หลังจากที่ได้ดู The Sandman ที่รอคอยแล้ว ถ้ารู้สึกชอบความดาร์กแฟนตาซีจนเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่นต่อไม่ได้ นีล เกแมน ก็ยังมีผลงานดาร์กแฟนตาซีอีกมากมาย ทั้งในรูปแบบที่เด็กลงมาหน่อยอย่าง Coraline และ The Graveyard Book ที่มีตัวละครหลักเป็นเด็ก หรือ Stardust ที่มีความโรแมนติกฟุ้ง นอกจากนี้ยังมีเป็นเรื่องราวแฟนตาซีที่ดึงเอาตัวละครเทพเจ้ามาคิดใหม่ทำใหม่อีกครั้งคล้ายกับ The Sandman อย่าง American Gods และ Norse Mythology ซึ่งวันนี้เราจะหยิบผลงานของเขากว่า 9 เรื่อง มาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน
The Sandman
“อะไรคือความหมายของการเป็นราชา” เป็นความคิดของนีลในขณะที่เขากำลังจะเขียนเรื่อง The Sandman หนึ่งในคอมมิกที่ถูกขนานนามว่าดีที่สุดในโลกขึ้นมา คอมมิกที่บอกเล่าเรื่องราวของเทพเจ้าพลังระดับคอสมิกที่ถูกจาบจ้วงโดยมนุษย์ธรรมดา
ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แตกต่างออกไป เพราะมาในรูปแบบคอมมิกค่าย DC/Vertigo และมีกลิ่นอายของความเป็นเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่เล็กน้อย (แต่ก็ยังมีความดาร์กแฟนตาซีตามสไตล์ของนีลอยู่ดี) เป็นเรื่องราวของผลแห่งการกระทำของมนุษย์ที่พยายามฝืนธรรมชาติด้วยการจับ ‘มอร์เฟียส’ หรือ ‘ดรีม’ เทพแห่งความฝันขังไว้กว่า 70 ปี และแม้ว่าภายหลังเทพแห่งความฝันจะหนีออกมาได้ แต่โลกก็เสียสมดุลไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้เขาต้องทวงอำนาจของเจ้าแห่งความฝันกลับคืนมา และคืนความสมดุลให้กับโลกนี้อีกครั้ง
The Sandman เป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับการยอมรับและถูกพูดถึงมากที่สุดของ นีล เกแมน ชนิดที่ว่าถ้าพูดถึงชื่อชายคนนี้ จะต้องนึกถึงผลงานเรื่องนี้เป็นอันดับแรก นั่นก็เพราะจุดเด่นในการนำฮีโร่ที่ได้แรงบันดาลใจจากนิทานฝั่งยุโรปอีกทีมาตีความใหม่ทั้งหมด และบอกเล่าเรื่องราวด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่ทั้งสนุกน่าติดตาม แม้จะปนเปด้วยความหดหู่ ความเศร้า แต่ก้เจือด้วยความปิติยินดี แฟนตาซีเหนือจินตนาการในแบบที่ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยเก่า แถมยังพาผู้อ่านเข้าสู่ห่วงความมืดมิดที่จะไม่อาจลืมได้ในเวลาเดียวกัน ผ่านสไตล์การนำเสนอที่ไม่ยั้งมือ ทั้งเรื่องเพศ เนื้อหา คำหยาบ และความรุนแรง
American Gods
“เรื่องนี้ทำให้ผมเล่าเรื่องประวัติศาสตร์และตำนานของอเมริกาได้ง่ายขึ้น ถ้าผมต้องเล่าเรื่องพวกนี้ในรูปแบบนิยายกระแสหลัก ผมคงต้องใช้เวลานานกว่านี้มากแน่”
American Gods เป็นเรื่องราวของยุคสมัยที่คนเริ่มเสื่อมศรัทธาในเทพเจ้าโลกเก่าอย่างเทพเจ้ากรีก เทพเจ้าแถบนอร์ส เทพเจ้าอียิปต์ เพราะการเข้ามาของเทคโนโลยี และโลกที่หมุนไปอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดเป็นเทพเจ้าโลกใหม่ อย่างเทพเจ้าโลกาภิวัฒน์ เทพเจ้ามีเดีย เทพเจ้าเทคโนโลยี ที่เตรียมมาปฏิวัติความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเทพเจ้าด้วยการโค่นล้มเทพองค์เก่าให้สูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ ชาโดว์ มูน ชายที่เพิ่งพ้นโทษออกจากคุก และหวังว่าจะใช้ชีวิตใหม่อย่างปกติเสียที ได้พบชายลึกลับ ชื่อคุณเวนส์เดย์ ก่อนที่เขาจะรู้ว่านั่นคือเทพเจ้าโอดิน และเมื่อรู้ตัวอีกที ชาโดว์ก็ถูกพาตัวเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ในฐานะตัวแปรสำคัญของศึกระหว่างเทพเจ้าเสียแล้ว
