สิ่งที่จะเล่าหลังจากนี้คือเรื่องราวอันน่าพิศวงและพรั่นพรึงของโลกใบหนึ่ง โลกที่มีดินแดนกว้างใหญ่นามว่า ‘เวร์แคลส์ท’
ณ ดินแดนแห่งนี้เทพเจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์
ดินแดนแห่งนี้มีอารยธรรมรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่เกินผู้ใดจินตนาการ
ดินแดนแห่งนี้คือบ่อเกิดหายนะและกลายเป็นหายนะเสียเอง
ดินแดนแห่งนี้เปลี่ยนผู้ถูกขับไล่ให้กลายเป็นวีรชน
ดินแดนแห่งนี้คือศูนย์กลางของมหากาพย์เกม Path of Exile
ปฐมกาลแห่งเวร์แคลส์ท (Primeval Wraeclast)
ในอดีตกาลก่อนการเกิดขึ้นของเทพเจ้าและจักรวรรดิ ‘เวร์แคลส์ท (Wraeclast)’ คือดินแดนรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ผืนดินและท้องฟ้าครอบงำด้วยพลังดึกดำบรรพ์ที่ไร้การควบคุม ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ‘คาลันดรา (Kalandra)’ ตัวตนแห่งปฐมกาลผู้มีร่างกายเป็นนกฮูกและมีเศียรคล้ายมนุษย์ ได้ค้นพบทะเลสาบ (Lake) และถูกกักขังอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ด้วยพลังลึกลับบางอย่าง คาลันดราไม่อาจหนีออกไปจากทะเลสาบแห่งนี้ได้ ยามใดที่คาลันดราพยายามบินออกห่างทะเลสาบ เธอจะพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่ทะเลสาบ และไม่หลงเหลือความทรงจำยามเธออยู่นอกอาณาเขตทะเลสาบเลย
คาลันดราจึงใช้เวลาที่มีเฝ้าดูโลกภายนอก หรือก็คือเวร์แคลส์ท เธอมองการเปลี่ยนแปลงของดินแดนแห่งนั้นโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ เป็นประจักษ์พยานการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต การก่อตัวของสังคมและความเชื่อ
“เพียงครู่เดียวที่ข้าละสายตาจากเวร์แคลส์ท
เหล่าผู้ที่ดิ้นรนตัวเล็กตัวน้อยก็ได้สร้างศาสนาขึ้นมา
พระเจ้าคือสิ่งใดกัน หากมิใช่โจรผู้ปล้นชิงคุณงามความดี?”
– คาลันดรา
บันทึกของคาลันดรากล่าวถึงมนุษย์ผู้เคยมาเยือนทะเลสาบ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน ก่อนพวกเขาเหล่านั้นจะจากไปโดยไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลย เมื่ออารยธรรมเริ่มเจริญขึ้น เรื่องราวของคาลันดราและทะเลสาบลึกลับก็เริ่มจางหายไปตามกาลเวลา
การอุบัติขึ้นของเหล่าทวยเทพ (Rise of the Gods)
“ครั้งหนึ่ง ก่อนบีสต์จะปรากฏขึ้น
ในช่วงเวลาที่ปลุกคุมด้วยเงาแห่งความทรงจำที่สูญหาย
มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าสามารถเลื่อนขั้นสู่การเป็นเทพเจ้าได้”
– ซิน
เมื่อครั้งอดีตที่มนุษย์เริ่มอยู่อาศัยในเวร์แคลส์ท ในยุคนั้น มนุษย์บางคนสามารถยกระดับตนเองให้เป็นเทพ หากพวกเข้ามีคุณสมบัติและได้รับการผู้ชาจากผู้คน ในคนมวลหมู่เทพเจ้า ผู้ที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดคือสองพี่น้อง ‘อินโนเซนส์ (Innocence)’ และ ‘ซิน (Sin)’
ทั้งอินโนเซนส์และซินกำเนิดจากผู้หญิงนางหนึ่ง อินโนเซนส์คือตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์และคุณธรรม ส่วนซินคือตัวแทนของความเย้ายวนและการหลอกลวง มารดาของพวกเขาลำเอียงรักอินโนเซนส์เพราะธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของเขา อินโนเซนส์กินอาหารอย่างอิ่มหนำ ในขณะที่ซินได้รับเพียงเศษอาหาร นั่นทำให้ซินแข็งข้อ เขาขโมยปลาจากตลาด โกหก และทำร้ายน้องชายเพื่อบีบบังคับให้อินโนเซนส์สัญญาว่าจะปิดบังเรื่องนี้ อินโนเซนส์ซึ่งไม่อาจเก็บสัญญาไว้ได้จึงเปิดเผยการกระทำของซินต่อมารดา ทั้งสองจึงตัดสินใจว่าซินไม่มีทางไถ่บาปได้อีกแล้ว และต้องถูกชำระล้าง
ซินถูกเผามัดไว้กับเสา เมื่อร่างของซินกลายเป็นเถ้าถ่าน ตะกอนเหล่านั้นได้ซึมเข้าสู่ปอดและหัวใจของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาเสียสติและหันมาทำร้ายกันเอง ก่อนจะหหลอมรวมกันกลายเป็นไททันแห่งซิน อินโนเซนส์เห็นดังนั้นจึงเผาไททันและหมู่บ้านให้สิ้น อินโนเซนส์สาบานว่าจะขจัดความเสื่อมทรามของซินในทุกที่ที่มันแผ่ขยายไป หากเถ้าถ่านของซินตกลง ณ ที่แห่งใด เปลวไฟแห่งการชำระล้างของอินโนเซนส์จะคอยแผดมันให้มลายสิ้น
