1.
“จำไว้ว่า ถ้าคุณจองโรงแรมนี้ เพื่อเข้าพักได้ พวกภูตผี ก็มีสิทธิ์จองที่นี่ด้วย เช่นกัน”
คาริน กีเดโม กราห์นลอฟ (Karin Gydemo Grahnlöf) ได้รับของขวัญวันเกิดสุดพิเศษจากพ่อ ที่ใช้เวลาเสาะหาอยู่หลายปี ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2019 เทศกาลฮาโลวีนมาถึง พ่อลูกจึงเดินทางไปพักโรงแรมร่วมกัน
ฟังดูเหมือนเป็นของขวัญธรรมดาเท่านั้นใช่ไหม?
โรงแรมแห่งนี้อยู่ในเมืองบอร์กวัตเนต (Borgvattnet) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสวีเดน มีประชากรอาศัยอยู่เพียงแค่ 50 คน ดูเหมือนเมืองเงียบๆ กันดารและหนาวเหน็บ แต่โรงแรมแห่งนี้ กลับโด่งดังติดอันดับโลก ไม่ใช่เพราะความงดงาม สะดวกสบาย หรือมีเสน่ห์แต่อย่างใด
แต่เพราะมันมากด้วยเรื่องเล่าแสนลี้ลับต่างหาก
คารินชอบเรื่องสยองขวัญแปลกพิสดารมาตลอด เช่นเดียวกับพ่อ การจองโรงแรมในเมืองบอร์กวัตเนต ที่ซึ่งมากด้วยความน่ากลัว จึงถูกใจทั้งคู่อย่างมาก
ห้องพักที่นี่ มีให้เลือกมากมาย ในเว็บไซต์มีข้อความเชิญชวนแขกที่อยากมานอนว่า “จองเลย ถ้าคุณแน่จริง”
ที่นี่มีทั้งห้องเตียงเดี่ยว เตียงคู่ มีบ้านทั้งหลังไว้รองรับลูกค้านับสิบคน ราคามีตั้งแต่หลักร้อย ทะยานไปหลักพัน ไม่แพงมากนัก
หากใครไม่อยากพัก จะเชิญมาสำรวจดูบรรยากาศของโรงแรมนี้ก็ได้ จิบกาแฟสักนิด แล้วสำรวจดูรอบๆ ก็ขนลุกแล้ว
เมื่อคาริมกับพ่อเข้าพัก สิ่งที่พวกเขาได้ นอกจากของที่ระลึกเป็นโปสการ์ดวาดเป็นตัวการ์ตูนลงชื่อทั้งคู่แล้ว มันยังมีอุปกรณ์ คล้ายเครื่องวัดเดซิเบล ตรวจความดังของเสียง
ในคู่มือที่ทั้ง 2 ได้ ระบุว่า เอาไว้ใช้จับเสียงที่อธิบายไม่ได้ตามธรรมชาติ
นี่คือประโยคที่เชิญชวนคนกล้าที่อยากล่าท้าทายสิ่งลี้ลับ ให้เดินทางมาพักที่โรงแรมแห่งนี้
คาริมกับพ่อดีใจยิ่งนัก เขาหยิบเครื่องวัดเดซิเบลขึ้นมา คืนนี้จะลองใช้มันเพื่อสื่อสารกับวิญญาณดู
2.
อาคารแห่งนี้ ก่อตั้งเมื่อปี 1876 เพื่อให้บาทหลวงและครอบครัวพักอาศัยกัน ในปี 1907 ภรรยาของศาสนาจารย์รายหนึ่งได้เสียชีวิต เนื่องจากคลอดลูก ตำนานเล่าว่า ศาสนาจารย์เศร้าโศกเสียใจมาก เขาไม่อาจยอมรับความจริงว่าเมียรักจากโลกไปแล้ว จึงฝังภรรยาไว้ที่สวนหลังที่พักนี้
เมื่อชาวบ้านรู้ จึงขอร้องให้เอาร่างหญิงสาวไปฝังที่สุสานให้ถูกต้องตามพิธีกรรมทางศาสนาเถอะ เมื่อศาสนาจารย์ฟังคำวิงวอน ก็เห็นด้วย แต่วันรุ่งขึ้น เขาย้ายครอบครัวออกจากที่พักแห่งนี้ รวมถึงร่างของภรรยาด้วย
ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปไหน
จนกระทั่งหลายปีผันผ่าน ลูกชายของศาสนาจารย์กลับมาที่นี่ แล้วเขาก็เห็นผ้าตากไว้ตรงราวแขวน ถูกฉีกกระชากลงต่อหน้าต่อตา ทั้งที่เวลานั้นไม่มีลมพัด หรือไม่มีอะไรอยู่ใกล้เลย
นี่คือความสยองแรกที่จะถูกเล่าขานเกี่ยวกับที่นี่
ชาวบ้านในเมืองบอร์กวัตเนต ยืนยันว่า พวกเขาได้ยินเสียงซึ่งหาที่มาไม่ได้ดังจากที่พักของบาทหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความหวาดผวาให้กับชุมชนเป็นอย่างยิ่ง
