เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แต่มันดีนะถ้าเราได้หยิบประเด็นเหล่านั้นขึ้นมาเล่า…
หลายคนเคยเสียน้ำตาให้กับภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่า เรื่องความจำสั้น แต่รักฉันยาว หลายคนถึงกับกรีดร้องหลายครั้งหลายคราวตอนที่ดูหนังผีอย่างอาปัติ ไม่นานมานี้ ผู้ชมในโรงต่างฟินสะบัดไปกับเคมีของคู่นักแสดงใน เพราะเราคู่กัน The Movie และล่าสุด GMMTV เพิ่งจะปล่อยซีรีส์สยองขวัญ-ลึกลับเรื่องใหม่อย่าง Home School นักเรียนต้องขัง ให้ทุกคนได้รับชม
แต่ละผลงานที่กล่าวไป แทบจะไม่มีเรื่องไหนดูคล้ายคลึงหรือเกี่ยวข้อง พูดง่ายๆ ว่าเป็นเนื้อหาคนละประเภทชนิดคนละขั้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าทั้งหมดล้วนเกิดจากปรุงรสด้วยผู้กำกับมากความสามารถคนเดียวกัน และเธอคนนั้นคือ ฝน—ขนิษฐา ขวัญอยู่
นักทำหนังบางคนอาจมีรสนิยมเฉพาะ หากไม่เจนจัดในแนวไหนเป็นพิเศษ ก็คงถูกใจหนังสักประเภทมากกว่าเรื่องอื่นๆ แต่นั่นไม่ใช่กับผู้กำกับที่มาในชุดสีดำ พร้อมแว่นตาทรงโค้งเข้าชุดคนนี้ เพราะเธอทำมาทั้งหนังรัก หนังผี ซีรีส์ หรือกระทั่งหนังตลก
ก่อนจะเริ่มบทสนทนา เราขอแนะนำนักทำหนังคนนี้ให้ทุกคนรู้จักสักเล็กน้อย
- ฝน ขนิษฐาโตมากับธุรกิจหนังกลางแปลงในจังหวัดลพบุรี
- เธอชอบดูหนังผ่านม้วนวิดีโอเป็นชีวิตจิตใจ
- ตอนอยู่ปี 4 เคยทำหนังสั้นได้รางวัลจนไปเข้าตาค่ายหนังอารมณ์ดี GTH
- ปัจจุบันเป็นครู ผู้กำกับ มีรับงานเขียนบทและอำนวยการสร้างประปราย
และไม่นานมานี้ ผลงานล่าสุดของเธอเพิ่งจะออกฉายผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Prime Video จึงเป็นจังหวะเวลาอันดีที่เราจะทำความเข้าใจนักเล่าเรื่องคนนี้ให้มากขึ้น ผ่านภาพยนตร์ 6 ประเภทพิเศษ ซึ่งสะท้อนตัวตนของเธอตั้งแต่วัยเด็กจวบจนปัจจุบัน
01 หนังกลางแปลง
เพราะที่บ้านทำธุรกิจหนังกลางแปลงหรือเปล่า ฝน—ขนิษฐา ถึงได้กลายมาเป็นนักทำหนังในวันนี้
น่าจะส่งผลไม่มากก็น้อยนะคะ ตอนเด็กๆ พ่อหวงเรามาก จึงมีเรื่องแปลกๆ คือทั้งที่ที่บ้านทำธุรกิจหนังกลางแปลง แต่เขาดันไม่อยากเราให้ไปดู เรียกว่าแทบจะไม่เคยอนุญาตให้ไปเลย อาจจะเพราะดึกด้วย คนเยอะด้วย มันก็อันตราย แต่เราอยากดูไง เลยอัดอั้นมาตลอด (หัวเราะ) เหมือนยิ่งมีคนห้ามก็ยิ่งอยากดู ทำให้พอถึงยุคหนึ่งที่มีวิดีโอ เรื่องไหนที่เขาเคยฉายกลางแปลง แล้วเราไม่ได้ดู วันนี้ก็เลยดูๆๆๆ ดูจนตาแฉะ วันหนึ่ง 3-4 ม้วน ดูจนเริ่มสงสัย อยากรู้จังว่าเขาทำแบบในหนังได้ยังไง อยากทำได้แบบนั้นบ้าง
สรุปว่าที่บ้านทำหนังกลางแปลง แต่ไม่เคยไปดูเลยเหรอ