กลุ่มมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ และยุคเหมันต์ (The Winter of the World)
‘ชาวโพรโตวาล (Proto-Vaal)’ คือเป็นบรรพชนที่มีอยู่ก่อนอารยธรรมวาล (Vaal) และสังคมอันเป็นที่รู้จักอื่นๆ พวกเขาคือคนกลุ่มแรกที่จัดตั้งสังคมอย่างมีระเบียบขึ้น อารยธรรมโบราณนี้ต้องเผชิญกับการปะทุของภูเขาไฟและการโจมตีจากเผ่าพันธุ์ใต้ดิน ‘ไลท์เลส (The Lightless)’ จนในที่สุดโพรโตวาลก็เสื่อมถอยลงด้วยการมาถึงของ ยุคเหมันต์ (The Winter of the World) ภัยพิบัติที่ทำให้ดินแดนเวร์แคลส์ทตกอยู่ในยุคน้ำแข็ง
ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ‘มาราเค็ท (Maraketh)’ อีกอารยธรรมที่ลุกขึ้นสู้กับเผ่าพันธุ์ไลท์เลส ด้วยการนำของ ‘อาเคลิ (Ahkeli)’ หรือ The Clayshaper พวกเขาก่อตั้งกลุ่ม ‘ภาคีแห่งจินน์ (Order of the Djinn)’ ขึ้นเพื่อต่อกรการรุกราน หลังจากนั้น สามภคินี (Three Sisters) ได้ทำให้ยุคเหมันต์สิ้นสุดลง นำไปสู่การล่าถอยกลับสู่ใต้พิภพของไลท์เลส
บีสต์ (The Beast) และจุดจบของทวยเทพ
ซินสร้างและเลี้ยงดู ‘บีสต์ (The Beast)’ ขึ้นเพื่อควบคุมเหล่าเทพเจ้า และป้องกันความขัดแย้งระหว่างทวยเทพ มันมีพลังอำนาจมหาศาลถึงขั้นสามารถทำให้เทพเจ้าหลับใหล นำมาสู่จุดจบของเหล่าทวยเทพ
บีสต์คือสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัว มันไม่มีเจตจำนงหรือความทะเยอทะยานในตัวมันเอง ผู้ใดที่สัมผัสบีสต์จะถูกกลืนกินวิญญาณ กลายเป็นสิ่งที่บิดเบี้ยว บ้าคลั่ง และเป็นส่วนหนึ่งของมัน ถึงอย่างนั้น ผู้แสวงหาอำนาจหลายต่อหลายคนต่างก็เสาะหาบีสต์เพื่อใช้ประโยชน์จากมัน บีสต์จึงเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดความโกลาหลและความเสื่อมทรามในดินแดนเวร์แคลส์ท อีกทั้งยังเป็นที่มาของมนต์มณี (Thaumaturgy) และ มณีบารมี (Virtue Gem) วัตถุที่มอบพลังแก่ผู้ถือครอง
“พลังหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่เปลี่ยน ‘สิ่งที่เป็นจริง’
ให้กลายเป็น ‘สิ่งที่จินตนาการ’” – พายตี
ยุคอารยธรรมวาล (Vaal)
ช่วงเวลา: ??? – 400 BIC (Before Imperialis Conceptus, ก่อนศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
‘ชาววาล (Vaal)’ เป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกเริ่มและมีความก้าวหน้ามากที่สุดในเวร์แคลส์ท พวกเขาเป็นที่รู้จักจากศาสตร์มนต์มณีอันล้ำหน้า และสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ซับซ้อน เช่น พีระมิดและวิหาร แอ็ตโซแอตล์ (Temple of Atzoatl) ในขณะเดียวกัน ชาววาลก็มีวัฒนธรรมในการประกอบพิธีกรรมบูชายัญมนุษย์อยู่ด้วย
900 ปี ก่อนจักรวรรดินิรันดร์ ชาววาลได้พบกับชนเผ่าอัซเมรี (Azmeri) ที่มีถิ่นกำเนิดจากจากเทือกเขาอัซเมเรียน และช่วยให้อารยธรรมอัซเมรีที่เพิ่งถือกำเนิดก้าวหน้า แต่ยังคงเก็บศาสตร์แห่งการใช้มณีบารมีหรือที่ชาววาลเรียกกันว่า หยาดน้ำตาแห่งมาจิ (Tears of Maji) ไว้เป็นความลับ
อารยธรรมวาลรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุดในช่วง 400 ปี ก่อนจักรวรรดินิรันดร์ ทว่าก็ล่มสลายลงภายใต้ปกครองของ อัถซิริ (Atziri) ราชินีทรงอำนาจองค์สุดท้าย ผู้มีทั้งความงามและความทะเยอทะยาน แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าสาเหตุของการล่มสลายมาจากเหตุการณ์ที่ ดอร์ยานี (Doryani) นักมนต์มณีวิทยาในการดูแลอัถซิริ ได้ทำการทดลองรวมถึงพิธีกรรมที่ก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ พร้อมทั้งปลุกบีสต์ให้ตื่นขึ้น
กำเนิดจักรวรรดินิรันดร์ (Imperialus Conceptus)
ช่วงเวลา: 1 – 1319 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