ในปี 1930 สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่พักบาทหลวงอยู่ แล้วพระที่รับใช้คริสต์ศาสนาก็พบปรากฏการณ์ผีหลอกเข้าอย่างจัง ในราตรีหนึ่ง เขาเห็นผู้หญิงใส่ชุดสีเทาเดินมาหาที่โต๊ะ
ทันใดนั้น หญิงรายนี้ได้เลี้ยวออกไปอีกห้อง บาทหลวงรีบลุกตาม เพื่อจะเรียกทักถามว่า มาทำอะไรที่นี่
แต่เมื่อเข้าไปอีกห้อง
ก็พบแต่ความว่างเปล่า
6 ปีต่อมา ศาสนาจารย์รายใหม่กับภรรยาย้ายเข้ามาพัก และได้ยินเสียงประหลาดดังกระหึ่มในบ้านหลังนี้
ทั้งคู่ระบุว่า บางคราก็ได้ยินเสียงคนเดิน ทั้งที่พักอยู่กันแค่ 2 คนเท่านั้น วันดีคืนดี ก็มีเสียงฝีเท้าเดินมาพร้อมกับประตูที่เปิดออกและปิดเอง ราวกับมีคนเดินเยี่ยมชมที่พัก
เมื่อศาสนาจารย์กับภรรยาวิ่งออกไปดู เพราะคิดว่าเป็นแขก แต่พวกเขากลับไม่พบอะไร
ความเฮี้ยนของที่พักแห่งนี้ ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ในวันที่ภรรยาของผู้รับใช้พระเจ้าอยู่บ้านคนเดียว เธอได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นในห้องครัว เมื่อเปิดออกไป เพลงบรรเลงก็หยุดลง แน่นอนว่าไม่เห็นใครอยู่ในนั้น ไม่มีเครื่องดนตรี หรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงเลย
แล้วมันดังมาจากไหน
สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อศาสนาจารย์กลับมาบ้าน คราวนี้ทั้งคู่ได้ยินเพลงบรรเลงในห้องครัว แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในนั้น
เพลงก็หยุดลงทันที
3.
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 1941 หญิงสาวนามอินกา ฟลอดิน (Inga Flodin) เลขานุการสังฆมณฑลมาพักที่นี่ เพื่อทำธุระส่วนตัว ขณะหลับอยู่บนเตียง ราวๆ ตี 3 เธอก็สะดุ้งตื่น เพราะรู้สึกเหมือนถูกใครจ้องมอง เมื่อมองออกไปก็เห็นผู้หญิง 3 คนนั่งมองอยู่ที่ปลายเตียง
ทีแรกอินกาคิดว่าฝันไป แต่เมื่อเปิดโคมไฟ..
ผู้หญิง 3 คน ก็ยืนจ้องเธอจากปลายเตียง โดยเป็นร่างที่สามารถมองทะลุไปได้
อินกาบอกในภายหลังว่า ผู้หญิงเหล่านี้เหมือนคนปกติ รายแรกใส่ชุดสีดำอีกคนใส่ชุดสีม่วง รายสุดท้ายใส่ชุดสีเทา กระนั้นทั้ง 3 ต่างมีวงหน้าที่เศร้าสร้อย โดยเฉพาะหญิงที่ใส่ชุดเทา
ภาพตรงหน้าทำให้อินกาช็อกผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมา เธอรีบบอกเพื่อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งสร้างความสยองให้กับสถานที่แห่งนี้มากขึ้นไปกว่าเดิม
แต่นั่นยังไม่ใช่ที่สุด
เพราะในปี 1945 วิกา เอริก ลินเกรน (Vicar Erik Lindgren) บาทหลวงอีกรายเข้าพักที่นี่ แล้วสัมผัสความแปลกพิกลทันที คืนแรก เขาได้ยินเสียงเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ที่คนยากจะยกได้คนเดียว กำลังถูกเคลื่อนย้าย เมื่อลงไปดูก็ไม่พบอะไรเลย นั่นก็เพราะข้าวของบาทหลวงยังเดินทางมาไม่ถึง
แล้วเสียงอะไรที่ดังขึ้นขนาดนั้น
วิกาจดบันทึกเหตุลี้ลับตลอดเวลา ต่อมาเขาซื้อเก้าอี้มาไว้ที่นี่ คืนหนึ่งขณะกำลังนั่งอ่านหนังสือ บาทหลวงหนุ่มก็ถูกถีบกระเด็นจากเก้าอี้ ร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง ผู้รับใช้พระเจ้าตกใจและลุกขึ้น พยายามจะไปนั่ง ปรากฏว่าเขาขยับตัวไปไม่ได้ ก่อนจะล้มกับพื้นอีกครั้ง จากนั้นเก้าอี้ตัวนี้ ก็เคลื่อนหนีจากเขา ไม่ยอมให้นั่ง
