“ข้ารับใช้ทรราชมาเกือบทั้งชีวิต ทุกคนล้วนพูดถึงเรื่องชะตาลิขิต”
ลอร์ด วาริส เคยทำงานรับใช้กษัตริย์หลายองค์ (และอาจรวมถึงราชินี) อะไรกันที่ทำให้เขาสามารถอยู่รอดมาได้หลายต่อหลายปี แม้ว่ามันจะเป็นการทำงานภายใต้ระบอบที่ผู้นำหลายคนกลายเป็นทรราช?
วาริส เจ้าของฉายา The Spider ผู้มีเครือข่ายใยแมงมุมอยู่ทั่วเจ็ดอาณาจักร เป็นตัวละครสำคัญมากๆ ตัวหนึ่งที่มีประเด็นให้ผู้ชม Game of Thrones ได้พูดถึงและถกเถียงกันอยู่เสมอ
หลังจากนี้มีสปอยล์นะ
กับคำถามที่ว่าเขาอยู่รอดมาได้อย่างไรภายใต้เงื้อมมือของเจ้านายผู้บ้าคลั่งอำนาจ? คำตอบนี้อาจจะอยู่ในบทสนทนาที่เขาเคยมีไว้กับโอเลนน่า ไทเรล
“ข้าเลือกพันธมิตรอย่างรอบคอบ และเลือกศัตรูอย่างรอบคอบยิ่งกว่า”
ที่ผ่านมาใน Game of Thrones เวอร์ชั่นซีรีส์นี้ เราได้รับรู้เรื่องราวที่ วาริส เคยเลือกที่จะอยู่ทั้งภายใต้การปกครองของกษัตริย์ แอริส ทาร์แกเรียน a.k.a. Mad King ก่อนที่จะเปลี่ยนขั้วมาอยู่กับฝั่งของโรเบิร์ต บาราเธียน, จอฟฟรี่ย์ บาราเธียน และแดเนริส ทาร์แกเรียนในเวลาต่อมา จึงไม่แปลกนักที่วาริสจะถูกตั้งคำถามเสมอว่า ตกลงแล้วเขาอยู่ข้างไหนกันแน่ หรือแท้จริงแล้ว จะเป็นคนที่พร้อมเปลี่ยนข้างเสมอเพื่อการอยู่รอดของตัวเอง?
ถ้ามองเผินๆ เราอาจเชื่อได้ว่า ทุกไหวพริบและการตัดสินใจของวาริสนั้น มันเคยช่วยให้เขาได้อยู่รอดจริงๆ (ยกเว้นในซีซั่น 8) แต่ถ้าย้อนไปดูในเรื่องราวที่ผ่านๆ มาเราอาจจะเห็นเหตุผล และ ‘จุดยืน’ อะไรบางอย่างที่เขาเคยตอกย้ำมาเสมอ
ความภักดีที่อยู่กับประชาชน
บทสนทนาสำคัญระหว่างแดเนรีสกับวาริสในซีซั่นที่ 7 น่าจะตอบคำถามเราได้ว่า จริงๆ แล้ววาริสมอบความภักดีให้กับใคร
แดเนรีส ถามวาริสในวันที่เขาเดินทางมาขอแปรพักตร์อยู่ด้วย เธอถามวารีสว่า ทำไมเธอต้องให้เขามาช่วยเหลือด้วย และเขาเป็นคนแบบไหนกันที่พร้อมจะโค่นล้มผู้ครองบัลลังก์ที่เขาไม่ชอบได้เสมอ?
