนหัวขบถเกินกว่าจะมีใครคบ แล้วยิ่งพฤติกรรมของเจ้าตัวที่ทั้งไม่เข้าพวกกับใครและยึดเอาตัวเองเป็นสารถะ จึงทำให้ฮึงซูรับรู้ถึงการมีพรรคพวกเป็นครั้งแรก แม้จะยังไม่รู้จักกันก็ตาม
ทั้งนี้ จุดที่ทำให้ทั้งคู่ได้มารู้จักกันจริงๆ ก็คือ เหตุการณ์ที่แจฮีมาพบกับฮึงซูที่กำลังมีความสัมพันธ์กับผู้ชายเข้าโดยบังเอิญ ตัวของฮึงซูรู้สึกหวาดกลัวว่าความลับ จะถูกเปิดเผย ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นดั่งที่เขาคาดไว้ เพราะตัวของแจฮีไม่เคยคิดจะเปิดเผยความลับนั้น หนำซ้ำยังช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์ลับๆ กับอาจารย์ด้วย
จากเหตุการณ์นี้ ฮึงซูจึงสัมผัสได้ถึงเส้นด้านบางๆ ที่เชื่อมโยงทั้งคู่เอาไว้ ความแปลกแยกหลอมหลวมความรู้สึกให้ต่างฝ่ายเข้าหากัน ความสัมพันธ์ฉันมิตรจึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาท่ามกลางสังคมที่จ้องจะตัดสินพวกเขา
นี่จึงถือเป็นครั้งแรกของตัวฮึงซู กับการมีใครสักคนเข้ามาเติมเต็มตัวเขา และทำให้เขารู้จักกับความหมายของความรักเป็นครั้งแรก แม้จะไม่ใช่เชิงชู้สาว แต่มันก็ช่วยให้ฮึงซูรับรู้ว่า ในเมืองใหญ่นี้ อาจไม่ได้มอบแต่ความโดดเดี่ยวให้แก่เขาเสมอไป
การเป็นส่วนเกินของสังคม จึงเป็นเหมือนจุดร่วม ที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างค่อยๆ ปลดเปลื้องพันธนาการที่กดทับตัวตนของพวกเขาเอาไว้ กลายเป็นความไว้วางใจเข้ามาแทนที่ สำหรับฮึงซูแล้ว แจฮีจึงเป็นเหมือนโลกที่พร้อมอ้าแขนรับตัวเขา แม้ในวันที่ทุกคนปฏิเสธถึงการมีอยู่ของตัวเขาเองก็ตาม
ไม่ผิดเท่าไหร่นักที่จะบอกว่า สิ่งที่ฮึงซูเผชิญมาตลอดทั้งชีวิต เป็นความกดดันที่คนๆ เดียว ยากจะแบกรับเอาไว้ได้ อีกทั้งการมองไปรอบตัว แล้วไม่มีใครสักคนพร้อมเข้าช่วยเหลือ ก็คงทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวค่อยๆ กัดกินจิตใจเขาทีละนิด
ถึงอย่างนั้น ก็คงต้องขอบคุณมหานครแห่งนี้ ที่พาแจฮีมาเจอกับฮึงซู การพบกันของทั้งคู่ ทำให้โลกที่เคยมืดหม่น ตลอดจนตัวตนที่เคยจมหายของฮึงซู สว่างขึ้นมาสาดส่องแข่งไปกับแสงสีของเมืองใหญ่ หลอมรวมกลายเป็นมิตรภาพที่ไม่มีวันจืดจาง
แม้เมืองจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่มันก็จะมีความรักซุกซ่อนเอาไว้อยู่เสมอ ถึงมันจะไม่ได้ปรากฏในรูปแบบของคนรัก แต่มันก็ยังมีความรักในอีกหลากหลายรูปแบบที่พร้อมโอบอุ้มเราไว้