แม้ตำนานแม่นากพระโขนงจะเคยถูกเล่ามาแล้วหลายเวอร์ชั่น แต่คงไม่มีครั้งไหนที่แปลกและแตกต่างได้เหมือน ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ อีกแล้ว
หนังเรื่องนี้คือหนังยาวล่าสุดของ อุ้ย–รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ผู้กำกับหนังที่เพิ่งได้รางวัล Grand Prize AMI Paris รางวัลสูงสุดสำหรับสายประกวด จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ 2025 ซึ่งถือว่าเป็นหนังไทยเรื่องแรกในรอบ 10 ปี ที่ได้รางวัลเมื่อไม่นานนี้
หากใครที่ยังไม่ได้ชมคงคิดไม่ถึงว่าหนังเรื่องนี้จะได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานผีแม่ม่ายอันโด่งดังของไทย ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะไม่ว่าจะเป็นเซ็ตติ้ง เสื้อผ้าหน้าผม วิธีเล่าเรื่อง อาจไม่ได้ให้ความรู้สึกนึกถึงแม่นากมากนัก แต่หากลองดูที่แก่นเรื่องความรักระหว่างคนกับผี ชื่อตัวละครหลัก ‘แนท’ และ ‘มาร์ช’ หรือแม้แต่นักแสดง อย่าง ใหม่–ดาวิกา โฮร์เน่ คนเดียวกับที่เคยแสดงเป็นแม่นาก ในปี 2013 ก็อาจเป็นพอเดาได้ว่าประเทศไทยได้มีตำนานแม่นากเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นแล้ว
สิ่งที่ทำให้ผีใช้ได้ค่ะ ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชม ไม่ใช่เพียงแค่รางวัลการันตี หรือการหยิบตำนานท้องถิ่นมาเล่าใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นความกล้าที่จะแตะประเด็นการเมืองซึ่งๆ หน้า ไม่ต้องอาศัยการตีความให้ซับซ้อน หรือใช้สัญลักษณ์อื่นมาแทนค่าให้วุ่นวาย เขาเพียงแค่เล่ามันอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยท่าทีของความตลกแบบพิลึกพิลั่น อย่างคนที่เคยติดตามหนังสั้นของอุ้ยมาก่อนรู้จักกันดี
ในวันที่ผีใช้ได้ค่ะกำลังสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการหนัง แตกต่างจากการเมืองไทยที่ยังไม่คืบหน้าไปไหน เราไม่พลาดที่จะชวนอุ้ย ผู้กำกับเรื่องนี้มาพูดคุยถึงเบื้องหลังของหนังเรื่องล่าสุด พร้อมคำถามที่คั่งค้างอยู่ในหัวตั้งแต่เดินออกจากโรงหนังไม่กี่วันก่อน ทั้งเรื่อง การทำหนังไทยให้ชนะใจคนต่างชาติ ขั้นตอนกว่าจะทำหนังยาวสำเร็จ ไกลไปจนถึงนิยามของการเป็นผี การถูกจดจำ และการทำความจริงเลือนหายไป
บ่ายวันที่อากาศอบอ้าวจากพายุฝน เรานั่งพูดคุยกันในห้องสี่เหลี่ยมเรียบๆ เก้าอี้ธรรมดา แม้จะไม่ได้นั่งสบายจนเราไม่อยากลุก แต่อย่างน้อยมัน ‘ใช้ได้’ เพียงพอให้เราได้นั่งพูดคุยได้นานนับชั่วโมงต่อจากนี้

From Local to Global
รางวัล Grand Prize AMI Paris 2025 ที่เพิ่งได้มาล่าสุดสำคัญกับคุณในแง่ไหนบ้าง
จริงๆ แค่ได้รับเลือกให้เข้าไปฉายที่ critics’ week ที่คานส์ ที่เขาบอกว่าคัดกัน 1,000 เรื่อง จนเหลือแค่ 7 เรื่อง มันเจ๋งมากแล้วนะ