หลังการล่มสลายของวาล ชาววาลจำนวน 3,126 คน ได้ผู้ลี้ภัยไปหลอมรวมเข้ากับอารยธรรมอัซเมรี เปิดศักราชใหม่ภายใต้การนำของ ‘ทาร์คัส เวรูโซ (Tarcus Veruso)’ เขานำพาผู้คนกว่า 80,000 ชีวิตข้ามผ่านดินแดนแห่งความหายนะ (Doomlands) ไปยัง อะซาลา วาล (Azala Vaal) ซากปรักหักพังหลังการสูญสิ้นของวาล และเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองซาร์น (Sarn) ก่อนประกาศการก่อตั้งจักรวรรดิธรรมอัซเมรี เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ อิมพีเรียลัส คอนเซ็ปต์ (Imperialus Conceptus) และถือเป็นการเริ่มนับปีศักราชที่ 1 (1 IC) ของจักรวรรดิ
“เราไม่ใช่วาล เราคือธรรมอัซเมรี
ตั้งแต่บัดนี้และตลอดไป ดวงตาของเราเปิดกว้าง”
– ทาร์คัส เวรูโซ
เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดของบรรพชน เวรูโซได้ประกาศห้ามใช้ศาสตร์มนต์มณี สั่งปิดสถานที่โบราณของวาลทั้งหมด และฝังน้ำตาแห่งมาจิไว้ลึกลงไปในภูเขาแห่งไฮเกท (Highgate)
ในปี 35 IC จักรวรรดินิรันดร์ได้เปลี่ยนมือมาอยู่ในการปกครองของราชวงศ์เฟรเซีย หลัง ‘นายพลอะลาโน เฟรเซีย (Alano Phrecia)’ สามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตแห่งความมืด ฟื้นฟูแสงสว่างให้กลับมาสู่จักรวรรดิอีกครั้ง ประจวบเหมาะกับการไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิที่ชัดเจน อะลาโนจึงได้สวมมงกุฎขึ้นครองราชย์
รัชสมัยของจักรพรรดิอะลาโนเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งสันติภาพและความรุ่งเรืองอันยาวนาน ในขณะที่ดินแดนที่เคยเป็นของวาลถูกตั้งถิ่นฐานใหม่และหลอมรวมเข้าสู่จักรวรรดินิรันดร์
การเถลิงราชย์ของซิตัส (The Reign of Chitus) และความเสื่อมถอยของจักรวรรดินิรันดร์
ช่วงเวลา: 1319 – 1333 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
เชื้อพระวงศ์เฟรเซียสืบทอดนับหลายทศวรรษ จนกระทั่งในรัชสมัยของ ‘อิซาโร (Izaro)’ จักรพรรดิซึ่งไร้ผู้สืบบัลลังก์ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้สร้างเขาวงกต (The Labyrinth) เพื่อทดสอบผู้มีสิทธิ์ได้ปกครองจักรวรรดินิรันดร์คนถัดไป
ในปี 1319 IC ชายผู้มีนามว่า ‘ชิตัส (Chitus)’ ผ่านการทดสอบเขาวงกตด้วยทุกกลอุบายที่เขาสามารถจะใช้ได้ ชิตัสสวมมงกุฎขึ้นเป็นจักรพรรดิ และภารกิจแรกของพระองค์ก็คือการขังอิซาโร อดีตจักรพรรดิไว้ในเขาวงกต
ชิตัสเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยมแต่มีเสน่ห์ ภายใต้การปกครองของพระองค์ จักรวรรดิได้ขยายอาณาเขตเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน รัชสมัยของชิตัสได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจาก ‘มาลาไค (Malachai)’ หนึ่งในนักมนต์มณีวิทยาที่ขึ้นชื่อ มาลาไคมีวิสัยทัศน์ที่จะสร้าง ‘มนต์มณีธิปไตย’ (Thaumatocracy) หรือระบบสังคมที่ผสานเข้ากับศาสตร์มนต์มณีและมณีบารมี ชิตัสยอมรับวิสัยทัศน์นี้ และยกระดับนักมนต์มณีวิทยาให้มีอำนาจในสังคม มาลาไคยังประสบความสำเร็จในการฝังมณีบารมีในร่างมนุษย์ เกิดเป็นกองทัพมณีชน (Gemling Legionnaires) นักรบแห่งจักรวรรดิที่สามารถใช้พลังอัญมณี
อีกหนึ่งนักมนต์มณีวิทยาคนสำคัญคือ ‘มาลิกาโร (Maligaro)’ หนึ่งในสามลูกศิษย์ของมาลาไค มาลิกาโรได้ทำการทดลองอันน่าสะพรึงในโถงแห่งบาป (Chamber of Sins) โดยฉีดพลังงานเสื่อมทรามมณีบารมีเข้าสู่เนื้อมนุษย์ผ่านอุปกรณ์อย่าง ลิ่มของมาลิกาโร (Maligaro’s Spike)
“มณีอันรุ่งโรจน์นี้ทำให้เราเข้าใกล้ความเป็นเทพเจ้าไปเพียงเอื้อมมือ”
– ซิตัส
ในช่วงการปกครองของชิตัส พลเมืองของจักรวรรดิประกอบไปด้วยอัซเมรีเป็นส่วนใหญ่ และทาสจากเผ่าพันธุ์อื่น เช่น เอโซไมต์ (Ezomytes), คารุย (Karui) และมาราเค็ท ในยุคนี้ผลงานของนักมนต์มณีวิทยาทำให้จักรวรรดิเจริญก้าวหน้า ทว่าการพึ่งพาศาสตร์มนต์มณีอย่างหนักก็นำไปสู่การทดลองแสนอันตรายและความบิดเบี้ยวเช่นกัน
การปฏิวัติพิสุทธิ์ (The Purity Rebellion)
ช่วงเวลา: 1333 – 1334 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