น้อยมาก ยิ่งถ้าวันไหนเขาเอาหนังไปฉายในลานวัดแถวบ้านนะ เราก็จะทำได้แค่นอนฟังเสียงหนังกลางแปลงของบ้านตัวเอง แต่ดูไม่ได้ แล้วที่อึดอัดที่สุดคือพี่ชายกับลูกพี่ลูกน้องดูได้ ทีนี้พอเช้าขึ้นมา เขาก็จะคุยกันเรื่องหนังที่เพิ่งดูเมื่อคืน เราเซ็งมาก เพราะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) กว่าเราจะได้ดูหนังกลางแปลงจริงๆ คือต้องรอจน ม.ต้น ซึ่งตอนนั้นหนังกลางแปลงก็เริ่มไม่เป็นที่นิยมแล้ว
เท่ากับว่าคลังหนังของผู้กำกับที่ชื่อฝนเริ่มต้นจากม้วนวิดีโอ
ใช่ค่ะ ดูเยอะมากๆ ดูซ้ำก็มีเพราะบางทีหนังใหม่ยังมาไม่ถึงร้านเช่า จริงๆ นะคะ (เน้นเสียง) ฝนดูจนหมดร้านแล้ว สนุกไปหมดเลย ตื่นเต้น ตกใจ หลายอารมณ์ไปหมด จนถึงวัยที่จะเข้ามหาลัย แล้วได้เจอคณะที่แค่มีคำว่า ‘ภาพยนตร์’ เรารู้ทันที นี่แหละ คณะในฝัน
การได้เป็นนักเรียนหนังตรงกับภาพที่วาดฝันไว้หรือเปล่า
คือคณะเราตอนนั้นเป็นบรอดแคสติ้งแอนด์ฟิล์ม (Broadcasting and Film) ยังไม่ใช่คณะภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ของม.กรุงเทพเหมือนทุกวันนี้ ทำให้กว่าจะได้เรียนวิชาเกี่ยวกับฟิล์ม กว่าจะได้ลงมือเขียนบทจริงๆ ก็ต้องรอจนถึงปี 3 ปี 4 เลย สิ่งที่ประคับประคองเราไว้ในช่วงแรกๆ คือกิจกรรมคณะ และกิจกรรมก็ทำให้เราได้พูดคุยเรื่องหนังกับเพื่อน ดูอะไรก็มาแชร์กัน จนในที่สุด ปี 3 ก็ได้เข้าหลักสูตรจริงๆ สนุกและมีความสุขมาก เหมือนได้เปิดโลก เฮ้ย โลกนี้ยังมีหนังอีกเยอะมากๆ มากกว่าม้วนวิดีโอที่เราเคยดูสมัยอยู่ลพบุรี มีหนังดีๆ มากมายที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน หนังในตำนาน ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นยังไง ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ต่างๆ
02 หนังคลาสสิก
หนังเรื่องไหนที่เป็นเหมือนอาจารย์ทางด้านภาพยนตร์
ที่แน่ๆ คือ Cinema Paradiso อ๋อ Jurassic Park ด้วย
โห คนละแนวกันเลย งั้นขอเริ่มจาก Cinema Paradiso ก่อน ถูกใจอะไรในหนังเรื่องนี้
หนังมันอบอุ่น มันทำให้เราคิดถึงคนคนหนึ่งที่เคยมีผลกับเรามากๆ ในช่วงหนึ่งของชีวิต และวันนี้เขาคนนั้นอาจจะไม่ได้อยู่กับเราแล้ว แถมมันยังเป็นหนังที่เล่าเรื่องโรงหนังกับคนฉายหนังด้วย ก็เลยยิ่งอินเข้าไปใหญ่ ครอบครัวเราทำหนังกลางแปลงอีก เพราะงั้นตอนเด็กๆ เราก็เคยเฝ้ามองผู้คนแวะเวียนไปดูหนังตามลานกว้าง กระทั่งวันหนึ่ง หนังกลางแปลงก็ล่มสลายเหมือนโรงหนังใน Cinema Paradiso จริงๆ เราจึงชอบมาก เป็นหนังที่มีเสน่ห์และไม่น่าจะทำซ้ำได้
แต่ Jurassic Park เป็นแนวไซไฟเลยนะ ไม่อบอุ่นกินใจเหมือนอย่างเรื่องแรก ทำไมถึงชอบ