แต่เราจำได้เลยความรู้สึกช่วงที่รู้ว่าเราได้ไปคานส์ มันก็จะมีความดีใจ แต่มันก็จะมีความกังวลตามมาว่า เดี๋ยวพอหนังไปฉาย คนที่นู่นเขาจะชอบไหมนะ เพราะเป็นสิ่งที่เราทำมาตั้งนาน จนหนังได้ฉาย ก็ได้ฟีดแบ็กที่โอเค พอได้รางวัลเราก็เลยรู้สึกว่ามันก็มีคนที่ชอบหนังเรื่องนี้มากพอที่จะให้รางวัล เลยโล่งอกแล้วก็รู้สึกดีใจ อย่างน้อยๆ หนังเรามีพื้นที่บนโลกใบนี้ มันมีคนที่โอบรับหนังเรื่องนี้อยู่
มันคงสำคัญกับเราในเชิง career parth มั้ง เพราะทำหนังเรื่องนี้มันใช้เวลานานมากเลย ไอเดียหนังมันเริ่มปี 2017 แต่เราเดินไปกองถ่ายวันแรก ช่วงธันวา 2023 เราก็รู้สึกว่า โห กว่ากูจะมาถึงวันนี้ กูใช้เวลาเท่าไหร่วะ ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะทำหนังได้สักกี่เรื่องก่อนตาย หวังว่าการได้รางวัลมันจะช่วยให้เราสามารถทำหนังเรื่องต่อๆ ไปได้ง่ายขึ้นนะ
ขั้นตอนไหนที่ทำให้ใช้เวลานานที่สุด
ช่วงหาตังค์นี่นานหลายปีเลย เพราะว่าเราทำงานเลี้ยงชีพเป็นคนเขียนบทซีรีส์ทีวี เดือนหนึ่งต้องเขียนให้เสร็จ 2-3 อีพี มันก็แทบไม่มีเวลาออกมาทำแพชชั่นโปรเจ็กต์ ซึ่งจะยื่นขอทุนบทมันต้องเสร็จก่อน แล้วร่างแรกกว่าจะเสร็จก็ปี 2020 เป็นปีโควิดก็เลยมีเวลาเขียน กว่าจะสามารถเริ่มขั้นตอนการหาเงินจริงๆ มันก็เลยนาน
เรารู้สึกว่าในขั้นหาตังค์เป็นขั้นที่อาจจะปวดหัวที่สุด เพราะมันเป็นขั้นที่เราทำงานกับอากาศ โปรเจ็กต์มันจะล่มได้ทุกชั่วอึดใจ ถ้าเราเหนื่อยแล้วมันล้มได้เลย แต่ตอนถ่ายคือมันมีตังค์อยู่แล้ว ล็อกทีมงานอยู่แล้ว มันมีความเป็นไปได้ว่ายังไงมันก็เสร็จแหละ หนังดีไม่ดีอีกเรื่อง

Photo credit: 185 Films
พอหนังเรื่องนี้ไปฉายที่ต่างประเทศ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนุกได้ แม้จะไม่ได้รู้บริบทของไทย
เวลาหนังไปฉายต่างประเทศแล้ว แน่นอนว่ามันมีคนดูที่เขาไม่ได้เข้าใจบริบทประวัติศาสตร์สังคมของไทย
สำหรับเราคิดว่าสิ่งที่คุณพูด มันจะโลคอลแค่ไหนก็ได้ ถ้าฟอร์มและไวยากรณ์คุณสากลและน่าสนใจ เผอิญว่าเราสนใจฟอร์มภาพยนต์แบบที่เราทำในหนัง เช่น การเฟรมภาพที่เหมือนจิตกรรม การแอ็กติ้งแบบนี้ การส่งไดอาล็อกแบบนี้ คือฟอร์มพวกนี้มันมีอะไรให้ดู
ถ้าเราลองนึกย้อนกลับไป เราก็อาจจะไม่ได้เข้าใจหนังที่มันมาจากประเทศห่างไกล เราไม่เข้าใจการเมืองตูนิเซีย เราไม่เข้าใจประวัติศาสตร์โรมาเนียขนาดนั้น แต่ว่าเราสนใจกำกับดีไหม นักแสดงดีไหม บทเรียบเรียงอะไรอย่างนี้ดีไหม เราว่ามันก็เป็นเรื่องนั้นเลย
เราจำได้เลยว่าเคยคุยกับพี่ทอง (ทองดี–โสฬส สุขุม) โปรดิวเซอร์ ช่วงนั้นหาตังค์ไม่ได้เพราะฝรั่งไม่เข้าใจ คือคนที่ให้ทุนเขาก็มีคำถามหลายอย่าง เพราะบางอย่างบริบทมันไทยมาก เราก็เคยคุย กันว่า เราต้องทำให้มันไทยน้อยลงไหม หรือว่าทำให้มันไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่คนต่างชาติเข้าใจมากขึ้นไหม หรือว่าเราจะแบบนี้แหละ แต่ทำให้หนังมันน่าสนใจหรือสนุกมากจนคนต่างชาติมาดูแล้วต้องไปรีเสิร์ชต่อ เราก็คิดว่า เออ คงทำอย่างหลังแหละ
