พวกเขายิ่งใหญ่ พวกเขาเกรียงไกร และพวกเขาเป็นตำนาน
เมื่อพูดถึงเหล่าเทพและเทพีจากเทวตำนานทั่วโลก หลายครั้งเรามักนึกถึงภาพของความยิ่งใหญ่อันเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ หรือแม้แต่การอยู่เหนือธรรมชาติและมนุษย์ทั่วไป แต่ในขณะเดียวกัน เทพเจ้าเหล่านี้ก็มีเรื่องราวสุดพิลึก จนบางครั้งก็แอบคิดเหมือนกันว่า พวกเขาเหล่านี้ คือเทพที่ผู้คนเคารพบูชาจริงหรือ
The MATTER จึงอยากชวนทุกคนมาสำรวจเรื่องราววีรกรรมเด็ดๆ ของเหล่าเทพเจ้ากันสักหน่อย ว่าทวยเทพเหล่านี้เป็นตำนานของตำนานกันได้อย่างไร
อะไรคือตำนานของธอร์?
ถ้าพูดถึงธอร์เทพเจ้าสายฟ้าแห่งตำนานนอร์ส เชื่อว่าหลายคนก็อาจนึกถึงภาพความมาดแมนและความแข็งแกร่งดั่งชายชาตรี แต่รู้หรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งเทพองค์นี้กลับเคยแต่งหญิงและเข้าพิธีสมรสกับผู้ชายด้วยกันเองมาแล้ว
ตามตำนานของ Thrymskvitha (ซึ่งเป็นกวีบทหนึ่งของร้อยกรอง Edda) เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อค้อนมโยลเนียร์ (Mjollnir) อันเป็นค้อนคู่ใจของธอร์หายไปอย่างปริศนา โลกิ เทพแห่งการหลอกหลวงผู้เป็นน้อง จึงต้องช่วยออกตามหาจนพบว่า ค้อนเจ้ากรรมดันไปอยู่กับ ธริม กษัตริย์ยักษ์แห่งโยทันไฮม์ (Jotanheim) และวิธีเดียวที่สามารถชิงค้อนคู่ใจกลับมาได้นั้นคือการต้องมอบ เทพีเฟรย่า เทพีแห่งความงาม ให้เป็นภรรยาของยักษ์ธริมเท่านั้น
แต่มีหรือที่เทพีเฟรย่าผู้นี้จะยอมแต่งงานกับยักษ์เพื่อแลกกับค้อน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เหล่าเทพที่เหลือจึงประชุมและมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ธอร์สวมเสื้อผ้าสตรีและปลอมเป็นเทพีเฟรย่า เข้าพิธีวิวาห์ในครั้งนี้แทน ซึ่งแม้ธอร์จะไม่เห็นด้วย แต่เพื่อเอาค้อนคืนกลับคืนมา จึงจำใจต้องแต่งหญิง โดยมีโลกิรับอาสาเป็นสาวใช้ไปช่วยเล่นละครตบตา
และเมื่อทำให้ยักษ์ธริมเชื่อสนิทใจแล้ว มันก็ได้นำค้อนมโยลเนียร์มาวางไว้บนตักของเจ้าสาวป้ายแดงตามข้อตกลง ทว่าทันทีที่ค้อนแตะลงบนตัก ธอร์ก็ได้คว้ามันไว้ และรีบฉีกเสื้อผ้าผู้หญิงออกจนหมด พร้อมเหวี่ยงค้อนไปมาด้วยความโกรธ รวมถึงสังหารยักษ์ธริมและทำลายงานแต่งจนพังพินาศ ดั่งเป็นการระบายความโกรธทั้งจากการถูกขโมยค้อนและความคับแค้นใจที่ต้องแต่งหญิง
อะไรคือตำนานของโอซิริส?
ถ้าแฟรงเกนสไตน์คือตำนานผีฝั่งยุโรป ที่เอาซากชิ้นส่วนศพมาปะติดปะต่อกันจนกลายเป็นร่างใหม่ ฝั่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์เองก็มีตำนานดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ตำนานเล่าย้อนกลับเมื่อครั้ง โอซิริส ยังคงเป็นฟาโรห์ปกครองอียิปต์ โดยมี เซธ พระอนุชาขี้อิจฉาต้องการช่วงชิงบัลลังก์มาเป็นของตน ได้คิดอุบายหลอกสังหารโอซิริส และหั่นอดีตฟาโรห์ออกเป็น 14 ส่วน พร้อมบรรจุลงหีบห่อ กระจายชิ้นส่วนร่างกายออกไปทั่วอียิปต์
แต่เรื่องราวทั้งหมดก็คงจบลง และไม่ได้กลายมาเป็นตำนานสำคัญของอารยธรรมอียิปต์ หากไอซิส ผู้เป็นภรรยาของโอซิริส ไม่แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อผู้เป็นสามี ด้วยการออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้นอียิปต์ และรวบรวมชิ้นส่วนร่างกายกลับมาจนเกือบครบ จะมีก็เพียงแต่ส่วนขององคชาติเท่านั้นที่เธอหาไม่เจอ
ท้ายที่สุด เธอก็ได้ประกอบร่างของสามีตนเอง ห่อด้วยผ้าลินิน พร้อมร่ายเวทย์มนตร์คืนชีพให้โอซิริส พร้อมเสด็จกันลงไปสู่ยมโลก และกลายเป็นเทพแห่งโลกหลังความตาย ผู้ประจำการอยู่ในนรก เพื่อตัดสินดวงชะตาของวิญญาณมนุษย์
อะไรคือตำนานของพระศิวะ?