สนุกอะ (หัวเราะ) เราได้เห็นไดโนเสาร์ โห เขาสามารถสร้างหนังที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในโลกนั้นได้จริงๆ เราเชื่อไปแล้ว ทึ่งมากว่าทำได้ไง เขาเก่งมาก จริงๆ ก็มีอีกเรื่องที่ชอบมาก พูดไปแล้วต้องตลกแน่เลย เพราะคนละทางอีกแล้ว เรื่องนั้นคือนางนาก (หัวเราะ) บอกตรงๆ ส่วนหนึ่งที่เราอยากทำหนังก็เพราะได้ดูนางนากนี่แหละ
นางนากมันทำไมครับ (หัวเราะ)
มันพี้ผี บอกไม่ถูกเลย เรารู้สึกกลัว ตกใจ ลุ้นไปกับมัน ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณก็ชอบ เป็นเรื่องที่ดูแล้วลืมไปเลยว่ากำลังดูหนังอยู่ ก็คือหลุดเข้าไปในจอแล้ว
พอได้เป็นคนทำหนังแล้วรู้สึกว่าหนังเหล่านั้นสนุกน้อยลงมั้ย
ช่วงที่เรียนจบใหม่ๆ เป็นแบบนั้นเลย ดูแล้วไม่สนุก แต่พอชีวิตอยู่กับงานประเภทนี้นานขึ้น อาการนี้ก็หายไป ทุกวันนี้ดูหนังแล้วสนุกมาก คือเราต้องไม่จับผิดอะ ไม่งั้นจะไม่สนุก ทำงานมาถึงวันนี้ ฝนเชื่อว่า ถ้าหนังเรื่องหนึ่งออกมาไม่เพอร์เฟ็กต์ ไม่ประณีต ทีมงานเบื้องหลังก็คงมีเหตุผลหรือเงื่อนไขบางอย่าง คือพอดูปุ๊บ ฝนบอกได้นะว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่จะไม่ติ อยากให้กำลังใจด้วยซ้ำ เพราะงั้นต่อให้หนังจะมีแผลบ้างก็ยังดูสนุกอยู่ดี เดี๋ยวนี้ดูซีรีส์เกาหลีแล้ว ขอโทษนะ สนุกฉิบหายเลย (หัวเราะ) แม่ง เมื่อไหร่กูจะทำได้เท่ามึงวะ คิดได้ยังไงเนี่ย!
เพราะเป็นคนเบื้องหลังด้วยหรือเปล่า ถึงเข้าใจหัวอกและเงื่อนไขของคนทำหนังมากกว่าคนดู
ก็คงใช่ เรารู้สึกอย่างนั้น อย่างที่บอก ถ้าพูดถึงความชอบ ความไม่ชอบ อันนี้เป็นเรื่องของรสนิยมในการดู บางครั้งหนังที่ใครๆ ก็บอกว่าห่วย ฝนดันชอบสุดๆ มันมีนะ หนังที่อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ดูแล้วสนุกมาก ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ ไม่ต้องมีตรรกะซับซ้อน ส่วนเรื่องความผิดพลาด ความไม่เนี้ยบ ฝนคิดว่ากว่าที่เขาจะปล่อยเนื้อหาออกมาได้ เขาก็ตั้งใจที่สุดภายใต้งบประมาณและเวลาที่มีแล้ว
03 หนังเรื่องแรก
สมัยเรียนปี 4 หนังสั้นเรื่อง เวลา…รัก ของฝน ถูกต่อยอดไปเป็นภาพยนตร์อย่าง ความจำสั้น แต่รักฉันยาว เหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตไปยังไงบ้าง
ก่อนหน้านั้น ฝนไม่เคยได้ทำงานจริงมาก่อน ที่อยู่ในห้องเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นทฤษฎี มันน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับการอยู่ในกองถ่ายจริง คือก่อนจะไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในกองความจำสั้นฯ เราเคยไปออกกองเล็กๆ กับพี่อ๊อด—บัณฑิต ทองดี มาบ้าง เคยไปถ่ายหนังบนเกาะ ได้เห็นขั้นตอน การตัดสินใจ และแก้ปัญหาของทีมงานและผู้กำกับ แต่กับความจำสั้น แต่รักฉันยาว ด้วยความที่มีหนังสั้นของเราอยู่ในนั้นด้วย มันเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ ดีใจด้วยนั่นแหละ