การปฏิวัติพิสุทธิ์เป็นการลุกฮือครั้งสำคัญต่อจักรวรรดินิรันดร์ โดยมีผู้นำคือ เทมพลาร์ระดับสูง โวลล์แห่งเธบรัส (High Templar Voll of Thebrus) โวลล์มีเป้าหมายในการกำจัดการใช้ศาสตร์มนต์มณีและมณีบารมี ซึ่งเขามองว่าเป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมทรามในจักรวรรดิ
เขาได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย เช่น กษัตริย์คอม แห่งคารุย (King Kaom of the Karui), เทน ริกวอลด์ แห่งเอโซเมียร์ (Thane Rigwald of Ezomyr), และ เซ็คเคมา เดเชรท แห่งมาราเค็ท (Sekhema Deshret of the Maraketh) พันธมิตรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการท้าทายการปกครองของจักรพรรดิชิตัส และอิทธิพลของนักมนต์มณีวิทยา (เซ็คเคมา คือ คำที่ใช้เรียกผู้นำหญิงที่มีอำนาจสูงสุดของเผ่ามาราเค็ท)
การกบฏแห่งความบริสุทธิ์มีหลายสมรภูมิสำคัญ เทน ริกวอลด์ ได้นำกองกำลังเอโซไมต์ เข้าสู่ การการปฏิวัติดอกไม้สีเลือด (Bloody Flowers Rebellion) ต่อผู้ว่าการ ไกอัส เซนทารี (Governor Gaius Sentari) และสามารถคว้าชัยชนะได้ แม้ว่าจะต้องสูญเสียอย่างหนัก
ในขณะเดียวกัน กษัตริย์คอมได้นำกองทัพของเขาเอาชนะกองทัพมณีชนของนายพลมาร์เซอัส ไลออนอาย (Marceus Lioneye) และยึดชายฝั่งทางตอนใต้จนถึงอ่าวไซเรน (Siren’s Cove)
ทางด้าน เซ็คเคมา เดเชรท มีบทบาทสำคัญโดยซุ่มโจมตีและทำลายล้างกองพลวาสตีรีของนายพลเฮคเตอร์ ทิทูเชียส (Hector Titucius) ระหว่างพายุทะเลทราย
การกบฏแห่งความบริสุทธิ์ถึงจุดสูงสุดในปี 1334 IC ด้วยการลอบสังหาร จักรพรรดิชิตัส ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า ราตรีแถบผ้านับพัน (Night of a Thousand Ribbons) โดย ลอร์ดออนดาร์ (Lord Mayor Ondar) ที่เคยเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของจักรพรรดิ เขาได้วางยาพิษจักรพรรดิจนถึงแก่ความตาย
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของชิตัส โวลล์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะจักรพรรดิองค์ใหม่ และเริ่มยุคใหม่ที่มุ่งล้างจักรวรรดิให้พ้นจากศาสตร์มนต์มณี อย่างไรก็ตาม รัชสมัยของเขานั้นคงอยู่ได้ไม่นานนัก
มหาภัยพิบัติ (Cataclysm)
ช่วงเวลา: 1339 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
ในรัชสมัยของโวลล์ จักรวรรดิผู้มุ่งมั่นจะกำจัดศาสตร์มนต์มณีออกจากจักรวรรดินิรันดร์ มาลาไคหลอกลวงโวลล์ ด้วยการสัญญาว่าเขาสามารถสร้าง เครื่องบังเกิดความวินาศ (Rapture Device) ที่มีพลังเพียงพอจะทำลายบีสต์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของศาสตร์มนต์มณีทั้งหมด ทว่าความจริงแล้วมาลาไคหมายจะใช้เครื่องมือนี้เพื่อเข้าไปในตัวของบีสต์และครอบครองพลังนั้น
เครื่องบังเกิดความวินาศจำเป็นต้องใช้พลังชีวิตของราชินีมณีชน หรือ ท่านหญิงดิอัลลา (Lady Dialla) คนรักของมาลาไค เพื่อให้ทำงานได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปิดใช้งานอุปกรณ์ในปี 1336 IC ดิอัลลากลับปฏิเสธที่จะสละชีวิตของเธอ เครื่องบังเกิดความวินาศจึงทำได้เพียงเปิดมิติทางเข้าสู่ตัวบีสต์ มาลาไคฉวยโอกาสนี้ปลุกบีสต์ให้ตื่นขึ้นและเข้าไปในตัวของมันเพื่อควบคุมพลัง มาลาไคใช้พลังนั้นเพื่อทำลายล้างทุกสิ่ง เมืองหลวงซาร์นล่มสลาย ดวงอาทิตย์กลายเป็นทรงกลมสีเลือด
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดินิรันดร์ในปี 1339 IC เมืองหลวงซาร์นล่มสลาย ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีเลือด เวร์แคลส์ท ณ เวลานั้นตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ สิ่งมีชีวิตเกิดการกลายพันธุ์และเปื้อนมลทิน (corruption) คนตายฟื้นคืนชีพ ความน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วดินแดน ประชากรที่รอดชีวิตต่างกระจัดกระจายและไม่สามารถรวมตัวกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามนี้ได้ ผู้คนต่างเรียกขานช่วงเวลาอันมืดมนนี้ว่า มหาภัยพิบัติ (Cataclysm)