เคยสงสัยกันหรือไม่? เวลาไปตามวิหารหรือศาสนสถานของพราหมณ์และฮินดู เรามักเห็นรูปเคารพของพระศิวะปรากฏอยู่ในรูปแบบของศิวลึงค์ แทนที่จะเป็นรูปปั้นหรือภาพเคารพอื่นๆ
แท้จริงแล้วพระศิวะไม่ใช่เทพแห่งความทะลึ่งแต่อย่างใด แต่เหตุผลที่ผู้คนกราบไหว้บูชาเครื่องเพศนี้ ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์พราหมณปุราณะ ซึ่งเรื่องเริ่มมาจากวันธรรมดาบนเขาไกรลาส อันเป็นที่ประทับของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวี ซึ่งทั้งคู่ได้ดื่มด่ำน้ำจัณฑ์จนมึนเมาคุมสติตัวเองกันไม่ได้ และมีการเสพกามกันอย่างโจ่งครึ่มในท้องพระโรง
บังเอิญเหล่าทวยเทพนำโดยพระพรหมและพระวิษณุมาเข้าเฝ้าพระศิวะโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้บรรดาเทพและเทพีองค์ต่างๆ เห็นภาพอนาจารของมหาเทพและชายากำลังเสพสังวาสกันอย่างประเจิดประเจ้อ เหล่าบรรดาทวยเทพต่างพากันหมดศรัทธาและหมดความย่ำเกรงต่อพระศิวะ
หลังจากสร่างเมาและรู้เรื่องทั้งหมดเข้า พระศิวะรู้สึกอับอายจนถึงขั้นกลั้นใจตาย แต่ก่อนขาดใจตาย พระศิวะก็ได้ประกาศว่า อวัยวะเพศของพระองค์เปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์เอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์และเทพจะต้องกราบไหว้บูชา หากต้องการความสุขและความสำเร็จในชีวิต
นี่ก็เลยกลายเป็นที่มา ที่ทำให้สิ่งเคารพบูชาตัวแทนของพระศิวะ กลายเป็นศิวลึงค์
อะไรคือตำนานของมาวอิ?
ดวงอาทิตย์ ถือเป็นตัวแทนของความยิ่งใหญ่ในหลายความเชื่อและวัฒนธรรม ยากจะมีผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านลูกไฟดวงยักษ์นี้ แต่เทพมาวอิ แห่งโพลินีเซียน กลับมีความเก่งกล้าสามารถมากพอจะต่อกรกับพระอาทิตย์ดวงนี้ได้
ในอดีตช่วงเวลากลางวันมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ จนทำให้ผู้คนไม่สามารถทำงานทำการและใช้ชีวิตในยามแสงแดดส่องได้เลย พอถึงเวลาพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าก็มืดสนิท มืดเสียจนมาวอิและเหล่าพี่น้องไม่สามารถกินข้าวเย็นกันได้อย่างปกติ เพราะมันแทบมองไม่เห็นจานอาหารตรงหน้าด้วยซ้ำ
ด้วยความหงุดหงิดขั้นสุด มาวอิวางแผนกับพี่น้องเพื่อหาวิธีชะลอการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ พวกเขาจึงเดินทางไปสุดทางทิศตะวันออก จนพบกับหลุมความร้อนอันเป็นที่อยู่ของพระอาทิตย์ มาวอิสั่งให้ทุกคนสร้างกับดักและร้อยเชือกเตรียมรั้งดวงอาทิตย์ไว้ เมื่อรุ่งเช้ามาถึง ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาและติดกับ ก็ได้กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างสองฝ่าย
ในท้ายสุดแล้ว มาวอิก็ได้เผด็จศึกด้วยการใช้กรรไกรศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษฟาดสั่งสอนพระอาทิตย์ จนมันของยอมแพ้ และน้อมรับข้อตกลงที่จะเคลื่อนที่ให้ช้าลง นี่จึงเป็นสาเหตุซึ่งทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานขึ้น และนานมากพอสำหรับให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตและทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
อะไรคือตำนานของเฮอร์มีส?
