เป็นไปได้ ‘อาซามิ ฟูคูราอิ’ คงไม่ได้อยากมาสืบคดีน่ากลัวอะไรพรรคนี้หรอก
เหตุที่เธอต้องจำใจทำก็เพราะอาซามิมองเห็นเงาเลือนรางประหลาดตามาตั้งแต่เด็ก เงาที่ว่านี้มีแค่เธอคนเดียวที่รับรู้ได้ วันหนึ่งอาซามิเหลือบไปเห็นโปสเตอร์ของศูนย์สลายตำนานเมือง (Urban Myth Dissolution Center) พร้อมคำประกาศติดไว้ว่า “รับตรวจสอบเรื่องเหนือธรรมชาติ” ด้วยความสงสัยและหวังจะขจัดการเห็นเงาแปลกตาออกไปจากชีวิต หญิงสาวจึงเดินดุ่มเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น
ที่นั่นเธอได้พบกับ ‘อายูมุ เมกูริยะ’ ชายบนรถเข็นที่รู้จักอาซาอิโดยที่เธอยังไม่ทันก้าวเท้าเข้ามาในออฟฟิศ เขากล่าวว่าสิ่งที่อาซามิเห็นนั้นคือญาณทิพย์ ความสามารถที่ทำให้เธอเห็นร่องรอยตกค้างของคนและสิ่งของที่เคยมีตัวตนอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น เพื่อยืนยันคำพูด เมกูริยะมอบแว่นตาพิเศษที่ช่วยให้อาซามิมองเห็นร่องรอยเหล่านั้นชัดขึ้น ทั้งบอกอีกว่าเขาเองก็มีความสามารถพิเศษเช่นกัน เขาสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ต่างๆ แม้ตัวจะอยู่ไกลออกไป เป็นเหตุผลที่ทำให้เมกูริยะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอาซามิจะมาที่นี่
ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง อาซามิดันพลาดทำเก้าอี้ตัวสำคัญประจำออฟฟิศของศูนย์พัง เมกูริยะจึงเสนอให้อาซามิช่วยสืบคดีเพื่อแลกกับค่าใช้จ่ายเพื่อซ่อมเก้าอี้ และอาซามิเองยิ่งปฏิเสธยากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่าเพื่อนของเธอคือเหยื่อในคดีแรกที่ต้องไปสืบ ด้วยความไม่เต็มใจ อาซามิขึ้นรถพร้อมพนักงานขับรถหญิงชื่อ ‘จัสมิน’ เพื่อเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ สถานที่นั้นคือห้องพักของเพื่อนที่จู่ๆ ก็มีร่างเงาทะมึนถือขวานด้ามยาวปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง แถมในขณะนี้ ชาวเน็ตกำลังเมามันกับการเอาเหตุการณ์นี้ไปพูดถึงในโลกออนไลน์
นั่นคือจุดเริ่มต้นอย่างย่นย่อที่ผมพอจะเล่าได้เพื่อไม่ให้ทำลายบรรยากาศการเล่นเกม Urban Myth Dissolution Center (2025) จนเกินไป ตัวเกมคือเกมวิชวลโนเวลจากค่าย Hakababunko ที่หากพูดกันตามจริงแล้วคงไม่ใช่ค่ายเกมเรารู้จักกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าบอกว่าผู้จัดจำหน่ายคือ SHUEISHA GAMES แล้วล่ะก็ เชื่อเลยว่าหลายคนน่าจะคุ้นหูกับคำว่าชูเอชะเป็นอย่างดี เพราะนี่คือหนึ่งในบริษัทของชูเอชะกรุ๊ป (Shueisha Group) เครือเจ้าของหัวหนังสือมังงะยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่น