ระหว่างการทำงาน เราได้เห็นแนวทางของผู้กำกับ เฝ้ามองว่าเขาต่อยอดจากบทของเรายังไง นักแสดงถ่ายทอดออกมาแบบไหน ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ที่ใหญ่มากๆ ไม่มีอะไรง่ายเลย มีกระบวนการ มีผู้คนเยอะมาก เปลี่ยนชีวิตเราจริงๆ แล้วก็เหมือนเป็นการทดสอบเราด้วยว่าจะทำหนังต่อหรือจะทำงานประจำดี (หัวเราะ)
ทำไมสุดท้ายแล้ว ถึงเลือกไปต่อกับเส้นทางภาพยนตร์
หนึ่งคือพ่อแม่ไม่กดดัน สองคือเราชอบมัน แต่ใจจริงก็ไม่คิดนะว่าตัวเองจะเล่าอะไรได้ ตอนทำเรื่อง เวลา…รัก ฝนคิดแค่ว่า หลังจบปี 4 ก็ไม่รู้นี่นาว่าจะได้ทำหนังหรือเรียนหนังอีกมั้ย ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง โอเค งั้นขอเล่าสักเรื่องที่เป็นของเราก็แล้วกัน ผ่านไม่ผ่าน อาจารย์จะซื้อไม่ซื้อไม่รู้ แต่อยากได้ชื่อว่าตัวเองเป็นผู้กำกับ เป็นคนเขียนบท เป็นการปิดจ๊อบวัยเรียน ตอนนั้นคิดแค่นั้นจริงๆ และพอทำออกมาก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือได้รางวัล ไม่ได้คิดจริงๆ นะคะ (เน้นเสียง) ทำไปตามสัญชาตญาณ ถ่ายกันแบบงงๆ เมื่อก่อนเป็นเทป ถ่ายกันตั้ง 16 ม้วน ถ่ายอะไรก็ไม่รู้ แต่ตัดแล้วเหลือนิดเดียว ตัดเองด้วยนะ ทุกอย่างยากไปหมด แถมอาจารย์ก็ไม่ให้ผ่านสักที ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไร จนถึงวันที่ชิ้นงานได้รางวัล พี่ๆ ผู้กำกับหลายคนชื่นชม เราก็ตกใจ โห จริงเหรอเนี่ย! คงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า เราก็ทำได้เหมือนกันเนอะ และหลังจากนั้นก็ฝึกฝนมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองทำได้ดีนะคะ
ถ้าไม่คิดว่าทำได้ดี ทำไมยังทำหนังมาจนถึงวันนี้ล่ะ
เออ นั่นสิ ทำไมไม่รู้เหมือนกัน (ครุ่นคิด) สนุกล่ะมั้ง เวลาได้อยู่กับทุกคนในกองถ่าย อยู่กับพี่ๆ โปรดักชั่น สนุกมาก
แต่บางคนก็มองว่า การออกกองเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากนะ
เราก็เหนื่อย (หัวเราะ) แต่คงชอบมั้ง ไม่รู้สิ ชอบเจอคน ชอบถ่าย ชอบไปดูเขาว่าเขาถ่ายกันยังไง ฉากนี้เป็นแบบไหน ทำอะไรได้บ้าง แต่นอกจากออกกอง เราก็รับงานเขียนบทด้วย คิดว่าที่ชอบทำทั้งกำกับและเขียนบทคงเพราะตอนนี้เรามีสิ่งที่อยากเล่าแล้ว เป็นคนชอบเล่าเรื่องมั้งคะก็เลยบอกกับตัวเองว่า อย่าหยุดเล่า!