Norse Mythology
“สิ่งที่ทำให้เรื่องราวมันทันสมัยคือการทำให้ตัวละครใช้ภาษาเหมือนพวกเขามีอยู่จริงในโลกปัจจุบัน ถ้าในอีก 80 ปี มีเด็กสักคนมาหยิบหยังสือเล่มนี้แล้วพูดว่า ‘เราอยากได้หนังสือเล่มนี้เวอร์ชั่นที่ร่วมสมัยขึ้นมาหน่อย ภาษาในเล่มมันเก่าเกินไปแล้ว’ ผมก็โอเคนะ เพราะในเวลาที่เราหยิบเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เรากำลังเล่าใหม่ให้ผู้คนของพวกเราฟัง” นีลพูดถึงหนังสือ Norse Mythology ในบทสัมภาษณ์
ความหลงใหลในตำนานปรัมปราของ นีล เกเมน มีขอบเขตไม่สิ้นสุด นอกจากเทพเจ้าหลากหลายที่มาใน American Gods และเทพเจ้าที่สร้างขึ้นเองใน The Sandman แล้ว นีลหลงใหลในตำนานฝั่งนอร์สหรือแถบยุโรป จึงเป็นที่มาของหนังสือ Norse Mythology ที่เป็นการนำเรื่องราวของเทพปกรณัมนอร์สมาเล่าใหม่ในสไตล์การนำเสนอของเขาเอง ตั้งแต่จุดกำเนิดของโลกทั้งเก้า จุดเริ่มต้นของเหล่าทวยเทพอย่างโอดิน ธอร์ โลกิ ยักษ์ คนแคระ มนุษย์ ไปจนถึงศึกที่นำไปสู่การสิ้นชีพของเทพเจ้าอย่างศึกแร็กนาร็อค
หนังสือ Norse Mythology เป็นหนึ่งในผลงานเลื่องชื่อของ นีล เกแมน ที่กระแสตอบรับดีทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ รวมถึงได้รับคำชมในเรื่องการใช้คำสร้างบรรยากาศให้ดูฟุ้งเฟ้อแต่น่าติดตาม และแม้จะเป็นการนำมาถ่ายทอดผ่านสายตาและปลายปากกาตัวเอง แต่หนังสือเล่มนี้ได้รับการยอมรับเรื่องความเที่ยงตรงต่อตำนานของจริงที่ถูกบันทึกเล่าขาน อีกทั้งการใช้คำง่าย และประโยคที่ไม่ยาวมากนักของเขายังสามารถสามารถอ่านได้ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่ และผู้ที่ต้องการศึกษาด้านลีลาการเขียนวรรณกรรม และตำนานปกรณัมเทพนอร์สอีกด้วย
Coraline
“ตอนที่ผมส่งต้นฉบับเรื่อง Coraline สำนักพิมพ์ก็บอกกับผมว่า ‘นี่มันหนังสือสำหรับผู้ใหญ่เถอะ’ ผมเลยตอบกลับไปว่า ‘ลองให้เด็กๆ อ่านสิ’ แล้วเด็กๆ ก็ชอบเรื่องนี้นะ”
เมื่อหยิบหนังสือ Coraline (ฉบับภาษาไทย) ขึ้นมาเปิดดู เรามั่นใจว่าน่าจะมีคนได้ความรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอบ้าง ด้วยภาพประกอบน่ารักแต่ก็เจือไปด้วยความน่ากลัว และเริ่มเห็นด้วยกับสิ่งที่สำนักพิมพ์พูดกับนีล
Coraline เป็นเรื่องราวดาร์กแฟนตาซี ที่มีเซ็ตติ้งแคบลงมาหน่อย ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘คอรัลไลน์’ เด็กหญิงที่ค้นพบทางเชื่อมต่อในบ้านของตัวเอง ไปสู่บ้านอีกหลังหนึ่งที่เหมือนกับบ้านของเธอเป๊ะ แต่ที่ต่างออกไปคือ พ่อกับแม่ของเธอในบ้านอีกหลังนั้นมีท่าทีที่แปลกไป และน่าสนใจกว่า หนังสืออธิบายเอาไว้ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีดวงตาเป็นกระดุม เรื่องราวดำเนินอยู่แค่ในบ้าน ไม่ได้มีการผจญภัยออกไปในโลกกว้างใหญ่เหมือนเรื่องอื่น แต่ในตอนสุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการผจญภัยของคอรัลไลน์ระหว่างบ้านทั้งสองหลังนี้
The Graveyard Book
“หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็ก แต่ก็จะเป็นหนังสือที่เด็กอ่านแล้วรู้สึกสนุกไปกับมันได้” นีล เกแมน พูดถึง The Graveyard Book ในการสัมภาษณ์