อย่างที่เล่าไปในตอนต้น ในเกมเราจะได้รับบทเป็น อาซามิ ฟูคูราอิ หญิงสาวผู้มีญาณทิพย์ คอยทำงานสืบคดีให้กับ Urban Myth Dissolution Center โดยมีเมกูริยะเป็นเจ้านายนักสอดรู้สอดเห็น มองการทำงานของเราผ่านความสามารถมองไกล และให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ เป้าหมายของเกมคือการตามหาเงื่อนงำของคดีปริศนาที่มักพัวพันกับเรื่องผี คดีสยองขวัญ และตำนานเมือง เพื่อระบุเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นให้ตรงกับรูปคดี ก่อนจะไขคดีให้กระจ่าง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมหยิบ Urban Myth Dissolution Center ใส่ตะกร้าและกดซื้ออย่างไม่ลังเลคงหนีไม่พ้นสไตล์ภาพแบบ pixel art ที่ทำออกมาได้สวยงามสมกับบรรยากาศของตัวเกม อีกทั้งเกมยังเก่งกาจในแง่การใช้สี ที่หากนับดูแล้ว palete สีหลักๆ ดูจะมีไม่ถึงสิบเฉด บางฉากแค่สามเฉดสีก็นับว่าเอาอยู่ เช่นฉากการเผชิญหน้าตัวตนปริศนาที่เกมสร้างสภาพแวดล้อมหม่นๆ แฝงความลึกลับด้วยสีโทนสีน้ำเงิน ใช้สีเบจแทนแสงสว่างสลัว และเน้นสิ่งผิดปกติในฉากด้วยสีแดงสด
จุดที่ตัวเกมยังไปได้ไม่สุดคือเกมเพลย์ที่ค่อนข้างจำเจและไม่มีแอ็กชั่นให้ทำมากนัก กิจกรรมส่วนใหญ่ของเกมจะเน้นไปที่สืบค้นข้อมูลจากชาวเน็ต เดินถามเบาะแสจากพยานในที่เกิดเหตุ สวมแว่นตาวิเศษเป็นบางครั้งเพื่อมองหาจุดน่าสงสัย ซึ่งทั้งหมดทำได้ด้วยการกดปุ่มเพียงไม่กี่ปุ่มแบบไม่ต้องรีบร้อนอะไร ที่น่าเสียดายที่สุดคือตัวเกมไม่มีระบบสำคัญที่หลายๆ เกมมีคือระบบการให้รางวัลและลงโทษ (reward & punishment) มันจึงไม่รู้สึกถึงความท้าทายอะไรกับการเล่นให้ผ่านเนื้อเรื่อง เพราะหากเมื่อกี้เราตั้งสมมติฐานและสรุปคดีผิดไป เกมก็อนุญาตให้ลองใหม่ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะถูก
อีกหนึ่งความน่าสนใจ Urban Myth Dissolution Center คือการนำเสนอการสืบคดีปริศนาที่มีความร่วมสมัยและใช้กระบวนการแบบวิทยาศาสตร์ ในแง่ความร่วมสมัย เกมให้ผู้เล่นเริ่มหาข้อมูลที่ล่องลอยอยู่บนโซเชียลมีเดีย หน้าตาคล้าย X (หรือ ทวิตเตอร์) เป๊ะ ตรงนี้ตัวเกมกำลังสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องเล่าและข่าวลือที่เคยพูดกันแค่ปากต่อปากได้ย้ายพื้นที่มาสู่โลกออนไลน์ ไม่ว่าจะในคอมเมนต์ใต้โพสต์ หรือกระโดดจากแฮชแท็กหนึ่งไปยังอีกแฮชแท็กหนึ่ง ตัวผู้เล่นที่รับหน้าที่เป็นนักสืบก็ต้องขุดค้นจากชาวเน็ต แล้วถึงค่อยๆ ตั้งสมมติฐาน เก็บหลักฐาน ซึ่งในเกมนิยามกระบวนการนี้ว่า ‘Identification’ หรือการระบุตัวตน (สิ่งเหนือธรรมชาติ) ก่อนจะทดสอบสมมติฐาน และนำไปสู่การสรุปคดี ที่ในเกมเรียกว่า ‘Dissolution’ หรือการลบล้าง (ความเชื่อ)