วิกา ไม่เคยคิดจะใช้บริการมันอีกเลย
เมื่อเจอดีเข้ากับตัว บาทหลวงคนนี้จึงได้เริ่มต้นตรวจสอบประวัติศาสตร์ของที่พักแห่งนี้ เขาพบเรื่องสยองขวัญมากมายในอดีต เลยรวบรวมข้อมูล ก่อนให้สัมภาษณ์สื่อ นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างชื่อเสียงให้สถานที่แห่งนี้ ดังไปทั่วโลก ในฐานะที่พักสุดหลอน
วิกาให้สัมภาษณ์นักข่าวหลายครั้ง บางทีก็นัดพบที่จุดเกิดเหตุสยอง และหลายครั้งสื่อก็เป็นประจักษ์พยานความหลอนด้วย เช่นในวันที่ 4 ธันวาคม ปี 1947 ขณะวิกาคุยกับนักข่าว ทั้งคู่ยังได้ยินเสียงคนเดินไปทั่ว ทั้งที่อยู่กันแค่ 2 คน และเวลานั้นเทียนก็ดันจุดไม่ติดด้วย
ไม่มีข้อมูลว่านักข่าวรายนั้น ตัดสินใจสัมภาษณ์ต่อ หรือโกยแน่บหนีไปแล้ว
หลังมีชื่อเสียงด้านความลี้ลับ วิกา ผู้รับใช้พระเจ้า ยังเจอเหตุเหนือธรรมชาติอีกมากมาย เช่นเขาเคยเดินไปชนอะไรบางอย่าง ทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นด้วย
สารพัดปริศนาที่อธิบายไม่ได้ ยังมีอีกเยอะ ดังเช่นคำให้สัมภาษณ์ของวิกาที่บอกว่า
“ผมไม่ค่อยสบายใจกับที่นี่ บางทีก็เหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลัง บางทีก็รู้สึกเหมือนคนนั่งอยู่ข้างๆ ตอนทำงาน”
อย่างไรก็ดี เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผีทุกนาทีและทุกวัน นี่จึงทำให้บาทหลวงรายนี้ค่อยๆ ปรับตัวให้ชินกับปรากฏการณ์แปลกที่เกิดขึ้นไปตลอดชีวิต
และเขาคือพระรูปสุดท้ายซึ่งพักอยู่ที่นี่ เพราะหลังจากนั้นไม่มีใครกล้ามานอนอีก ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน หรือผู้รับใช้พระเจ้า
ทุกคนล้วนขวัญผวา ปอดแหกกันหมด
4.
เมื่อไม่มีใครมานอน อาคารก็ทรุดโทรม ไร้คนดูแล ที่ผ่านมา แม้จะมีนักธุรกิจพยายามจะรื้อถอนตึก เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ เพราะดูเหมือนจะต้องเจออุปสรรคมากมาย มันจึงถูกปล่อยทิ้งร้าง และให้คนเข้ามาลองของ แน่นอนว่าหลายรายย้ำว่า พอมาที่นี่ ไม่เคยผิดหวัง เจอผีหลอกทุกครั้งไป
ในปี 2018 กลุ่มนักล่าท้าผี 2 พี่น้อง โทนี่ และนิคลาส ลาคโซเนน (Tony and Nicls Lakksonen) ได้มานอนพักที่นี่กับเพื่อนอีก 2 รวมเป็น 4 คน เพียงแค่คืนแรก ก็เจอดีเข้าให้
“พวกเราทั้งหมด มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ จะอ้วก แถมยังรู้สึกว่า ในบ้านหลังนี้ เราไม่ได้อยู่กันแค่ 4 คน เหมือนบางสิ่งที่อยู่ในนี้มานานหลายร้อยปี จะรู้ว่าพวกเราเป็นใคร”
พี่น้องลาคโซเนน บันทึกเรื่องราวในคืนนั้นไว้ทั้งหมด แม้จะอยากออกจากบ้าน เพราะทั้งขนลุกสยอง หวาดกลัว แต่ทั้งหมดก็สู้ฝืนอาศัยจนครบ 24 ชั่วโมง
เมื่อผ่านพ้นมาได้ 2 พี่น้องซึ่งเป็นนักล่าท้าผีมือฉมัง ซื้อตึกแห่งนี้ทันที แปรสภาพเป็นโรงแรม เปิดรับคนใจกล้าให้เข้ามาพัก
ตำนานที่หลอกหลอนมาหลายปี บัดนี้เปิดออกให้คนทั่วไปได้มาลองของแล้ว
อย่าลืมนะว่า แม้กระทั่งบาทหลวง ศาสนาจารย์ก็ยังไม่รอด ประชาชนนักท่องเที่ยวรับรองได้เลยว่า
เจอดีแน่ๆ
ดังเช่นคารินกับพ่อ
5.