เมื่อไร้หนทางกำจัดบีสต์ เซ็คเคมา เดเชรท จึงตัดสินใจสละชีวิตตัวเองเพื่อผนึกบีสต์ไว้ที่รังของมันในเหมืองแห่งไฮเกท ซึ่งต่อมาเป็นหน้าที่ของลูกหลานชาวมาราเค็ทที่จะยืนหยัดปกป้องสถานที่แห่งนี้ ในขณะเดียวกัน ลึกลงไปในตัวของบีสต์ที่กำลังหลับใหล มาลาไคยังคงเตรียมการก่อภัยพิบัติอีกครั้งเพื่อสร้างโลกใหม่ที่เขาใฝ่ฝัน
เกาะโอริอาท (Oriath)
ช่วงเวลา: 1336 – 1600 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
หลังการล่มสลายของจักรวรรดินิรันดร์ โอริอาท (Oriath) เกาะนอกชายฝั่งเวร์แคลส์ทที่เคยเป็นเพียงนิคมชายฝั่งเล็กๆ ก็ได้กลายเป็นสถานที่ลี้ภัยสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากความโกลาหลบนแผ่นดินใหญ่ ที่นี่คือที่มั่นแห่งสุดท้ายของมนุษยชาติ โอริอาทมั่งคั่งขึ้นจากการครอบงำพื้นที่ทางทะเลและการแสวงหาประโยชน์ โดยเฉพาะจากชนเผ่าคารุยที่ชาวโอริอาทจับมาเป็นทาสเพื่อขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
“ทรัพย์สมบัติของโอริอาทถูกสร้างขึ้นจากความยากไร้ของชาวคารุย
ทองโอริอาทย่อมแปดเปื้อนไปด้วยโลหิตชาวคารุยไปตลอดกาล”
– อูทูลา
เทมพลาร์ระดับสูง ‘เวนาเรียส (High Templar Venarius)’ เป็นที่จดจำในฐานะผู้รวบรวมอำนาจในยุคแรก และก่อตั้ง ‘ธีโอโปลิส (Theopolis)’ เป็นเมืองหลวงของโอริอาท รากฐานของสังคมโอริอาทเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับ ภาคีแห่งเทมพลาร์ (Order of the Templar) ซึ่งเป็นองค์กรศาสนาที่อุทิศตนให้กับการบูชาเทพอินโนเซนส์ เทมพลาร์สร้างลำดับชั้นที่เข้มงวดขึ้นมาโดยผสมผสานศาสนากับการเมืองเพื่อควบคุมจำนวนประชากร ซึ่งสังคมลักษณะนี้ขึ้นมามักนำไปสู่การสูญเสียเสรีภาพของผู้คน ผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยจะถูกเนรเทศไปยังดินแดนต้องสาปเวร์แคลส์ท
ต่อมาในปี 1581 IC เทมพลาร์ระดับสูง โดมินัส (High Templar Dominus) ได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งโอริอาท และมีอำนาจควบคุมกองกำลังชุดดำ (Blackguards) โดมินัสมีความสนใจอย่างลึกซึ้งในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโบราณแห่งเวร์แคลส์ท เขาแสวงหาความลับของศาสตร์มนต์มณี โดมินัสดำเนินงานจากสถานีวิจัยบนหอคอยคทาแห่งพระเจ้า (Sceptre of God) ในขณะที่มอบหมายภารกิจภาคสนามให้กับผู้ช่วยของเขา ได้แก่ ‘นายพลกราวิเชียส (General Gravicius)’ และ ‘พายตี (Piety)’ อดีตโสเภณีผู้ลักลอบศึกษามนต์มณี
กราวิเชียสสร้างที่มั่นชั่วคราวในเมืองซาร์น และรับหน้าที่นำทีมเก็บกู้วัตถุโบราณทรงพลัง ทางด้านพายตีรับตำแหน่งเป็นนักวิจัยมนต์มณีประจำวิหารลูนาริส (Lunaris Temple) เพื่อดำเนินการทดลองอันน่าสยดสยองกับเอ็กไซล์ (Exile) หรือก็คือเหล่าผู้ถูกขับไล่ออกจากเกาะโอริอาทนั่นเอง เวร์แคลส์ทจึงเป็นเหมือนสนามทดลองสำหรับงานวิจัยของโดมินัส
*เข้าสู่เนื้อหาของเกม Path of Exile ภาคแรก*
ชะตากรรมของผู้ถูกเนรเทศ (The Path of Exile)
ช่วงเวลา: 1600 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
Act 1
เราในฐานะผู้เล่นจะได้รับได้รับบทเป็นผู้ถูกเนรเทศ หรือ เอ็กไซล์ ที่ตื่นขึ้นบนชายฝั่งของดินแดนเวร์แคลส์ทหลังเหตุเรืออับปาง และพบที่พักพิงเป็นชุมชนเล็กๆ ในหอสังเกตการณ์ไลออนอาย (Lioneye’s Watch) ที่นี่เอ็กไซล์ได้พบกับผู้รอดชีวิตและช่วยเหลือพวกเขา ในระหว่างนั้นไซล์จะได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามจากคำสาปของมนต์มณี เช่น อสรุกายเฝ้าเรือนจำบรูตัส (Brutus) พรายน้ำเมอร์เวล (Merveil) ก่อนจะเจอกับพายตีที่มาขัดขวางไม่ให้เดินทางไปยังชายป่า
Act 2
เอ็กไซล์มองหาเส้นทางใหม่เพื่อเดินทางมายังชายป่า และพบกับอีกชุมชนผู้รอดชีวิตในค่ายพงไพร ขณะที่ตระเวนทำภารกิจในผู้คนในค่ายพงไพร ไม่ว่าจะเป็นปราบโจรที่คอยรุกราน หรือกำจัดแมงมุงยักษ์ เอ็กไซล์จะได้รับข้อมูลว่ามีกองกำลังชุดดำจากเกาะโอริอาทที่เดินทางมาไล่ล่าเหล่าผู้ถูกเนรเทศ และได้ช่วยเหลือ ‘เฮเลนา (Helena)’ อดีตกองกำลังชุดดำเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากโถงแห่งบาปของมาลิกาโร