หนังสือเล่มนี้เกิดจากตอนที่นีลมักจะพาลูกวัย 18 เดือนของเขาไปปั่นจักรยานสามล้อที่บริเวณสุสาน เพราะบ้านของเขาไม่มีที่มากพอ ระหว่างที่เขานั่งดูลูกเขาสนุกไปรอบสุสาน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาอาจจะเขียนหนังสือที่คล้ายกับ The Jungle Book ที่เป็นเรื่องราวของเด็กที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาโดยเหล่าสัตว์ป่า แต่กลับกัน หนังสือของเขาจะมีชื่อว่า The Graveyard Book และเป็นเรื่องราวของเด็กที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาโดยวิญญาณในสุสาน
ถ้าเป็นคนที่เติบโตมากับหนังสือ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องเคยอ่าน The Graveyard Book ฉบับเก่า ที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพิร์ลหนังสือที่มีปกเป็นรูปตัวการ์ตูนน่ารัก แต่เนื้อหาข้างในเป็นเกี่ยวกับโลกหลังความตาย วิญญาณ ครอบครัว การจากลา เราจะได้เห็นการเติบโตของ ‘บ๊อด’ ตั้งแต่ยังเป็นทารกจนย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น และการตัดสินใจว่าจะอยู่ที่โลกแห่งความตายนี้ต่อไป หรือจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างมนุษย์คนหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง
Stardust
“สำหรับผม Stardust เล่าการเติบโตของเด็กชายคนหนึ่ง สู่การเป็นชายหนุ่มอย่างสมบูรณ์” นีล เกแมน พูดถึง The Stardust ในการสัมภาษณ์เกี่ยวกับการหยิบเอา Stardust มาทำเป็นฉบับภาพยนตร์
เรื่องของ Stardust เริ่มจากการเล่นกับประโยคคลั่งรักอย่าง ‘จะคว้าเอาดาวเดือนมากองให้เธอ’ คำสัญญาที่จะพิสูจน์ความรักของ ‘ทริสตัน’ เด็กชายวัยกำลังมีความรัก ต่อเด็กสาวที่เขาหมายปอง ทริสตันสัญญากับเด็กสาวว่าจะเอาดาวตกมามอบให้กับเธอ แม้จะรู้ว่าการจะคว้าเอาดาวตกมาได้นั้นต้องออกไปยังพื้นที่ต้องห้ามที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง
แต่เมื่อการผจญภัยตามหาดาวตกดำเนินไป ทริสตันก็พบว่าเป้าหมายของหัวใจเขาไม่ใช่การ ‘คว้าเอาดาวเดือน’ มาให้เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว เมื่อเขาค้นพบว่า ‘ดาวเดือน’ ที่ว่านี้ไม่ใช่วัตถุวาวระยับเหมือนที่เห็นบนฟากฟ้า แต่กลับเป็นเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกไล่ล่าโดยผู้คนจากทั่วดินแดนเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้มีกลิ่นอายความเป็นแฟนตาซีฟุ้งฝัน และโรแมนติกกว่าเล่มอื่น แต่ก็ยังคงมีความดาร์กของจิตใจมนุษย์เจือปนตามสไตล์ของนีล หรือจะเรียกว่าเป็นหนังสือแฟนตาซีสำหรับผู้ใหญ่อย่างที่นีลเคยบอกเอาไว้ก็ได้
Neverwhere
“นี่คือเมืองที่เราคิดว่าเรารู้จักมันดี” นีล เกแมน พูดถึง Neverwhere ในการสัมภาษณ์เกี่ยวกับการทำหนังสือเสียง
เรื่องราวแฟนตาซีที่ไม่จำเป็นต้องมีเอลฟ์ในป่า หรือคนแคระตีเหล็ก แต่เป็นความแฟนตาซีที่เกิดขึ้นในเมืองมนุษย์ เมื่อ ‘ริชาร์ด’ พนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายจากสก็อตแลนด์มาที่ลอนดอน และค้นพบว่ามีเมืองลอนดอนใต้ดินอยู่ ซึ่งเป็นเมืองที่กลืนกินคนที่ถูกหลงลืม หรือคนที่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเข้าไป ซึ่งลอนดอนใต้ดินนั้นก็ไม่ได้เป็นเมืองฟุ้งฟันแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์ แต่กลับเป็นชุมชนแออัด เปียกชื้นด้วยน้ำจากท่อระบายน้ำ แถมยังมีหนูที่ตัวใหญ่เบิ้มด้วย
