“เริ่มกันเลยเนอะ” ศิลปินในชุดจัมป์สูทสีแดงเพลิงพูดกับเรา ก่อนหันไปพยักหน้าให้กับนายแบบในชุดคลุมผู้ปลดเชือกที่พันรอบเอวออกอย่างรู้งาน “มองได้เลย มองให้เต็มที่ จ่ายเงินมาแล้ว” เขาพูดติดตลกเมื่อเห็นรีแอ็กชั่นของคนในคลาส
นายแบบ กระดาษ แท่งชาร์โคล คือสามสิ่งที่ โอ๊ต มณเฑียร เตรียมไว้ให้เราเมื่อคลาสวาดรูปนู้ดผู้ชายเริ่มต้นในยามหัวค่ำที่สตูดิโอย่านดอนเมืองของเขา เมื่อประกอบทั้งสามสิ่งเข้ากับแสงไฟริบหรี่ เสียงดนตรีรื่นหู และกลิ่นกำยานอ่อนจาง เราก็พร้อมจะทำความรู้จักทั้งนายแบบทั้งศิลปินสุดแซ่บคนนี้แล้ว
“รูปวาดกับความสัมพันธ์คือสิ่งเดียวกันของเราตลอดมา”
โอ๊ตเล่า เขาบอกว่าอดีตเด็กอ้วนแว่นหนาเตอะอย่างเขาไม่มีเพื่อน นอกจากบรรดาหนังสือในห้องสมุดที่เขามักไปซ่อนตัวอยู่ “เวลาจะหาเพื่อนคือต้องวาดรูป วาดรูปปุ๊ปทุกคนจะมุงเข้ามา ตั้งแต่เด็กเราเลย figure out เอาเองว่าถ้าจะสร้างความสัมพันธ์ต้องเริ่มด้วยการวาดรูป ไม่ว่าจะทำความรู้จักคนอื่น หรือรู้จักตัวเองก็ตาม”
สายตาเราจับจ้องที่ร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า พลางมือก็วาดเส้นตามที่ตาเห็นและใจรู้สึก แปลก—คือความรู้สึกแรก เรายังไม่เคยคุยกับผู้ชายคนนี้เลยซักครั้ง แต่กลับได้เห็นเขาในมุมที่ ‘ใกล้ชิด’ ที่สุด
แต่สำหรับโอ๊ตมันคือขั้นตอนปกติ สมัยอยู่อังกฤษ หลังจากเลิกรากับแฟนที่คบกันมานาน ศิลปินในวัยยี่สิบต้นๆ ย้ายออกมาอยู่คนเดียวในบ้านเช่าย่านอีสต์ลอนดอน ความพิเศษของบ้านหลังนั้นคือมันมีเรือนกระจกที่โอ๊ตใช้เป็นสตูดิโอสำหรับวาดภาพโดยเฉพาะ
“เราตัดสินใจว่าจะเริ่มวาดรูปผู้ชายที่อยากรู้จัก เวลาเดินตามถนน
เจอใครฮอตก็เข้าไปถาม ‘Hi, I’m an artist. Can I draw you?’