หลังจากนั้นเอ็กไซล์จะเดินทางไปยังซากปรักหักพังของวาลเพื่อหยุดแผนการของพายตี แต่นั่นก็ทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยความมืด เอ็กไซล์จึงต้องเอาชนะ ‘มหาวิญญาณแห่งวาล (Vaal Oversoul)’ ชัยชนะครั้งนี้ได้เปิดประตูสู่ถนนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองซาร์น
Act 3
ระหว่างเดินทางไปยังเมืองซาร์น เอ็กไซล์ได้ปะทะกับกองกำลังชุดดำและพายตี ทว่าพายตีกลับหนีรอดไปได้ เมื่อมาถึงเศษซากของเมืองซาร์น เอ็กไซล์จะได้รับการร้องขอจากผู้อยู่อาศัยให้ไปกำจัดราชินีมณีชน หรือ ดิอัลลา ก่อนที่พายตีใช้ประโยชน์จากนาง
หลังเอ็กไซล์ได้สนทนากับท่านหญิงดิอัลลา นางจะเสนอความช่วยเหลือที่จะเปิดทางให้เอ็กไซล์สามารถเดินทางผ่านท่อระบายน้ำเพื่อไปสังหารนายพลกราวิเชียสผู้นำของกองกำลังชุดดำ ก่อนจะเดินทางไปยังวิหารลูนาริสเพื่อสังหารพายตีเช่นกัน และในที่สุด เอ็กไซล์ก็ได้เผชิญหน้ากับโดมินัสบนยอดหอคอยคทาแห่งพระเจ้า และเอาชนะเขาลงได้
Act 4
เอ็กไซล์เดินทางมาถึงไฮเกทตามคำบอกเล่าของดิอัลลา และได้พบกับ ‘โอยุน (Oyun)’ ผู้นำคนปัจจุบันของชาวมาราเค็ทที่ปกป้องสถานที่ที่บีสต์หลับใหลอยู่ เธอขอให้เอ็กไซล์ช่วยปลดผนึกบีสต์และทำลายมัน โดยไปนำผืนธงของเดเชรทคืนมาจากโวลล์ อดีตจักรพรรดิที่ตอนนี้ต้องมลทินไปแล้ว หลังนำผืนธงไปปลดผนึกบีสต์ เอ็กไซล์เดินทางต่อไปยังเหมืองและเปิดใช้งานเครื่องบังเกิดความวินาศด้วยมณีบนตัวของดิอัลลา และมณีที่ได้จากการปราบ คอม อดีตผู้นำชนเผ่าคารุย และ ดาเรสโว (Daresso) คนรักของเมอร์เวลในดินแดนความฝัน
เมื่อเจาะเข้าสู่ตัวบีสต์สำเร็จและก้าวเข้าไปในนั้น เอ็กไซล์จะได้เจอกับพายตีที่ควรจะตายไปแล้วอีกครั้ง พายตีอธิบายว่าเธอถูกสาปและครอบงำโดยมาลาไค และหากต้องการกำจัดมาลาไค เอ็กไซล์ต้องไปต่อกรกับสามลูกศิษย์ของมาลาไคนั่นคือ มาลิกาโร, แชฟรอนน์ (Shavronne) และโดเอดรี (Doedre) หลังจากนั้นพายตีก็ได้ช่วยเหลือเอ็กไซล์ปราบมาลาไคลงพร้อมกับกำจัดบีสต์ เหล่าเทพจึงกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
Act 5
เอ็กไซล์ใช้ประตูมิติเดินทางกลับไปยังโอริอาทและโผล่มาที่หอคอยคุมขังทาส โอริอาทในขณะนั้นกำลังเกิดการลุกฮือโดยทาสชาวคารุยที่โกรธแค้นการปกครองของ เทมพลาร์ระดับสูง อะวาเรียส (High Templar Avarius) ผู้มีความศรัทธาอย่างบ้าคลั่งต่อเทพอินโนเซนส์
เอ็กไซล์เข้าเผชิญหน้ากับอะวาเรียส และต่อกรกับอินโนเซนส์ที่หลงผิดจากการบูชาของเหล่าสาวก อินโนเซนส์พ่ายแพ้และหลบหนีไปสิงสถิตอยู่ในตัวของ ‘แบนนอน (Bannon)’ ทันใดนั้นเอง เอ็กไซล์ก็ได้พบกับเทพซินที่มาบอกข่าวว่าบัดนี้ คิทาวา (Kitava) เทพผู้สวาปามมิรู้สิ้นได้ตื่นขึ้นแล้ว และเป็นหน้าที่ของเอ็กไซล์ที่จะสังหารคิทาวา โดยต้องใช้สัญลักษณ์พิสุทธิ์ (Sign of Purity) และสมบัติตามตำนานของคารุยเข้าต่อกร ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคิทาวา สัญลักษณ์พิสุทธิ์กลับถูกทำลาย เอ็กไซล์พ่ายแพ้และได้ซินเข้ามาช่วยเหลือไว้
Act 6
เอ็กไซล์เดินทางกลับมายังเวร์แคลส์ทอีกครั้งตามคำสั่งของซิน พร้อมกับแผนการของซินที่จะช่วยให้เอ็กไซล์สามารถเอาชนะคิทาวา นั่นก็คือการนำเถ้ากรุ่นอันมืดมน (Dark Ember) ส่วนประกอบที่สร้างเมล็ดพันธุ์กำเนิดบีสต์ จากซากศพบีสต์มาใช้เป็นเครื่องมือ เถ้ากรุ่นที่ว่านี้เอ็กไชล์และซินต้องไปเก็บเกี่ยวมาจากวิญญาณของสามลูกศิษย์ของมาลาไค (มาลิกาโร, แชฟรอนน์ และ โดเอดรี)
ในช่วงเวลานี้ เอ็กไชล์ได้กลับไปเยือนหอสังเกตการณ์ไลออนอาย รวมถึงกำจัดแชฟรอนน์และไล่ล่าฆ่าเทพหลายตนไม่ว่าจะเป็น ทูโคฮามา (Tukohama) เทพคารุยแห่งการศึก, ครึ่งคนครึ่งแพะ แอ็บเบอร์แรธ (Abberath) เทพผู้มีกีบ, ริสราธา (Ryslatha) นายหญิงผู้เชิดหุ่น และซัวก็อธ (Tsoagoth) ราชันน้ำเค็ม โดยซินจะทำหน้าที่เก็บเกี่ยววิญญาณของเทพที่พ่ายแพ้ ส่วนเอ็กไซล์ก็ได้ส่วนหนึ่งของพลังเทพเจ้ามาไว้กับตัวด้วย