ขยับมากันที่ปกรณัมฝั่งกรีกกันบ้าง เพราะวีรกรรมสุดแสบของเหล่าทวยเทพแห่งโอลิมปัส ก็ถือว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเรื่องราวจาก บทสวดโฮเมอร์ หรือ Homeric Hymns เล่าถึงเรื่องราว เทพเฮอร์มีส บุตรแห่งมหาเทพซุสและนางไมอา หลังจากถือกำเนิดมาได้เพียงไม่กี่วัน ทารกน้อยก็แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการหนีออกจากเปล และแอบไปขโมยวัวของพี่ชายต่างแม่อย่าง อะพอลโล่ เพื่อเป็นการกลั่นแกล้ง แม้จะไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันเลยด้วยซ้ำ
และด้วยความเจ้าเล่ห์ของทารกน้อย ในระหว่างขโมยเฮอร์มีสจึงได้ผูกเชือกที่หางวัวแล้วให้มันเดินถอยหลัง เพื่อลบรอยเท้าของตัวเอง ทำให้อะพอลโล่สับสนทิศทาง แถมยังแกล้งพี่ชายของตนต่ออีก ด้วยการย่างวัวจำนวนหนึ่งและนำไส้มาขึงกับกระดองเต่า สร้างเป็นพิณไว้บรรเลงกล่อมตัวเองให้หลับอีกด้วย
เมื่ออะพอลโล่รู้ว่าวัวสุดรักของตนหายไป ก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ พร้อมตั้งใจลากตัวหัวขโมยมาให้ได้ แต่แทนที่จะเจอโจรตัวโต กลับพบแค่เฮอร์มีสทารกน้อยผู้ไร้เดียงสา (ซึ่งก็อาจไม่ไร้เดียงสาขนาดนั้น) เฮอร์มีสพยายามเฉไฉ กล่อมให้พ้นผิด แต่ดันพลาดตรงที่เฮลิออส เทพแห่งดวงอาทิตย์ แอบฟ้องไปก่อนหน้าแล้วว่าเจ้าหนูนี่คือหัวขโมยที่แท้จริง
ถึงอย่างนั้น อะพอลโล่กลับไม่ถือโทษโกรธเคือง แถมยังสนใจพิณที่เฮอร์มีสประดิษฐ์ขึ้นมาด้วย ท้ายที่สุด เรื่องทั้งหมดจบลงด้วยอะพอลโล่ยอมปล่อยเฮอร์มีสไป แลกกับการได้พิณมาไว้ในครอบครอง แถมเทพผู้พี่ยังคอยเป็นครูสอนศิลปะและดนตรีให้กับเฮอร์มีสต่อไปด้วย
อะไรคือตำนานของทู่เอ๋อเสิน?
‘แอบรักจนตัวตาย’ คำนี้ไม่เกินจริงเลย ถ้าจะพูดถึงเทพทู่เอ๋อเสิน หรือที่รู้จักกันในนามของ เทพผู้อุปถัมภ์ชาว LGBTQ+ กับโศกนาฏกรรมความรัก อันเป็นที่มาของการจุติมาเป็นเทพผู้พิทักษ์ความรักอย่างในทุกวันนี้
จากบันทึก Zibuyu ของ หยวนเหมย (Yuan Mei) เล่าย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ชิง ทหารหนุ่มนามว่า ‘หูเทียนเป่า’ ได้ตกหลุมรักผู้ตรวจการคนใหม่ตั้งแต่แรกเห็น เขาหลงใหลในรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงขั้นติดตามตัวผู้ตัวการไปในทุกหนแห่ง เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด กระทั่งเขาได้ไปแอบดูอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้า และถูกจับได้เข้าคาหนังคาเขา หูเทียนเป่าจึงยอมสารภาพความในใจต่ออีกฝ่าย แต่ด้วยยุคสมัยซึ่งยังไม่ยอมรับคู่รักเพศเดียวกัน หูเทียนเป่าจึงถูกโบยจนเสียชีวิตแทน
หลังจากเสียชีวิต ดวงวิญญาณของเขาได้ไปเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งยมโลก แต่แทนที่จะถูกลงทัณฑ์ กลับได้รับความเห็นใจต่อชะตากรรมอันน่าเศร้า เจ้าแห่งยมโลกจึงเปลี่ยนให้ทหารหนุ่มกลายมาเป็นเทพทู่เอ๋อเสิน อันเป็นตัวแทนเทพผู้พิทักษ์เหล่าคู่รักร่วมเพศ
ไม่เพียงเท่านั้น ทู่เอ๋อเสินยังไปเข้าฝันญาติพี่น้องของตน ให้สร้างศาลเพื่อเป็นที่เคารพบูชา และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เทพองค์นี้จึงได้กลายเป็นที่พึ่งทางใจของชาว LGBTQ+ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสมหวังในความรัก
อ้างอิงจาก
สมมาตร์ ผลเกิด. (2561). ศิวลึงค์: ศาสนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์. วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตรปริทรรศน์. มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์