04 หนัง(เกือบ)แมส
ต่อให้เป็นคนชอบเล่าเรื่องก็ไม่ได้การันตีว่าจะทำหนังได้ดี แต่อาปัติที่กำกับเคยได้รับตำแหน่งตัวแทนหนังไทยในการเข้าชิงรางวัลออสการ์ ถามจริง อะไรคือเคล็ดลับในการทำหนัง
ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เรียกเคล็ดลับหรือเปล่า แต่ตัวฝนจะไม่ยึดติดกับทั้งคำติและคำชมเลย โอเค ตอนทำหนังเรื่องหนึ่ง เราก็ทำเต็มที่ อยู่กับมันจนคลอดไปถึงผู้ชม ถ้าคนดูดูแล้วติ ไม่ชอบ เราก็รับฟัง นำไปปรับใช้ในเรื่องหน้า หรือถ้าเขาชม เราก็รับไว้เป็นพลังบวกในอนาคต แต่ไม่ว่ายังไง พอเริ่มงานใหม่ปุ๊บ เราจะทิ้งทั้งหมดทันที อะไรที่เคยเป็นปัญหา ข้อเสียในงานที่แล้วจะปล่อยไป ช่างมัน สนใจแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็พอ ซึ่งเราไม่รู้ว่านี่คือเคล็ดลับหรือเปล่า
เห็นฝนผลิตผลงานหลายแนวมาก หนังรักก็มา หนังผีก็มี ซีรีส์วายก็ทำ ทำไมถึงลุยงานหลายประเภทขนาดนี้
นั่นสิ ทำไมนะ (หัวเราะ) เราคงชอบเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับคนและประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคม ทีนี้พอมีประเด็นอะไรที่สนใจ เราก็จะยกมันขึ้นมาพร้อมกับเอาตัวละครที่เราสร้างเข้าไปใส่ ซึ่งเราก็คงทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ มั้งคะ จริงๆ เราไม่ได้สนใจเลยว่า มันจะเป็นหนังผี หนังรัก สยองขวัญหรืออะไรก็ตาม โอเค มันมีดราม่าทุกเรื่องแหละ แต่เราคงไม่จำกัดประเภทของมัน
เห็นฝนมักจะหยิบประเด็นที่ไม่ค่อยถูกเล่ามาบอกกล่าวกับผู้ชมเสมอ ใน อาปัติ ก็มีเล่าเรื่องเณร ใน 15+ ไอคิวกระฉูด ก็แอบแทรกความรู้เพศศึกษา การหยิบประเด็นเหล่านั้นมาเล่าสำคัญยังไง
สังคมของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ประเด็นก็มีมากขึ้น ตัวเราเองก็เติบโตกว่าแต่ก่อน บางประเด็นที่ตอนเด็ก เรามองแบบหนึ่ง พอเราโตขึ้นเราก็อาจจะมองเปลี่ยนไป วันนี้หลายประเด็นในตอนนั้นถูกพูดถึงด้วยแนวคิดอีกแบบ โดยที่เราไม่สามารถตัดสินได้เลยว่า ใครถูกหรือผิดในประเด็นเหล่านั้น แต่มันดีจังเลยนะ ถ้าได้หยิบเรื่องพวกนั้นขึ้นมาเล่า มีแง่มุมมากมายให้ได้ถ่ายทอด ให้คนได้เห็นโดยไม่จำเป็นต้องตัดสิน
แม้ว่าหลายประเด็นจะไม่ได้เป็นที่นิยมของคนดู?
