‘การมีสถานที่ให้กลับไปพักใจนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม’
ตัวอักษรสีขาวบนผืนน้ำที่กำลังต้องแสง ไม่เพียงแต่ไปสะกิดต่อมน้ำตาที่จ่อจะไหลพรากตามที่ผู้กำกับวาดหวังไว้ แต่ยังนำพาเราลึกลงไปส่วนหนึ่งของซีรีส์จนถึงวินาทีสุดท้าย คล้ายถูกดึงเบรกให้น้ำตาค้างเติ่งจนใจเจ็บ เพราะการตามหาพื้นที่พักใจ อาจไม่ยากเท่ายอมรับการมีอยู่ของพื้นที่นั้น โดยเฉพาะในวันที่เราต่างเติบโต… Welcome to Samdalri กำลังทำงานเช่นนี้กับใจของเรา
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของ Welcome to Samdalri*
สู่อ้อมกอดซัมดัลลี Welcome to Samdalri ซีรีส์แนวโรแมนซ์ขนาดไม่สั้นไม่ยาว จำนวน 16 ตอน ที่เพิ่งทิ้งท้ายด้วยเรตติ้งเฉลี่ยทั่วเกาหลีแตะ 12.39% จนก้าวขึ้นมาติด TOP10 ซีรีส์ที่ทำเรตติ้งสูงสุดตลอดกาลของช่อง JTBC ได้สำเร็จ
เรื่องราวเล่าผ่านตัวละครหลักของซีรีส์ อย่างโชซัมดัล (ชินฮเยซอน) และโชยงพิล (จีชางอุค) 2 เพื่อนซี้วัยเด็กที่ผูกพันมาตั้งแต่ยังไม่ทันเป็นวุ้น ด้วยสายสัมพันธ์ของครอบครัวโดยเฉพาะแม่ๆ ที่รักกันไม่ต่างกับพี่น้อง นั่นเลยทำให้ทั้งคู่เติบโตมาเสมือนเงาของกันและกันบนบ้านเกิดเกาะเชจู จนพัฒนาเป็นความรักของหนุ่มสาว
แล้วโชคชะตาก็ไม่เคยหยุดทำหน้าที่ เมื่อผืนน้ำพรากชีวิตแม่ของยงพิลไป ระหว่างที่เธอกำลังทำหน้าที่ ‘แฮนยอ’ นักดำน้ำเก็บสัตว์น้ำในทะเล ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของทั้งคู่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเหตุการณ์นั้นได้สร้างแผลใจให้ครอบครัวอันเป็นที่รัก จนทำให้ชีวิตของทั้งคู่ต้องแยกจากกัน ก่อนที่ต่างก็ไปประสบความสำเร็จในเส้นทางของตนเอง
ขณะที่ยงพิลกำลังไปได้สวยกับอาชีพนักพยากรณ์อากาศ ประจำกรมอุตุนิยมวิทยาที่ขึ้นชื่อเรื่องความหัวดื้อจนหัวหน้ากำหมัด แต่ทุกคนก็ต้องยอมลงให้ เพราะไม่มีใครจะรู้จักสายลมและสายน้ำบนเกาะเชจูได้เท่าเขาแล้ว ในทางกลับกัน ช่างภาพหญิงที่กำลังมือขึ้นอย่างซัมดัล ซึ่งคนในวงการรู้จักในชื่อของโชอึนฮเย กลับต้องพบบทเรียนครั้งสำคัญ หลังถูกรุ่นน้องที่เธอปลุกปั้นมากับมือแทงข้างหลังจนชีวิตรักพังไม่เป็นท่า
ทว่า นั่นก็ไม่เจ็บเท่ากับหน้าที่การงานที่สร้างขึ้นดูจะกลับพังทลายลงในพริบตา เพียงเพราะข้อครหาที่ไม่เป็นความจริง แต่ก็กลายเป็นจุดเริ่มสู่อ้อมกอดซัมดัลลี เพื่อตามหาซัมดัลคนเดิมที่เธอเผลอลืมทิ้งเอาไว้
เธอโอเคไหม?
คงไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง หรือสูตรสำเร็จของการให้กำลังใจที่ดีที่สุด เพราะผลลัพธ์อาจขึ้นอยู่กับจังหวะที่เหมาะสม เช่นช่วงต้นของการกลับบ้านซัมดัลแทบจะใช้เวลา 24 ชั่วโมงหมกตัวอยู่แต่ห้อง เพราะต่อให้ปากจะบอกคนอื่นออกไปว่ากลับมาพักผ่อนช่วงสั้นๆ แต่เสียงในหัวกำลังก้องว่า เธอล้มเหลวจนต้องซมซานกลับมาจากโซล และอายเกินกว่าจะสู้หน้าใคร เหมือนนกอพยพที่ไล่ตามความฝันวัยเยาว์ แต่สุดท้ายต้องบินกลับบ้านมาตายรัง
ในขณะที่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งพ่อแม่ เพื่อนวัยเด็ก คุณป้าคุณลุงข้างบ้าน ทุกคนล้วนแต่ยินดีที่ได้พบหน้า แม้กิจวัตรประจำวันของคนชนบทอาจอำนวยให้พวกเขาพูดถึงเธออย่างไม่ระวังอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้มีความหวังร้ายเจือปน
“แม่ หนูแค่… ให้หนูอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน” ซัมดัลรีบพูดเอาไว้ ด้วยกังวลว่าแม่จะต่อว่าเธอ
“เอาผ้าไปตาก” เสียงของแม่ที่บ่นลูกสาววัยขึ้นเลข 3 ให้ช่วยตากผ้าดังกลับมาเป็นคำตอบ โดยไม่คะยั้นคะยอจะเอาคำตอบอะไร
แต่บรรยากาศที่คนรอบตัวกำลังวุ่นวายอยู่กับการ ‘ทำทุกอย่างให้ปกติ’ นี่แหละที่กลายเป็นสิ่งไม่ปกติสำหรับใจซัมดัลเอาเสียเลย เพราะในเมืองใหญ่มีแต่ผู้คนที่รอคำอธิบายทั้งที่เธอไม่ร้องขอ และพร้อมจะหันหลังให้โดยไม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ
จึงไม่แปลกใจที่เมื่อยงพิลและเพื่อนๆ พยายามประคับประคองใจเธอด้วยการบอกว่าไม่ปรารถนาจะรู้เรื่องที่ผ่านมา ถึงทำให้ซัมดัลระเบิดอารมณ์ออกมาสุดแรง
“ฉันดูเหมือนฉันโอเคเหรอ เพื่อนงั้นเหรอ ถ้าพวกนายเป็นเพื่อนฉันจริงๆ พวกนายจะไม่สนใจที่ฉันล้มเหลวกลับมา แต่จะอยากรู้ว่ามีคนพยายามฆ่าตัวตายเพราะฉันจริงไหม และถ้ามันจริงฉันทำแบบนั้นทำไม พวกนายต้องอยากรู้เรื่องนี้สิ…คนที่ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ก็เอาแต่ถาม แต่คนที่ฉันอยากคุยด้วยไม่แม้แต่จะฟังฉันเลย”
‘หายใจออกแล้วใช่มั้ยซัมดัล?’ ด้วยคำพูดเคล้าสะอื้นของซัมดัล ที่ถ่ายทอดผ่านนักแสดงมากฝีมือ ทำให้เราเผลอถามคำถามนี้ในใจ เพราะรับรู้ได้ถึงความอึดอัดที่กดไว้มานาน จนสิ้นประโยคที่เธอพูด เราคล้ายกับได้ถีบตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำไปพร้อมๆ กับเธอ
สะท้อนความเหงาของคนเมือง
ทั้งที่เรื่องราวดำเนินมาอย่างสนุกและชวนติดตามเพียงนี้ แต่ขอสารภาพอย่างไม่ปิดบังว่าจวบจน End Credits ขึ้น เราก็ยังจับทางผู้เขียนบทและผู้กำกับไม่ออกว่าคาดหวังให้คอซีรีส์อย่างเราๆ กระแทกใจด้วยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ทั้งนี้ขอออกตัวก่อนว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดีนะ แต่สะท้อนว่าซีรีส์เรื่องนี้ทำถึงในเกือบทุกมิติที่ยกมาเล่า
จะเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวผ่านภาพที่โคตรจะสวย? เร่งเร้าให้คนเห็นคุณค่าของบ้านเกิด? หรือสนับสนุนให้ทุกคนเป็นนักล่าฝัน? ด้วยรสนิยมที่มักเลี่ยงบทสัมภาษณ์ของทีมงาน เพราะอยากเปิดโอกาสให้ตัวเองฟุ้งซ่านให้เต็มที่ เราเลยขอยกให้ประเด็นประเด็นความซึมเศร้าของคนเมือง เป็นความพิเศษแบบใส่ไข่ที่อยากยกมาพูดถึง