แล้วลอนดอนเป็นเมืองที่ทุกคนเซย์เยส ไม่มีใครเซย์โนเลย”
นั่นคือจุดเริ่มต้นของโปรเจ็กต์วาดรูปนู้ดผู้ชาย 24 คนตามไพ่ทาโรต์ 24 ใบ ซึ่งหากอยากรู้รายละเอียดของแต่ละคน เราอยากให้ลองไปถามโอ๊ตด้วยตัวเอง เพราะคงไม่มีใครเล่าได้มีชีวิตชีวาเท่าเขาอีกแล้ว แต่มีคนหนึ่งที่เราไม่เล่าไม่ได้ นั่นคือ Meredith ชายหนุ่มที่พัฒนาจากคนแปลกหน้ากลายมาเป็นคนรัก ที่สำคัญเขาเป็น muse ที่โอ๊ตบอกว่า “เป็นนิยามของคำว่าสวยงามสำหรับเรา” และวาดรูปนู้ดของเขาอยู่บ่อยครั้ง
“เส้นเปลี่ยนไปมากเลย ครั้งแรกจะสวยๆ เราวาดเกือบ 45 นาที แต่รูปนี้วาดตอนที่คบกันมาปีกว่า ใช้เวลาแค่ 15 นาที เส้นเดียวเราเอาอยู่ทั้งร่างกายเค้า ความรักมันอยู่ในเส้น”
นั่นเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่โอ๊ตเริ่มสอนวาดรูปนู้ดผู้ชาย คลาสของเขาพิเศษตรงที่ไม่เน้นวาดสวย ตลอดคืนนั้นโอ๊ตไม่เคยปริปากพูดเรื่องการวาดอนาโตมี่ให้ถูกต้องตามตำราหรือการระบายแสงเงาให้สมจริง สิ่งที่เขาแนะนำคือให้เราวาดไปเลย วาดยังไงก็ได้ให้เก็บอารมณ์ ความรู้สึก และพลังงานในโมเมนต์นั้นเอาไว้ให้ได้ เหมือนที่เขาเก็บอารมณ์และความรักไว้ในรูปวาดของอดีตคนรักได้
“เราทุกคนส่งพลังงานและรับพลังงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพลังงานพวกนี้มีผลกับเส้นของเรา เวลาเราวาดรูปจะมีสมาธิ เราจะรับรู้พลังงาน รับรู้เสียง รับรู้แสงสี ดังนั้นลองดูว่าถ้ามีผู้ชายนู้ดอยู่หน้าเรา แล้วมีกลิ่นกำยาน มีเพลงคลาสสิค อารมณ์ข้างในเราเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วมันส่งผลกับเส้นที่เราวาดอย่างไร
“นั่นคือเหตุผลที่ใช้ชาร์โคล เพราะชาร์โคลสามารถกดให้มันเข้มที่สุดหรือเบาบางเป็นอากาศก็ได้ มันเป็น medium ที่สามารถสร้างเส้นที่สอดคล้องกับพลังงานที่อยู่ในลมหายใจได้ดี”
ช่วงครึ่งแรกของคลาสเป็นเวลาของ short pose คือนายแบบจะโพสท่าหนึ่งค้างไว้ราว 2-3 นาทีให้เราได้วาด ระหว่างนั้นโอ๊ตรับหน้าที่เป็น ‘คิวเรเตอร์’ ผู้สร้างบรรยากาศให้เหล่านักเรียน บางครั้งเขาก็เปิดเพลงคลาสสิค เพลงร็อค เพลงบรรเลง เพลงป๊อป บางครั้งเขาก็จุดกำยานให้อบอวลทั้งห้อง บางครั้งเขาก็ยืนอ่านเศษเสี้ยวหนึ่งจากบทประพันธ์ของ Marlene Dumas และ Oscar Wilde การมองดูโอ๊ตทำงานก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง
เราทึ่งที่เขาไม่ทิ้งลายศิลปิน
แม้กระทั่งการเรียนการสอนเขาก็ทำให้เป็นงาน happening art ได้
หลังจากพักดื่มด่ำกับไวน์ อาหารค่ำ และบทสนทนากันจนอิ่มหนำ เซสชั่น long pose ก็เริ่มต้น คราวนี้นายแบบจะโพสท่าหนึ่งค้างไว้ราว 5-7 นาที ศิลปินร่างสูงโปร่งรับหน้าที่สร้างบรรยากาศเช่นเคย นอกจากบทเพลงและกลิ่นกำยาน เขายังมอบโจทย์ ‘อารมณ์’ ให้เราลองถ่ายทอดผ่านลายเส้น เช่น หากนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน จะวาดอย่างไร “งานศิลปะคือการซื่อสัตย์กับอารมณ์ที่เรารู้สึก กลัวก็วาดออกมา มีอารมณ์ทางเพศก็วาดออกมา” เขากล่าว