ใช่ค่ะ มันเหมือนจะแมสแต่ก็ไม่ อย่างตอนอำนวยการสร้างเรื่อง 15+ ไอคิวกระฉูด ฝนรู้ว่าผู้กำกับชอบ Coming-of-Age และมันก็เคยมีเรื่องมากมายที่เพื่อนผู้ชายคุยกับเรา อ๋อ จริงๆ ในกลุ่มเด็กผู้ชายมีความหลากหลายเยอะแฮะ และทุกคนก็อยากเติบโตกันคนละแบบ ฝนรู้สึกว่านี่คือประเด็นที่น่าสนใจ ยังไม่ค่อยมีใครเล่า แล้วพอได้คุยกับค่าย เขาก็เห็นตรงกัน สุดท้ายมันจึงเหมือนเราได้ร่วมกันทดลอง หนังจะแมสไม่แมสไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ได้ใช้ประเด็นใหม่ๆ ในการเล่าเรื่องบ้าง
05 หนัง 18 ตอน
แล้วงานล่าสุดอย่าง HOME SCHOOL นักเรียนต้องขัง ดูจะมีธีมเรื่องที่แหวกแนวพอสมควร จุดเริ่มต้นของซีรีส์เรื่องนี้มาจากอะไร
มันเริ่มจากเราอยากลองสร้างโรงเรียนในโลกภาพยนตร์ เออ อยากมีโรงเรียนเป็นของตัวเองว่ะ ยูนิฟอร์ม วิชาเรียนต่าง ๆ แล้วก็อยากเอาตัวเองออกจากรูปแบบเดิมๆ ด้วย แต่มันก็ยังมีความเป็นเราที่ต้องเน้นประเด็นกับตัวละครนะ เพราะเราชอบเล่าความเป็นมนุษย์
ถัดมาเราก็คิดว่า เฮ้ย ถ้าเรามีโจทย์ว่าจะเล่าโรงเรียน เราจะตั้งชื่อโรงเรียนว่าอะไร เราชอบคำว่า ‘Home School’ จัง เป็นการเรียนที่อยู่ในบ้านหรือเป็นโรงเรียนที่เหมือนบ้าน ก็ตีความแตกแขนงไปได้หลายอย่าง และระหว่างหาข้อมูล เราก็ดันไปเจอเรื่องของเด็กที่ถูกครอบครัวส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ โดยที่เขายังไม่โตพอจะใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ก็เอาทั้ง 2 อย่างมาเชื่อมโยงจนออกมาเป็นเรื่องบ้าน ครอบครัว และโรงเรียนประจำ ตั้งคำถามว่าสุดท้ายแล้วโรงเรียนที่ไม่ใช่บ้านแห่งนี้จะกลายเป็นบ้านได้มั้ย และได้อย่างไร
ความท้าทายในการถ่ายทำซีรีส์ 18 ตอนเรื่องนี้มีอะไรบ้าง
ทุกรูปแบบเลยค่ะ (หัวเราะ) หนึ่งเลยคืออากาศ ร้อนมาก สองคือการเซ็ตติ้งต่างๆ โรงเรียนจะอยู่ที่ไหน ห้องนี้ต้องถ่ายที่นี่ ภาพกว้างต้องถ่ายที่อื่น แล้วสถานที่ล้อมรอบคืออะไร ทุกอย่างต้องแมตช์กัน เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งหลักดีๆ ไหนจะตัวละครอีก แค่นักเรียนก็ 13 คนแล้ว ก็ต้องขบคิดว่าจะกำกับไปทิศทางไหน คาแร็กเตอร์ การเติบโต เสื้อผ้าหน้าผม มีความยากในทุกมิติที่ถ่ายทำเลย ลองของเยอะมาก
ถ้าให้สรุป 1 บทเรียนที่ได้จากการทำ HOME SCHOOL นักเรียนต้องขัง บทเรียนนั้นคือ
บทเรียนที่ได้คือ ไม่น่าเล้ย! ไม่น่าทำงานนี้เลย ล้อเล่นนะคะ (หัวเราะ) บทเรียนเหรอ อืม…ฝนคิดว่าตัวเองได้ทีมเวิร์กที่ดี รู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้จะผ่านมาไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ทีมเวิร์ก คำว่าทีมเวิร์กนี่เวิร์กจริงๆ นะคะ (เน้นเสียง) ทีมนักแสดง ทีมโปรดักชั่น ทีมโพสต์-โปรดักชั่น เวิร์กขนาดที่ว่าเรายังถามตัวเองว่าทำไมโชคดีจัง นี่ฝนใช้บุญหมดไปหรือยังนะ จริงอยู่ที่ว่าทีมเวิร์กที่ดีก็ไม่ได้การันตีหรอกว่างานจะประสบความสำเร็จ แต่ Home School เป็นงานที่บอกฝนกลับมาว่า ทีมเวิร์กคือสิ่งสำคัญ
สำคัญยังไงบ้าง?