Act 7
เอ็กไซล์มุ่งหน้าไปยังค่ายพักพิงของชาวบ้านที่หนีออกมาจากค่ายพงไพร เพราะ ราลาเคช (Ralakesh) เทพพันหน้า กำลังเข้ายึดครองพื้นที่แห่งนั้น เอ็กไซล์ออกตามหาแผนที่ของมาลิกาโรตามคำบอกเล่าของซินและผู้คนในค่ายพักพิง และใช้แผ่นที่เดินทางไปยังโถงแห่งบาปและปราบมาลิกาโรได้สำเร็จ เอ็กไซล์ยังไล่ล่าเหล่าเทพบรรพกาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งราลาเคชที่สถิตในร่างชายชื่อกรูสท์, กรัธท์คัล (Gruthkul) พระมารดาผู้สิ้นหวัง และอาราคาลี (Arakaali) ผู้ถักทอหมู่เงา เทพแมงมุมหญิงที่ทำรังอยู่ในวิหารอาราคาลีแห่งนครวาล มาถึงตอนนี้ ลูกศิษย์ของมาลาไคคนสุดท้ายที่เอ็กไซล์ต้องกำจัดก็คือโดเอดรี
Act 8
หมอกสีเขียวปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองซาร์น เมื่อสอบถามผู้อยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้เอ็กไซล์ก็ได้รู้ว่าเหตุการณ์นี้คือฝีมือของโดเอดรี ทราบดังนั้น เอ็กไซล์จึงลัดเลาะไปในท่อน้ำทิ้งใต้เมืองและกำจัดโดเอดรี ต่อด้วยการสังหารเหล่าเทพอีกจำนวนหนึ่งนั่นคือ ยูกูล (Yugul) ภาพสะท้อนแสนสยอง กับ ลูนาริส (Lunaris) จันทร์นิรันดร และ โซลาริส (Solaris) ตะวันนิรันดร สองเทพที่ห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงท้องฟ้าจนเมืองซาร์นตกอยู่ความเดือดร้อน เมื่อเสร็จภารกิจก็ถึงคราวที่เอ็กไซล์และซินมุ่งหน้าไปยังไฮเกท—สถานที่ที่บีสต์ถูกกำจัด
Act 9
ไฮเกทในวันที่เอ็กไซล์และซินเดินทางไปถึงนั้น กำลังเกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคนในเผ่ามาราเค็ท เนื่องจาก เซ็คเคมา โอยุน ผู้นำของมาราเค็ทถูกนักรบในเผ่าจับตัวไปเผ่าบูชายัญแก่เทพี การูคาน (Garukhan) ราชินีแห่งสายลม อดีตคนรักของซิน ในระหว่างนี้ซินได้ขอร้องให้เอ็กไซล์ไปตามหา กรดบาซิลิสก์ (Basilisk Acid) และ ดินปืนทาร์ทาน (Trarthan Powder) เพื่อใช้เปิดปากแผลบีสต์
การรวบวัตถุทั้งสองก็นำพาให้เอ็กไซล์ไปสังหารเทพ ชาคารี (Shakari) ราชินีแห่งผืนทราย และการูคาน เมื่อได้ทุกอย่างครบ ซินและเอ็กไซล์จึงเปิดทางเข้าไปยังตัวบีสต์ ทว่าเอ็กไซล์ก็ต้องต่อกรกับสามศิษย์ของมาลาไคที่หลอมรวมกันและได้เถ้ากรุ่นอันมืดมนมาครอง หลังจากนั้นตัวบีสต์เหมือนถูกฉีกกระชาก เอ็กไซล์ตื่นขึ้นมาท่ามกลางกองเลือดและชิ้นเนื้อของมันที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
Act 10
เอ็กไซล์กลับมายังโอริอาทอีกครั้ง ในเวลานี้ คิทาวาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม สาวกของคิทาวาได้ก่อความวินาศไปทั่วเมือง ทั้งยังจับตัวแบนนอนร่างสิงสถิตของอินโนเซนส์ไป เอ็กไซล์จึงต้องไปช่วยเขากลับมา และตามหาไม้พลองพิสุทธิ์ (The Staff of Purity) มามอบให้กับแบนนอนที่พร้อมจะใช้ไม้พลองสละตัวเองและปลุกอินโนเซนส์กลับมาอีกครั้ง
อินโนเซนส์ที่ตื่นขึ้นด้วยความละอายจากสิ่งที่เขาได้ทำให้โอริอาทแปดเปื้อน ก่อนจะตัดสินใจร่วมเป็นกำลังรบร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหลกับซินและเอ็กไซล์ ในที่สุด ทั้งสามก็ได้รับชัยชนะและนำจุดจบมาสู่คิทาวา เทพผู้สวาปามมิรู้สิ้น เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง อินโนเซนส์เลือกที่จะปลีกวิเวกเพื่อสำนึกบาป ซินยังคงปักหลักเคียงข้างมนุษย์ ด้านเอ็กไซล์ตัดสินใจออกเดินเรือ ทิ้งวีรกรรมของเขา/เธอไว้เบื้องหลัง
*เข้าสู่เนื้อหา Early Access ของเกม Path of Exile ภาค 2*
The Path of Exile 2
ช่วงเวลา: 1620 IC (ศักราชจักรวรรดินิรันดร์)
ในคืนหนึ่ง ณ ป่าเกรลวูดแห่งอ็อกแฮม ท่านเคานต์มีรับสั่งให้ของทหารของเขาออกไล่ล่าอะไรบางอย่าง ไม่นานนักกลุ่มทหารก็ได้เผชิญหน้ากับเงาคล้ายมนุษย์ที่ห่มกายด้วยผ้าคลุมสีดำ ท่านเคานต์ใช้ดาบสลักอักขระโบราณเสียบเข้าร่างของผู้ห่มกายสีดำนั้น และชิงเอาวัตถุทรงกลมมา
“หยุดเสีย มนุษยชาติยังไม่พร้อม!”