แต่ว่าในขณะเดียวกันหนังมันต้องมีความสนุกหลายๆ เลเวล คุณดูผิวเผิน เอาสนุกแล้วจบก็ได้ หรืออยากลงลึกไปหาอ่านต่อก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเกิดว่ามันจะสนุกก็ต่อเมื่อคุณต้องรู้ภาษาไทย เราว่ายากแล้ว
ดังนั้นแล้วเวลาคิดงานมันเลยต้องคิดหลายเลเยอร์หน่อย คิดถึงคนดูต่างชาติในหลายๆ จังหวะด้วย หรือแม้แต่คนไทยเองก็เถอะ ถ้าเขาไม่ได้สนใจประเด็นพวกนี้ จะมีอะไรให้เขาดูวะ เราก็ต้องคิดเผื่อตรงนี้ด้วย

ผี คืออดีตที่ยังหลอกหลอนปัจจุบัน
วัตถุดิบที่หยิบมาใช้ในการเขียนบทเรื่องนี้ได้มาจากไหนบ้าง
ก่อนหน้านี้เราทำหนังสั้น แล้วเราชอบเอาตัวละครที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยจริงๆ หรือว่า Pop Culture มาคิดต่อยอด เราคิดถึงงานวรรณกรรมไทย อย่าง มณีจันทร์ในทวิภพ แอนนา ลีโอโนเวนส์ ในละครบอร์ดเวย์อย่าง The King and I หรือสายลับที่อยู่ใน Pulp Novel แบบอินทรีย์แดง
ตอนที่เราอยากทำหนังยาว ทำไมไม่รู้ เราคิดถึงแม่นากพระโขนง ซึ่งเป็นเรื่องของผีรักกับคนเป็น ตอนเราอ่านมันอีกรอบ เรามองมันในมุมของสายตาของความร่วมสมัยมั้ง ความสัมพันธ์ของคนกับผี และสังคมไม่อยากให้คนกับผีมันได้กัน มันคล้ายๆ กับเควียร์ ในแง่ว่าเราเลือกไม่ได้เหรอว่าเราจะรักกับใคร หรือมีความสัมพันธ์กับใคร คล้ายๆ ที่ผู้ชายรักกับผู้ชายไม่ได้ ผู้หญิงรักกับผู้หญิงไม่ได้
แล้วขณะเดียวกัน เราก็เห็นภาพของผีตัวหนึ่งที่เดินอยู่ในออฟฟิศ ซึ่งไม่ได้มาหลอกคน แต่มาทำงาน เพราะเราอยู่ในยุคสมัยที่มันช่างยากลำบาก จนแม้แต่คนตายยังต้องลุกขึ้นมาทำงานเพื่อหาตังค์ แล้วเรารู้สึกว่าไอ้สองอย่างนี้มันก็รวมเข้าด้วยกัน คือความสัมพันธ์ต้องห้ามของคนกับผี และผีที่ต้องทำงานเพื่อจะมีพื้นที่หรือมีฟังก์ชั่นในสังคม

Photo credit: 185 Films
ทำไมเป็นผีแล้วยังต้องทำงานอีก
เรารู้สึกว่าผีมีหน้าตาเหมือนคน แต่ก็ไม่เหมือนคน คือมันต่ำกว่าคน แล้วสถานะนี้มันคล้ายๆ กับคนในสังคม แล้วคนกลุ่มนี้เขาต้องแลกเปลี่ยน อาจต้องทำงานยากกว่าคนทั่วไปเพื่อที่จะมีพื้นที่ เราเลยรู้สึกว่าเปรียบเหมือนผี ที่ถ้าอยากจะมีพื้นที่ มีที่ยืนในสังคม คุณเลยต้องทำตัวเองให้มีประโยชน์
ดีไซน์ผีไว้แบบไหน ทำไมถึงไม่น่ากลัวเหมือนผีเรื่องอื่นๆ
เรารู้สึกว่าผีถูกขังไว้กับความน่ากลัว คนมักจะคิดว่าผีต้องน่ากลัว ในงานเรื่องนี้ เราเลยออกแบบว่าผีไม่ต้องน่ากลัว รื้อใหม่ว่าผีทำอย่างอื่นได้ไหมนอกจากไปหลอกคน เราจำได้ว่า ตอนวันฟิตติ้งลองเมคอัปของดาวิกา พี่ช่างเมคอัปเขายังเข้าใจว่ามันเป็นหนังผีอยู่ เมคอัปแรกมาคือหน้าหลอนเลย ปากซีด ขอบตาดำ ผิวแบบขาวโพลน เราเลยบรีฟไปใหม่ว่า ‘เขาสวย แนทยังสวยอยู่’ เขาก็อ๋อ ก็เลยเป็นอย่างที่ในหนังเห็น