และถ้าให้เพิ่มเติมในแง่ความร่วมสมัย ประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผมในเกมนี้คือการได้นั่งอ่านตำนานเมืองที่โผล่ขึ้นมาให้ได้อ่านเล่นระหว่างตามสืบคดีในเน็ต คล้ายกับเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ผู้เล่นได้เสพเพื่อเพิ่มอรรถรส ตำนานเมืองบางเรื่องทันสมัยและอ่านสนุก เช่น เรื่องเล่าของคนที่เพิ่งได้ลองเจเนอเรต (generate) ภาพจาก AI แต่กลับพบว่าภาพที่ได้ออกมานั้นมีแต่ภาพของหญิงสาวแววตาจ้องเขม็ง และไม่ว่าจะคีย์ข้อความใหม่ไปอย่างไร ก็ยังได้ออกมาเป็นรูปหญิงสาวอันน่าสะพรึงกลัวเช่นเดิม
หากมองในภาพรวม Urban Myth Dissolution Center คือเกมที่จริงจังกับการแตะประเด็นของการที่เรื่องเล่าผสมปลอมปนไปกับเรื่องจริง เกมฉายให้เห็นการที่เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อประโยชน์บางอย่าง บางคนปรับแต่งเหตุการณ์ให้ผิดเพี้ยนจนกลายเป็นตำนานเมืองเพื่อตอบจุดประสงค์ของตัวเอง เกมสะท้อนประเด็นนี้ผ่านขั้นตอนการเปิดเผยความจริงหรือ Dissolution ในช่วงท้ายของแต่ละคดี ขั้นตอนนี้เองที่สมมติฐานที่เราตั้งเอาไว้ในตอนแรกโดยอิงจากความเชื่อและชาวเน็ตถูกทำลายลง คนเล่นอย่างเราจึงได้รู้ว่าใต้หน้ากากของเรื่องลึกลับนั้นไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติ แต่คือความจริงที่ถูกปกปิด บิดเบือน ปั้นแต่งขึ้น ความน่ากลัวจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเล่า แต่คือการที่เรื่องเล่านั้นผิดไปจากเรื่องจริงแค่ไหนต่างหาก
“อะไรคือตำนานเมืองกันล่ะ? เรื่องเล่าร่วมสมัยที่ส่งผ่านกันปากต่อปาก วิญญาณ, สิ่งมีชีวิตลึกลับ, เอเลี่ยน, เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ, คดีที่ปิดไม่ลง หรือทฤษฎีสมคบคิด … ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันไร้ที่มาที่ไป ทั้งยังถูกแต่งเติมเมื่อได้รับการส่งต่อ หลายตำนานเมืองฝังรากลึกอยู่ในคำซุบซิบนินทาประจำวันที่ไร้พิษภัย แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” คำพูดเปิดจากเกม Urban Myth Dissolution Center
แม้จะมีเกมเพลย์ที่เนือยๆ ไปสักหน่อย แต่เกมก็ชดเชยข้อด้อยได้ดีด้วยภาพ pixel art ที่สวยหมดจดและเนื้อเรื่องชวนติดหนึบ การเล่นเกม Urban Myth Dissolution Center และเกมวิชวลโนเวลอื่นๆ ก็คงเป็นเช่นนี้ มันคงไม่ใช่การลุยดะเล่นรวดเดียว 5 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง มันคือการที่ผู้เล่นค่อยๆ ซึบซับเอาเนื้อหา คล้ายกับการอ่านหนังสือนิยาย ที่อาจจะมีง่วงเหงา มีหยุดพักสายตาไปบ้าง แต่ก็ยังอยากติดตามและอ่านเล่มนั้นจนจบอยู่ดี