แม้ริชาร์ดจะนิยามชีวิตตัวเองว่าเป็นชีวิตที่ ‘น่าเบื่อ’ อยู่เสมอ แต่การได้เจอกับหญิงสาวแปลกประหลาดจากลอนดอนใต้ดิน ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นคนที่ถูกหลงลืม เขาก็เริ่มนึกถึงคุณค่าของชีวิตแสนน่าเบื่อที่เขาเคยมี และพยายามไขว่คว้ามันกลับมาให้ได้ จึงเกิดเป็นเรื่องราวของนักผจญภัยที่ ‘ไม่ได้อยากจะผจญภัยเสียเท่าไหร่’ ซึ่งจะทำให้เราได้อ่านเรื่องราวแฟนตาซีในมุมที่แตกต่างออกไป
The Ocean at the End of the Lane
“ผมรู้สึกว่าหนังสือเด็กที่ดีจะต้องเกี่ยวกับความหวัง แต่ The Ocean at the End of the Lane เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความหมดหนทาง การเป็นเด็กเจ็ดขวบบนโลกที่ทุกคนโตกว่าเรา การเดินทางไปยังดินแดนที่เรายังไม่ได้เข้าใจมันขนาดนั้น” นีล เกแมน พูดถึงการเขียน The Ocean at the End of the Lane ให้ออกมาเป็นหนังสือผู้ใหญ่
ถึงแม้ The Ocean at the End of the Lane จะเป็นหนังสือเล่มบาง และหน้าปกดูเหมือนวรรณกรรมเยาวชนธรรมดาเล่มหนึ่ง แต่เป็นหนังสือที่ผู้ใหญ่ที่มีความทรงจำบางอย่างในวัยเด็กก็น่าจะสนุก และหวนคิดถึงอะไรบางอย่างได้ ด้วยเรื่องราวของชายวัยกลางคนที่ผู้เขียนไม่ได้เปิดเผยชื่อคนหนึ่ง เดินทางกลับไปยังเมืองที่เขาเกิดและเติบโตขึ้นมา เมื่อเขานั่งลงริมบึงบัวที่วัยเด็กเขากับ ‘เล็ตตี้’ เรียกมันว่า ‘มหาสมุทร’
ความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเขายัง 7 ขวบก็ล้นทะลักเข้ามาในหัวใจอีกครั้ง ในวันเวลาที่บึงบัวสามารถเป็นมหาสมุทรได้ นี่เป็นหนังสือที่เตือนใจว่าในยามที่เราเป็นเด็ก ทุกอย่างล้วนสดใส สวยงาม และบริสุทธิ์เสมอ เล็ตตี้เป็นคนที่เปลี่ยนจากเพื่อนมาเป็นผู้ปกป้องเขาจากสิ่งที่จะเข้ามาทำลายความเป็นเด็กที่สวยงาม และช่วยให้เขาเข้าใจถึงความเป็นไปของโลกนี้มากขึ้น จนเมื่ออ่านจนจบแล้วทุกคนก็น่าจะหวนคิดถึง ‘เล็ตตี้’ ของตัวเอง
Good Omens
“สิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ เรื่องนี้เพิ่งถูกทำให้กลายเป็นทีวีซีรีส์ และมีคนถามพวกเรามากมายว่าเราเปลี่ยนเนื้อหาในหนังสือให้เข้ากับโลกปัจจุบันใช่ไหม พวกเรื่องสงคราม มลพิษ สิ่งแวดล้อม การฆ่าวาฬ แต่พวกเราตอบว่า ไม่เลย เราคิดถึงเรื่องพวกนั้นมาตั้งแต่เริ่มเขียนเมื่อ 31 ปีก่อน ตอนนี้โลกมันแย่ลงจริงนั่นแหละ” นีล เกแมน พูดถึง Good Omens ในงานเทศกาลหนังสือที่อินเดียเมื่อปี ค.ศ.2018
หนังสือเล่มนี้แม้ยังไม่มีฉบับภาษาไทย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของนีลที่เราอยากแนะนำ ด้วยการหยิบธีมของศาสนาคริสต์มาใส่กิมมิกให้สนุกขึ้น หลังจากที่เราเคร่งเครียดกับเรื่องราวอื่นมาแล้ว เรื่องนี้จะมีความคอเมดี้ (ถึงจะเป็นแบบตลกร้ายก็ตาม) ให้พอกระตุกยิ้มได้อยู่บ้าง
Good Omens ว่าด้วยเรื่องราวของเทวดา ‘อาซีราฟาเอล’ และปีศาจ ‘คราวลี่ย์’ ต้องมาร่วมมือกันเพื่อหยุดวันสิ้นโลก โดยที่ตัวละครเทวดากับปีศาจที่มีนิสัยแตกต่างกันคนละขั้ว จึงเกิดเป็นตั้งทีมกันแบบไม่เต็มใจ และคอยจะจิกเปียกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนเหตุผลที่พวกเขาจะหยุดวันสิ้นโลกนั้นเป็นเพียงเพราะว่า ‘จะไม่มีร้านอาหารอร่อยให้กินอีกต่อไป’
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Kodchakorn Thammachart