นักท่องเที่ยวที่อยากมาพักที่นี่ จะมีห้องให้เลือกมากมาย บางห้องเล่าว่า เป็นจุดที่ภรรยาของศาสนาจารย์ตาย ในปี1907 อันเป็นปฐมบทความหลอน ส่วนบางห้องก็เป็นจุดซึ่งบาทหลวงพบหญิงชุดสีเทาเป็นครั้งแรกในปี 1930
บางหลังเป็นห้องที่เก้าอี้เคลื่อนย้ายได้เอง และมีห้องหนึ่ง ซึ่งเคยมีหญิงตั้งท้องกับบาทหลวงอย่างลับๆ ก่อนที่เธอจะตายทั้งกลม ก่อนถูกฝังอยู่ตอนเหนือของบ้าน แต่ยังมีคนเห็น วิญญาณของเธอนั่งอยู่ในห้องนี้เสมอ
ทางคารินกับพ่อเลือกเข้าพักในห้องที่ลือกันว่าพบ 3 หญิงสาวนั่งจ้อง หวังจะได้พบอะไรเด็ดๆ แน่นอนในคืนนี้ ทั้งนี้เป็นที่รู้กันของแขกที่มาพักว่า พวกเขาล้วนเป็นพวกใจกล้า ดังนั้นจึงไม่อุดอู้อยู่แต่ในห้อง แต่จะขอเดินสำรวจไปทั่วโรงแรมนี้ ขอเข้าไปดูห้องคนอื่น เปิดห้องตัวเองให้แขกชมบ้าง
โดยเอาอุปกรณ์ตรวจจับเสียงติดตัวไปด้วย
ทางคารินกับพ่อเองก็เลือกจะเดินสำรวจห้องที่มากด้วยตำนานความสยอง แต่ไม่พบอะไร เจ้าเครื่องที่โรงแรมให้ ก็จับไม่พบเสียงประหลาด ทุกอย่างเงียบสงัด เหมือนโรงแรมทั่วๆ ไป เมื่อเดินกันไปมาจนหนำใจ ทุกฝ่ายจึงตัดสินใจแยกย้ายตอนเที่ยงคืน
และแม้นจะไม่พบอะไร แต่แขกทุกคนในวันนั้น ต่างตกลงกันว่า จะไม่ปิดไฟนอนโดยเด็ดขาด
เมื่อคารินกลับมานอนที่ห้อง บางสิ่งก็เริ่มทำงาน เขารับรู้ในทันทีว่า มีอะไรบางอย่างกำลังจ้องเขาอยู่ พอถึงตี 1 เจ้าตัวก็สะดุงตื่น เหมือนมีบางสิ่งทับอยู่ที่ตัว ขยับอะไรไม่ได้ แม้จะไม่เห็น 3 หญิงปริศนาร้องไห้ แต่เขารู้แล้วว่าห้องนี้ มีผีอยู่แน่นอน
2 พ่อลูกยอมรับในเวลาต่อมาว่า นี่คือประสบการณ์สุดสะพรึง ทุกอย่างเหมือนความฝัน แต่คือความจริง บ้านหลังนี้ เราสัมผัสได้ว่ามีผีอยู่แน่นอน
แถมทุกอย่างเกิดขึ้น เมื่อตอนเช้าวันใหม่มาถึงด้วย พลันที่แสงแดดโปรยเข้ามา ขณะที่คารินยังขวัญผวากับกลางดึกที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคืนที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับเขา
แต่มันยังไม่ที่สุด
เพราะเมื่อพ่อของเขาตื่นอย่างสบายตัว ก็หันมาสบตาลูกด้วยความยิ้มแย้ม จนคารินต้องถามไปว่า
“หลับเต็มอิ่มไหมพ่อ”
ชายชราบิดขี้เกียจ “ช่าย แต่น่าเสียดายนิด เพราะบางทีฉันก็สะดุ้งทุกครั้งที่กิ่งไม้มันกระแทกเข้าตรงหน้าต่างข้างนอกนั่น ทำเอารู้สึกตัวเป็นพักๆ เลย”
คารินอ้าปากค้าง ขนลุก ก่อนบอกให้พ่อรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว
“ทำไมเหรอลูก”
“พ่อ…ข้างนอกนั่น ไม่มีกิ่งไม้ หรือต้นไม้อะไรเลยนะ”
อ้างอิงจาก