คือจริงๆ ทีมทีมนี้ก็ทำด้วยกันมาหลายงานนะ แต่กับเรื่องนี้ วิธีการทำงานเปลี่ยนไปหมด ทุกคนต้องแชร์กัน โยนไอเดียใส่กัน มันดีมากๆ เหมือนต่างคนต่างได้ผสมผสานทักษะที่ตัวเองถนัด เรารู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นฝนช่วงที่เพิ่งเริ่มทำหนังใหม่ๆ อีกครั้ง ประทับใจจัง ทุกคนช่วยกันดีมากจนผลงานคลอดออกมา
06 หนังในอนาคต
ชีวิตครึ่งหนึ่งของฝนในบทบาทอาจารย์ ส่วนอีกครึ่งรับบทคนทำหนัง 2 สิ่งนี้เหมือนและแตกต่างกันยังไง
ที่เหมือนก็คงเป็นเรื่องของการสื่อสาร ถ้าเราจะไปให้ความรู้ เราก็ต้องสื่อสาร ต้องจินตนาการว่าจะทำยังไงให้ทุกคนในห้องสนุกไปกับเรา อยากให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เราพูดนั้นสนุกเหมือนไม่ได้กำลังเรียนหนังสืออยู่ ในขณะที่การกำกับก็ต้องใช้การสื่อสารเพื่อควบคุมนักแสดง กำกับบรรยากาศของกองถ่ายให้ไม่เครียด ทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น
แต่สิ่งที่ต่าง แน่นอนว่าตำแหน่งและบริบทไม่เหมือนกัน ในห้องเรียนจะจริงจังกว่า สิ่งที่เราบอกเขา เขาจะยังไม่เจอตอนนี้ แต่อาจจะได้เจอในอนาคต เราทำได้แค่เอาชีวิตจริงไปบอก เตรียมเขาให้พร้อมที่สุด สอนเขาว่าบทหนังมี 3 องก์นะ แต่ในชีวิตการทำงานจริง เขาก็ต้องไปดัดแปลงเองอีกที ส่วนถ้าเป็นการกำกับ เราบอกในสิ่งที่กำลังจะเห็นผลตอนนั้น ต้องได้ผลเดี๋ยวนั้น ตรงนั้นเลย เราต้องทำยังไงก็ได้ให้ทีมงานและนักแสดงเห็นภาพเดียวกันกับเรา เพื่อให้เขาช่วยกันทำภาพนั้นให้เกิดขึ้น ซึ่งหลายๆ ครั้งก็เป็นสิ่งที่กลับมาแก้ไขไม่ได้
ในฐานะอาจารย์ คาดหวังกับบุคลากรของวงการสื่อบันเทิงไทยในอนาคตยังไงบ้าง
คาดหวังนะคะ แต่อย่างแรกเลยคืออยากให้เขาได้เจอกับสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ ก่อน แต่ถ้าเขามั่นใจแล้วว่าชอบหนังก็อยากให้สู้ เราเห็นน้องหลายคน เป็นเด็กเก่งมากๆ มีของ มีไอเดีย แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ไปเพราะความโหดร้ายบางอย่างของการทำงาน ถูกเอาเปรียบต่างๆ ซึ่งเราอยากให้เขาสู้ต่อ เราแค่อยากบอกเขาว่า อย่าหยุดเรียนรู้ได้มั้ย พอจบจากมหาลัยปุ๊บ ยังมีห้องเรียนข้างนอกที่กว้างใหญ่มากๆ ให้เขาได้ทำงานจริง ได้เจอคน ได้เจอความรู้ใหม่เต็มไปหมด แต่ถ้าหยุดเรียนรู้ ก็เหมือนความเก่งถูกแช่แข็งไว้แค่นั้น พี่เชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่คิดอะไรได้ดีเยอะมาก ไปได้ไกลมาก ก็เลยอยากให้เขาพัฒนาตัวเอง พัฒนาวงการต่อไป มาเถอะ มาช่วยกันเยอะๆ
ถ้าไม่ได้เป็นอาจารย์และไม่ได้ทำหนังหรือซีรีส์ วันนี้ ฝน ขนิษฐา น่าจะกำลังทำอะไรอยู่
ถ้าไม่ได้ทำหนังก็คงสอน เป็นอาจารย์ภาคฟิล์ม แต่ถ้าสอนไม่ได้ด้วย เราว่าจะขายกะเพรา (หัวเราะ)
ทำไมเป็นแบบนั้น (หัวเราะ)
ชอบ เราอยากขายอาหารตามสั่ง เฮ้ย! ไม่ดีกว่า ตามสั่งเยอะไป ขายแค่กะเพราก็พอ อยากให้ทั้งร้านมีแค่ 5 เมนู เป็นกะเพราหมดเลย แล้วระหว่างที่ขายก็อยากปลูกผักกับเขียนนิยายไปด้วย (ยิ้ม)