“คนแบบที่อาณาจักรนี้ต้องการยังไงล่ะ” วาริสตอบแดเนริสด้วยน้ำเสียงที่ขึงขัง
“ข้าไม่ได้เกิดมาในตระกูลยิ่งใหญ่ มาจากการไม่มีอะไรเลย ถูกขาย จับเป็นทาสและถูกตอนเพื่อใช้งาน ตอนยังเด็ก เคยอาศัยอยู่ในตรอกซอย บ้านร้าง ท่านอยากรู้ว่าความภักดีของข้าอยู่ที่ใดงั้นหรือ มันไม่ได้อยู่ที่กษัตริย์ หรือราชินีองค์ใด แต่ความภักดีของข้าอยู่ที่ประชาชน”
“ประชาชนที่ต้องทุกข์ทรมาน ภายใต้กฎที่ไม่ยุติธรรม ประชาชนที่ท่านจะเอาชนะได้ด้วยหัวใจ หากท่านต้องการความจงรักภักดีอย่างมืดบอด ข้าก็เคารพในเรื่องนั้น”
ถ้าสิ่งที่วาริสพูดคือความจริงใจที่สุดที่เขาจะมีให้กับแดเนริส นั่นก็อาจจะแปลว่า ความภักดีที่เขาอยากจะมีให้กับกษัตริย์หรือราชินี มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่า บุคคลนั้นจะสามารถทำให้อาณาจักรและผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หรืออย่างน้อยคือต้องไม่อยู่ภายใต้ความอยุติธรรมอย่างที่เคยเป็นมา
ปรัชญาการเมืองของ ลอร์ด วาริส
นอกจากจุดยืนว่าด้วยผลประโยชน์ของอาณาจักรที่วาริสย้ำมาเสมอๆ (อย่างน้อยก็คือย้ำให้เราเห็นผ่านหน้าฉากการเมือง) อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อย คือมุมมองที่เขามีต่ออำนาจ แหล่งที่มาของอำนาจ และการใช้อำนาจภายในอาณาจักร
ในตอนที่ 3 ของซีซั่นที่ 2 วาริสชวนทีเรียน แลนนิสเตอร์ ถกคิดถึงเรื่องที่มาของอำนาจผ่านปริศนาได้อย่างน่าสนใจ “อำนาจเป็นสิ่งที่แปลกนะ ท่านชอบปริศนารึเปล่า” เขาเริ่มต้นถามทีเรียน
“ชายผู้ยิ่งใหญ่ 3 คนนั่งอยู่ในห้อง มีกษัตริย์ นักบวช และเศรษฐี ระหว่างพวกเขามีทหารรับจ้างยืนอยู่ ชายแต่ละคนสั่งให้ทหารฆ่าอีก 2 คน ใครจะรอด ใครจะตาย?”
ทีเรียนตอบว่า มันขึ้นอยู่กับทหาร
“จริงเหรอ เขาไม่มีทั้งมงกุฎ ไม่มีเงินหรือความชื่นชอบจากทวยเทพนะ”
วาริสถามกลับเพื่อให้ทีเรียนฉุกคิด
“แต่ถ้าทหารรับจ้างมีอำนาจจริง เหตุใดเราถึงแสร้งว่ากษัตริย์กุมอำนาจทั้งหมดล่ะ ตอนที่หัวของเน็ด สตาร์คหลุดจากบ่า ใครกันต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จอฟฟรี่ย์ เพชฌฆาต หรืออย่างอื่น”
ก่อนที่เขาจะสรุปให้กับทีเรียนฟังว่า “อำนาจอยู่ในที่ที่คนคิดว่ามันอยู่ อำนาจเป็นกลลวง เป็นเงาบนกำแพง และชายร่างเล็กอาจทำให้เกิดเงาที่ใหญ่โตได้”
แน่นอนว่า แม้การเปรียบเทียบชายร่างเล็กในบทสนทนาก็คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกเหนือไปจากทีเรียน แต่คำถามที่น่าคิดต่อไปจากเรื่องนี้คือ วาริสกำลังชวนเราคิดไปพร้อมๆ กับทีเรียนรึเปล่า แท้จริงแล้ว อำนาจมันไม่ได้มาจากแค่แหล่งกำเนิดเดียว หรือไม่ได้มาจากแค่ผู้ปกครองชั้นนำเท่านั้น
หากแต่คนตัวเล็กๆ หรือที่เราอาจเรียกว่าประชาชน หรือชาวบ้านที่ใช้ชีวิตทั่วไปนั้นก็มีอำนาจทางการเมืองได้ (ถ้าเขาคิดว่าตัวเองมีจริงๆ) ซึ่งอาจสร้างความสั่นคลอนและหวาดหวั่นให้กับผู้ปกครองบนหอคอยสูง นี่อาจจะเป็นจุดยืนทางการเมืองของวาริสมาเสมอ เมื่อเขาให้ความสำคัญกับผู้คนตัวเล็กๆ ในฐานะส่วนสำคัญที่สุดของอาณาจักร
และอาณาจักรนี้ในมุมของวาริสจึงไม่ได้หมายถึงผู้ปกครอง หากแต่เป็นอาณาจักรซึ่งหมายถึงชีวิตมากมาย ที่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันไม่ยุติธรรม
เป็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีอำนาจในตัวเอง แต่ถูกกดขี่จนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมได้
อ้างอิงจาก