ความแค้นที่ฝังใจ และความต้องการปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากทรราชที่ครองบัลลังก์เหล็ก คือความตั้งใจของ แดเนริส ทาร์แกเรียน หรือที่หลายคนเรียกเธอกันว่า Mother of the Dragons
ถึงอย่างนั้น แม้ว่าเป้าหมายของแดเนริสจะชัดเจนมากๆ แต่ความวุ่นวายและความขัดแย้งในเวสเทอรอสก็ทำให้การตัดสินใจต่างๆ ของแดเนริสต้องเจอกับความยากลำบากอยู่เสมอ มีหลายต่อหลายครั้งที่ทำให้เธอมายืนอยู่บนทางแพร่งว่าจะเดินไปสู่ ‘เป้าหมาย’ ที่ตั้งไว้อย่างไร โดยที่ ‘วิธีการ’ ของเธอนั้นยังชอบธรรมอยู่
หลังจากนี้คือสปอยล์นะ
ว่าด้วยทฤษฎี Mad Queen
ท่ามกลางเรื่องราวที่ดำเนินมาในหลาย EP ของซีซั่นที่ 8 นี้ ทฤษฎีว่าด้วยการที่แดเนริสจะกลายเป็น ‘Mad Queen’ ก็ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทฤษฎี Mad Queen คือการวิเคราะห์สถานการณ์ว่า แดเนริสกำลัง ‘เปลี่ยนไป’ จากผู้นำแบบเดิมที่เธอเคยเป็น และมีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ปกครองที่คลุ้มคลั่งเหมือนกับพ่อของเธอ ‘แอริส ทาร์แกเรียน’
แอริส ทาร์แกเรียน เคยถูกเรียกว่าเป็น Mad King หรือกษัตริย์ผู้คลุ้มคลั่งในยุคสมัยที่ครองบัลลังก์เหล็กใน King’s Landing (อ่านเรื่องราวและสาเหตุความคลุ้มคลั่งของแอริสได้ที่นี่) เขาเคยหลงใหลในการใช้อำนาจแบบถอนตัวไม่ขึ้น ประหนึ่งว่ามันคือไวน์รสชาติดีเยี่ยมที่สุดในอาณาจักร
แอริสมัวเมาใน Wild Fire เผาผลาญผู้คนที่เขาไม่ชอบ เรื่องราวความคลั่งของเขาแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศ เคยกระทั่งวางแผนฝัง Wild Fire เอาไว้ในหัวเมืองต่างๆ เพื่อป้องกันตัวเองในยามที่ผู้ใดคิดจะลุกขึ้นมาก่อก่อกบฏ
ใครคิดต่อต้านจะต้องถูกเพลิงเผาผลาญ
“เขาชอบมองดูผู้คนถูกเผาทั้งเป็น”
“เขาเผาทุกคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน”
เจมี่ แลนนิสเตอร์ ผู้ปลิดชีพแอริส ก่อนที่จะได้รับฉายา The King Slayer เล่าถึงความบ้าคลั่งของอดีตกษัตริย์แห่งตระกูลทาแกเรียนให้กับบริแอนน์แห่งทาร์ธฟัง
ความเสี่ยงของแดเนอริสที่จะกลายเป็น Mad Queen
โอเค ตัดภาพมาที่แดเนริสกันบ้าง
ปมเรื่อง Mad King นี้น่าจะอยู่ในจิตใจของแดเนริสเสมอมา หลายต่อหลายครั้งเธอเลือกจะใช้วิธีการที่เสียเลือดเนื้อน้อยที่สุด เพื่อให้การเอาชนะเซอร์ซี แลนนิสเตอร์ ให้ได้อย่างชอบธรรม และได้รับศรัทธาจากประชาชน
อย่างไรก็ดี เมื่อเรื่องเดินมาถึงตอนนี้ (S8E4) แดเนริสกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ลำบากสุดๆ และมันเริ่มบีบบังคับให้ใช้อำนาจจนเกินตัว และเสี่ยงที่จะทำให้ความชอบธรรมทางการเมืองของเธอหายไปมากขึ้น (เรื่องเหล่านี้ลอร์ดวาริสตระหนักเป็นอย่างดี)
เซอร์ซีเองก็รู้จุดอ่อนนี้ของศัตรู จึงนำประชาชนมารวมตัวอยู่ในเมือง และให้เป็นกำแพงมนุษย์เพื่อป้องกันตัวเองจากแดเนริสและมังกร
ทีเรียน แลนนิสเตอร์ ที่เป็นมันสมองให้กับแดเนอริสก็รู้ความเสี่ยงนี้ เขาเคยเตือนแดนี่ว่า ถ้าแดนเนริสเลือกจะทำลายเมือง ‘วิธีการ’ เช่นนั้นก็จะทำให้แดนเนอริสไม่ต่างอะไรกับพ่อของเธอ ที่เคยใช้อำนาจอย่างคลุ้มคลั่งเพื่อเป้าหมายของตัวเอง จนหลงลืมผู้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจัยสำคัญมากๆ ที่ทำให้แดเนริสจะเปลี่ยนไป และใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็ดเด็ดขาดเพื่อเอาชนะศัตรูให้ได้นั้น น่าจะอยู่ที่ความรู้สึกที่สูญเสียสิ่งสำคัญรอบตัวมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนเธออาจจะคิดว่า ‘มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว’ ที่จะเอาชนะเซอร์ซีได้ ถ้าไม่ละทิ้งจุดยืนบางอย่างในอดีตออกไปบ้าง
เป้าหมายและวิธีการ ทางแพร่งของอำนาจที่แดเนอรีสต้องเลือก
ถ้ามองเรื่องนี้ในทางรัฐศาสตร์แล้ว มันก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกันนะ เพราะสถานการณ์ตอนนี้แดเนริสต้องเลือกอย่างจริงจังแล้วว่า ระหว่าง ‘เป้าหมาย’ กับ ‘วิธีการ’ เธอจะเลือกอะไรมากกว่ากัน
มีบทวิเคราะห์จากนักรัฐศาสตร์ (คือจริงจังมาก) ด้วยว่า ในโลกของความจริงแล้ว ในทางการเมืองนั้น ผู้นำมากมายที่เคยเป็นคนดีและเป็นมิตรประชาชนมาก่อน ได้กลายเป็นทรราชในเวลาต่อมา เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองหลังจากที่สามารถเอาชนะทรราชคนเก่าได้แล้วเหมือนกัน
โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่รัฐนั้นๆ อยู่ในภาวะอ่อนแอ สภาพสังคมย่ำแย่ ผู้นำหลายๆ คนเลือกที่จะดึงอำนาจต่างๆ เข้ามาอยู่กับตัวเองเป็นการชั่วคราวเพื่อรักษารัฐให้เข้มแข็ง ก่อนที่พวกเขาจะเสพติดอำนาจเหล่านั้น จนทำให้ตัวเองกลายเป็นทรราชในท้ายที่สุด
เพราะฉะนั้น นี่คือโจทย์ใหญ่ๆ ของแดเนริสทั้งในตอนนี้ที่กำลังต้องการเอาชนะเซอร์ซีอย่างที่สุด รวมถึงโจทย์ในอนาคต กรณีที่เธอสามารถครองบัลลังก์เหล็กได้จริงๆ ในเวลาต่อมา
การพูดคำว่า “ดราคาริส” ในครั้งต่อไปจึงน่าสนใจมากๆ ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงเดเนอรีสอย่างไรบ้าง?
อ้างอิงจาก