เราออกแบบว่าผีเป็นคนตายไปแล้วที่ไม่ยอมเป็นอดีต อยากกลับมาอยู่ในปัจจุบัน มันเลยเป็นคนที่คาบเกี่ยวของเวลา ตอนที่เราออกแบบผี นอกจากมันจะสิงในเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว เรารู้สึกว่าผีในเรื่องมันต้องเป็นคนที่อยู่ที่ที่ผิดเวลา หรือหลุดออกไปจากบริบทด้วย เช่น ผีทุกตัวในเรื่องจะมีผมสีๆ แนทก็ผมแดง ครองก็เป็นผมเทาๆ หรือต๊อก ก็จะผมทองๆ เหลืองๆ รวมถึงเสื้อผ้าของแนทด้วย ที่ดูใหญ่ แต่ก็อึดอัด แล้วก็ถ่วง ขัดขวางการเคลื่อนไหว เหมือนมันแบกอะไรไว้ตลอดเวลา มันดูอิงกับสาวออฟฟิศแฟชั่นยุค 80 คือเราชอบไอเดียเรื่องผีต้องกลับมาทำงานมั้ง มันเลยมีความเป็นสาวออฟฟิศ แต่ก็ทำให้ดูมากเกินปกติขึ้นมาหน่อย

Photo credit: 185 Films
รื้อถอนและสร้างใหม่
เมสเสจหนึ่งที่ได้ในหนังคือเรื่องการจดจำ ในที่นี้กำลังพูดถึงในบริบทไหน
สิ่งหนึ่งที่เราอยากให้คนดูจากหนัง เราอยากให้คนพูดถึง ‘ผี’ มากขึ้น ผีในที่นี้คืออดีต ซึ่งเป็นอดีตที่พลาดโอกาสจะมาเป็นปัจจุบัน คือมันมีคนหลายคนที่เขาไม่ได้อยู่ต่อมาในทุกวันนี้ เรามันมีการการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ ความพยายามในเชิงสังคมที่คนในอดีตพยายามจินตนาการถึงสังคมที่ดีกว่านี้ แต่การจินตนาการแบบนั้นก็อาจทำให้เขาหายไปด้วย หายไปจากโลก หายไปจากการจดจำ หายไปจากตำรา หายไปจากการบันทึก
หนังมันก็เป็นปลายเปิดหลวมๆ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องจำใครขนาดนั้น แต่มันพูดถึงรวมๆ ว่ามันมีคนหลายคน ความคิดหลายแบบที่อาจจะถูกทำให้หายไปในอดีต จนถึงในปัจจุบัน ก็ยังมีความพยายามที่จะทำให้หายหรือลบไปจากการบันทึกอยู่ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากให้คนดูได้ตระหนัก แล้วได้คิดว่า ในฐานะคนเป็น หรือคนในปัจจุบัน เราจะสัมพันธ์กับอดีตที่ไม่ได้เป็นปัจจุบันได้ยังไงครับ
สำหรับคุณการจำได้ช่วยอะไรได้บ้าง
เราว่าคนมักจะอ้างอดีตเพื่อตัดสินปัจจุบัน อ้างว่าอดีตเป็นอย่างนี้มาแล้ว มันดีแล้ว ในปัจจุบันควรเป็นอย่างนี้ต่อไป แต่จริงๆ อดีตมันไม่ได้มีแต่แบบ A อย่างเดียว มันเคยมี B, C, D แต่มึงกำจัดมันออกไป พอเป็นอย่างนั้น คนก็เลยเข้าใจว่าอดีตมีแต่ A แล้ว B, C, D ไม่เคยมีอยู่
เราไม่แน่ใจว่าคนเราลืมเอง หรือมีความพยายามจากฝั่งอำนาจที่จะลบ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราอาจจะสนใจอย่างหลังมากกว่าหน่อยนึง คือคนมันไม่ได้ลืมไปเอง แต่มันมีความพยายามที่ทำให้คนลืม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ความรุนแรง ทางสังคมการเมือง หรือการทำลายสถาปัตย์ หรือหลักฐานทางกายภาพ ทำให้ประหนึ่งว่าความเป็น ‘อุดมคติ’ แบบหนึ่งที่เคยมี มันไม่เคยมีอยู่