ทุกครั้งหลังจบเซสชั่น โอ๊ตจะให้ทุกคนเลือกรูปที่ชอบออกมาคนละ 1-2 รูป แล้วมาแลกเปลี่ยนกันว่าตอนที่เราวาดคิดอะไร รู้สึกอะไร จึงได้ผลงานเช่นนี้ รวมทั้งแสดงความคิดเห็นต่อผลงานของคนอื่นด้วย ความสนุกอยู่ที่ภายใต้โจทย์เดียวกัน แต่ละคนตีความออกมาเป็นลายเส้น รูปทรง และแสงเงาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่ทุกภาพเป็นเหมือนกันคือ มันสามารถถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศของห้วงขณะนั้นได้จริงๆ เราได้เห็นลายเส้นแห่งความสุข ลายเส้นแห่งความเศร้า ลายเส้นแห่งความดุดัน และอีกหลากหลายอารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านแท่งชาร์โคล
ตอนแรกเด็กอ่อนศิลปะที่ไม่ได้วาดรูปมาหลายปีอย่างเรารู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ—จะวาดได้ไหม วาดได้หรือเปล่า (ฮา) แต่เอาเข้าจริงเมื่อได้ลองปล่อยตัวปล่อยใจไปในโมเมนต์นั้นๆ ขยับมือวาดไปตามที่รู้สึก บวกกับได้รับพลังงานดีๆ จากเพื่อนร่วมคลาส เราก็เอ็นจอยไปกับการวาดรูปโดยไม่คิดอะไรมาก มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คลาสจบลงตอนราวๆ สี่ทุ่มทั้งที่ในความรู้สึกเหมือนเพิ่งจะหัวค่ำเท่านั้นเอง
“วาดรูปเป็นไม่ใช่วาดแสงเงาถูก วาดรูปเป็นคือวาดรูปไม่ตาย”
โอ๊ตว่าไว้เช่นนั้น ซึ่งเราและ (เดาว่า) ทุกคนในคลาสเห็นด้วย จากการพูดคุยกับหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่กำลังเรียนหรือเรียนจบด้านศิลปะมาโดยตรง พวกเขาบอกว่าไม่ได้วาดรูปโดยไร้ทฤษฎีศิลป์กำกับเช่นนี้มานานแล้ว บางคนบอกด้วยซ้ำว่าคลาสนี้ช่วยให้เขามั่นใจในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดินมากขึ้น แค่ต้องเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ เข้าไปอีก
ในแวบแรกที่ได้ยินชื่อคลาส หลายคนอาจตัดสินไปก่อนว่านี่คือคลาสวาดจู๋ แต่ในฐานะคนที่ได้ลองเรียนมาแล้ว เชื่อเถอะว่าจู๋เป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ (no pun intended) เท่านั้น เพราะหากให้เราสรุปคลาสนี้ในประโยคเดียว เราคงบอกว่า ‘โอ๊ตสอนให้เราวาดรูปตามที่รู้สึก’
แม้เราจะบรรยายมายืดยาว แถมยังสรุปประโยคสั้นๆ ไว้ด้วย แต่เชื่อเราเถอะว่าคลาสวาดรูปนู้ดผู้ชายคลาสนี้เป็นสิ่งที่ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น
อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่า พาร์ทที่เผ็ชแซ่บที่สุดมัน off the record เสมอ :’)
นอกจากงานวาดภาพประกอบและการเปิดสตูดิโอสอนวาดรูปนู้ดแล้ว โอ๊ต—พัฒนพงศ์ มณเฑียร ยังเป็นอาจารย์ประจำวิชา Storytelling ให้กับหลักสูตร CommDe ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิชา Art Appreciation ให้กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ยิ่งไปกว่านั้นศิลปินมากความสามารถผู้นี้ยังเป็นเจ้าของคอลัมน์ London Museums ว่าด้วยพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษให้กับนิตยสาร a day ที่ผ่านมาเขามีผลงานหนังสือออกมาแล้ว 2 เล่ม คือ London Scene ว่าด้วยชีวิตของเขาในลอนดอน มหานครแห่งความคิดสร้างสรรค์ และ Paris Souvenir บันทึกการเดินทางในฝรั่งเศสที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์และความอีโรติก!
ติดตามความเคลื่อนไหวของโอ๊ตได้ที่ Oat Montien