ผู้ห่มกายสีดำกล่าว
โดยไม่ฟังใจคำเตือน ท่านเคานต์ยื่นวัตถุทรงกลมให้ทหารนายหนึ่ง จะด้วยความบังเอิญหรือไม่ นายทหารกดปุ่มบนวัตถุทรงกลม เสียงไขลานทำงาน และทันทีที่ทรงกลมเปิดอ้า บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งทะลักออกมาก
Act 1
20 ปี หลังศึกล้มเทพคิทาวา… ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นผู้รอดจากการถูกประหารแขวนคอโดยคำสั่งของเคานต์จีโอนอร์ (Count Geonor) แห่งอ็อกแฮม (Ogham) แผ่นดินอาศัยของชาวเอโซไมต์ในดินแดนเวร์แคลส์ท ผู้รอดชีวิต—ที่หลังจากนี้จะขอเรียกว่า ‘เอ็กไซล์’—ได้หลบหนีและมาเกยตื้นที่ริมตลิ่งใกล้ค่ายเคลียร์เฟล (Clearfell Encampment) เอ็กไซล์เดินทางสำรวจลึกเข้าไปในป่าเกรลวูด (Grelwood) และได้ช่วยเหลือ ผู้คลุมกาย (The Hooded One) จากการถูกแขวนบนต้นไม้และผนึกไว้ด้วยอักขระโบราณ
เมื่อผู้คลุมกายกลับมาได้สติ เขาเล่าว่าเคานต์จีโอนอร์ได้ชิงเอา เมล็ดพันธุ์แห่งมลทิน (Seed of Corruption) บ่อเกิดโรคภัยและความบ้าคลั่งไป พร้อมขอร้องให้ช่วยนำมันกลับคืนมา ซึ่งภายหลังเอ็กไซล์ได้ทราบว่าเมล็ดพันธุ์นั้นคือตัวอ่อนของบีสต์ เอ็กไซล์เข้าต่อสู้กับเคานต์จีโอนอร์ที่ถูกบีสต์ครอบงำและเอาชนะได้ ทว่าตัวอ่อนบีสต์ในกรงขังกลับถูก ออริอานา (Oriana) ภรรยาของเคานต์จีโอนอร์ พาหนีไปยังที่ราบวาสตีรี (Vastiri Plains)
Act 2
เอ็กไซล์และผู้คลุมกายออกตามล่าออริอานาและบีสต์จนมาถึงชายแดนวาสตีรี ทั้งคู่เดินทางไปพร้อมกับกองคาราวานอาร์ดูรา (Ardura Caravan) ที่นำโดย ‘เซ็คเคมา อะชาลา (Sekhema Asala)’ ผู้มีอำนาจสูงสุดของชนเผ่ามาราเค็ทคนปัจจุบัน ด้วยเกียรติของมาราเค็ทที่มุ่งหมายทำลายบีสต์ให้สิ้น อะชาลาจึงให้ความร่วมมือกับเอ็กไซล์เป็นอย่างดี แม้จะต้องขอความช่วยเหลือจากชาวฟาริดัน (Faridun) อดีตชาวมาราเค็ทที่ถูกขับไล่ก็ตาม
จามันรา (Jamanra) อดีตกษัตริย์ของชาวฟาริดันได้ถูกปลุกขึ้นจากพลังของบีส เขาแต่งตั้งให้ออริอานาเป็นราชินี จามันรายังเรียกพายุทรายมาขัดขวางไม่ให้กองคาราวานมาหยุดแผนการของเขาและออริอานา เอ็กไซล์จึงต้องเดินทางไปกำจัด ซัลมาแรธ (Zalmarath) หุ่นมหึมา, อิคทาบ (Iktab) จ้าวมรณะ และ เอ็กบาบ (Ekbab) ไอยราโบราณ และแอซาเรียน (Azarian) บุตรที่ถูกทอดทิ้ง เพื่อรวบรวมวัตถุมาสร้างเป็นแตรงาช้างที่สามารถหยุดพายุทราย เอ็กไซล์และอะชาลาไล่ล่าจามันราจนสังหารเขาลงได้ ถึงอย่างนั้นออริอานาและบีสต์ก็ยังหนีไปได้ หลังเหตุการณ์นี้ ผู้คลุมกายจะเปิดเผยกับเอ็กไซล์ว่าเขานั้นคือเทพซิน ส่วนบีสต์ก็คือสิ่งประดิษฐ์ที่เขาสร้างขึ้น
Act 3
ในขณะที่กองคาราวาชาวมาราเค็ทออกตามล่าออริอานาและบีสต์ในราบวาสตีรี เอ็กไซล์และซินได้ปลีกตัวออกมาและเดินทางมายังอดีตนครวาล เพราะเชื่อว่าอารยธรรมวาลที่เคยรุ่งเรืองและเชี่ยวชาญการใช้ศาสตร์มนต์มนีอาจพอมีหนทางรับมือกับบีสต์ ที่ค่ายซิกกุรัต (Ziggurat Encampment) เอ็กไซล์จะได้พบกับ อัลวา (Alva) หนึ่งในนักล่าสมบัติ และตามหาแกนวิญญาณเพื่อทำให้ระบบทางน้ำของวาลกลับมาทำงาน จนสามารถลดระดับน้ำที่ท่วมนครวาลลงได้
ในบริเวณนครวาลที่เคยจมน้ำ ซึ่งอยู่ด้านล่างค่ายซิกกุรัต เอ็กไซล์และอัลวาได้เข้าไปสำรวจวิหารโคเปค เทพแห่งตะวัน (Temple of Kopec) ข้างในนั้นทั้งคู่จะได้พบทรงกลมร้อนคล้ายดวงตะวันที่อยู่ใจกลางวิหาร และที่ชั้นบนสุดอัลวาที่รู้ว่าตนเองมีสายเลือดชาววาลได้กรีดเลือดลงบนพื้นอักขระ นำไปสู่การค้นพบประตูไทม์แมชชีนที่พาทั้งคู่ย้อนกลับไปยังอารยธรรมวาลในยุคสมัยของราชินีอัถซิริ อัลวาถูกจับตัวไป
เอ็กไซล์จึงต้องตามไปช่วยด้วยการเอาชนะดอร์ยานี ในตอนท้าย อัลวาได้โน้มน้าวขอให้ดอร์ยานีปกป้องชาววาลจากบีสต์ในอนาคต เพราะเหตุการณ์ภัยพิบัติของวาลในอดีตเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไปเสียแล้ว ดอร์ยานีที่ได้ยินดังนั้นก็ให้ความร่วมมือและเล่าว่ามีอาวุธโบราณที่สามารถต่อกรกับพลังมลทินได้ เขามีชิ้นส่วนอยู่ชิ้นหนึ่ง และอีกสามชิ้นส่วนนั้นกระจัดกระจายออกไป
นี่ยังไม่ใช่ตอนจบ หน้าประวัติศาตร์ของเวร์แคลส์ทยังคงถูกขีดเขียน ชะตากรรมของเอ็กไซล์ยังคงเดินหน้าต่อ ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องติดตามเกม Path of Exile หลังจากนี้
อ้างอิงจาก
pathofexile2.wiki.fextralife.com