การที่เราจำได้ว่ามันมี B, C, D มันก็ทำให้บอกว่า นี่ไง มันไม่ได้มีแบบแต่ A แต่มึงพยายามสร้างความชอบธรรมว่าปัจจุบันก็ต้องมีแต่ A ทั้งที่จริงมันอาจมี B, C, D แล้วมันเคยเป็นไปได้ เพียงแต่ตอนนี้คนในปัจจุบันที่ถือความจริงแบบหนึ่ง กำลังพยายามลบแบบอื่นออก เราว่าการจำได้มันจะช่วยทำให้เราออกแบบปัจจุบันได้ใหม่ และปัจจุบันที่เรามีอยู่จะไม่ได้มีแค่แบบเดียว

Photo credit: 185 Films
ในเรื่องมีพูดถึงประเด็นสังคมและการเมืองค่อนข้างตรงไปตรงมา ทำไมถึงเลือกเล่าประเด็นหนักๆ ด้วยท่าทีตลก
หนังมันก็สะท้อนตัวคนทำเลย การเล่าด้วยท่าทีซีเรียส สำหรับเราว่ามันน่าเบื่อ เราอยากทำหนังที่มันคาดเดาไม่ได้ ว่ามาไม้นี้เราจะไปยังไง มันขึ้นด้วย 1 แต่มันไม่ได้จบด้วย 2 3 4 มัน 1 แล้วก็ไป ก ข ค แล้วก็ไป A B C การพลิกแพลง มันน่าสนใจในฐานะคนออกแบบมากกว่า แล้วมันกระตุ้นคนดูให้รู้สึกไม่สามารถวางใจหนังได้ว่าจะพาเราไปไหน
หนังจริงจัง คุณต้องเล่าอย่างจริงจัง มันมีคนที่ทำได้และทำได้ดีอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช่คนนั้น เรารู้สึกว่าทำแบบนี้มันเข้ามือกว่า เราอยากกวนตีนอะไรบางอย่างด้วย เป็นสิ่งที่เราอยากทำตั้งแต่หนังสั้นแล้ว คือหนังที่ดีไม่ต้องเป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้ ความต่ำช้า ความหยาบโลน สถุล ความอัปรีย์ ความจังไร ความหยาบช้า กูจะใส่ในหนัง
เราจำได้ว่าตอนเราทำหนังสั้นเรื่องหนึ่ง แล้วมีอาจารย์คนหนึ่งที่มหาลัยเขาเอาไปฉายให้เด็กดู แล้วก็ให้เด็กเขียนฟีดแบ็ก มีเด็กคนหนึ่งเขียนว่า ก็ดีนะครับ แต่หยาบคายจังเลย หนูรับไม่ได้ เรารู้สึกว่า เออ เราไม่ได้อยากมีฟอร์มผู้ดี เรารู้สึกว่าเราอยากผสม High and Low ความสง่างาม และความสถุลอัปรีย์ ไว้ด้วยกัน หนังมันก็มีลักษณะคาแร็กเตอร์อย่างนั้นด้วย เราอยากจะรื้อวิธีคิดกับหนังดีด้วย พยายามไม่ทำให้มันดูอยู่ในรูปในรอยของหนังที่ดูดีอย่างเดียว

ดูเหมือนคุณพยายามตีความใหม่ให้แตกต่างไปจากขนบการเล่าเรื่องแบบเดิม สิ่งเหล่านี้มันสำคัญกับคุณยังไง
เราว่ามันจะได้หาทางภาษาหนังแบบใหม่ๆ แล้วก็ประเด็นที่จะเล่าใหม่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะได้หนังที่มีท่าทีแบบเดิม แล้วก็เล่าประเด็นเดิม
เราอยากเข้าถึงคนดูในหนังแบบอื่น แม้แต่แอ็กติ้งเรายังคิดเลยว่าอยากสร้าง ไวยากรณ์แอ็กติ้งแบบอื่นที่ไม่ได้มองแค่เล่นสมจริงหรือไม่สมจริง ความสมจริงไม่ใช่มาตรวัดว่าแอ็กติ้งในเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี ทุกคนในเรื่องมันเลยไม่ได้รีแอ็กกับสิ่งรอบตัวแบบคนปกติที่เราเจอ
เราอยากจะสร้างกติกาใหม่แล้วคนดูค่อยๆ ปรับจูน คือเขาจะไม่ได้เจอกับอะไรที่เขาเห็นบ่อยๆ เหมือนเริ่มเล่นเกมใหม่ รู้กติกาใหม่ เราว่าในฐานะคนทำหนังมันไม่ต้อง ทำได้ทุก genre ก็ได้ มันก็เป็นการหาว่าเราถนัดอะไรมากกว่า
มันก็มีความเสี่ยงแหละ อาจทำให้คนบางกลุ่มถอยออกจากหนัง แต่เรารู้สึกว่ามันก็น่าสนใจที่จะลองมากกว่าที่จะไม่ลอง