ท่ามกลางวิกฤติที่เหล่าเพื่อนร่วมงาน และคนที่เคยสนิทมานับ 10 ปีต่างหายหน้าหายตาไปในวันที่ซัมดัลตกต่ำ จนเธอถึงกับออกปากสมเพชตัวเองในตัวตนของอึนฮเย และความยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตด้วยตัวตนโชซัมดัลนี่แหละ เป็นภาพสะท้อนปัญหาสุขภาพจิตของคนเมืองใหญ่อย่างชัดเจน
ถ้าจะพูดให้ง่ายกว่านั้น ก็ดูเหมือนว่าคนที่ไม่มีต้นทุนจากความหลังครั้งเก่า จนไม่รู้จะพึ่งพิงใคร มักกล้าจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือได้ในยามที่ตัวเองตกยาก ในขณะที่คนแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่พอจะมีต้นทุนเหล่านั้นอยู่บ้าง กลับเหมือนอมข้าวอยู่เต็มปาก ด้วยที่ผ่านมาอาจเคยพยายามสร้างเงื่อนไข เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธะผูกพันเหล่านั้น เป็นการพิสูจน์ตัวตนของการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
การอธิบายเช่นนี้ อาจดูเป็นคำพูดของชนชั้นกลางที่ยึดติดกับความฝัน ตามคำเสียดสีของคนที่ต้องสู้ชีวิตมาตั้งแต่ลืมตาก็ได้ แต่เราก็เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อย ที่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะคนไกลบ้านที่ความห่างไกลทางกาย ทำให้เกิดความเหินห่างเล็กๆ กับครอบครัว เพราะบ่อยครั้งที่เทคโนโลยีไม่สามารถเก็บตกเรื่องราวริมทางได้หมด เช่นเดียวกับที่ซัมดัลไม่เคยรับรู้ความเจ็บป่วยของแม่มาก่อน
“โลกนี้เราก็อยู่ตัวคนเดียวกันหมดนั่นแหละ” ถึงคล้ายเป็นคติประจำใจของช่างภาพอึนฮเย
ทุกคนต่างมีคนของตัวเอง
คิดตามแล้วก็น่าขำ ในโลกใบเดียวกันที่มีเพียงผืนน้ำกั้นนั้น เรื่องทุกข์ใจของช่างภาพอึนฮเยที่อยู่ในคราบซัมดัลกลับถูกปัดเป่าไปในพริบตา เมื่อได้ตระหนักว่ามีคนรอบข้างที่พร้อมจะเจ็บปวดไปกับเธอในทุกช่วงเวลาของชีวิต ขอเพียงยอมรับและเอ่ยปากบอกพวกเขาเท่านั้น
“เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เธอมีพ่อแม่ มีพี่น้องมีเพื่อนๆ เธอมีฉัน… เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป อย่าทนกับทุกอย่างคนเดียว อย่าเก็บอารมณ์ไว้แล้วร้องไห้คนเดียวอีก เข้าใจไหม”
ยงพิลกระแทกเสียงคล้ายโมโหแบบปลอมๆ จนซัมดัลฟังถึงกับอึ้ง แต่นั่นก็เต็มไปด้วยความอิ่มใจแบบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เช่นเดียวกับตอนที่ได้นอนหนุนตักแม่ บอกเล่าความเจ็บปวด ความตกใจ ความกลัว คล้ายกลับไปเป็นเด็กน้อยที่แม่พร้อมจะกระโดดไปแหกใครก็ตามที่มาทำร้ายลูกสาว
“เคยรู้สึกแบบนี้ไหม ที่เราแข่งดอดจ์บอลแล้วเป็นคนเดียวของทีมที่รอด ทีมคู่ต่อสู้ที่อยู่ล้อมรอบตัวพยายามเล็งทุกส่วน หวังจะทำให้เราล้ม ฉันรู้สึกแบบนั้นเลยตอนอยู่โซล แต่ว่ากลับมาที่เชจู ฉันก็เริ่มมองเห็นอะไรหลายอย่างจากมุมอื่น ฉันเห็นทีมของฉันอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังโบกมือให้ฉัน คอยเชียร์ฉันอยู่ ใช่เลย ทีมของฉัน”
เมื่อจิตใจของซัมดัลได้รับการเยียวยาจากคนรอบข้าง การตามหาตัวตนของครั้งเก่าดูไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะการทำหลายอย่างให้สำเร็จในฐานะโชซัมดัลต่างหากที่เป็นเป้าหมายใหม่ที่สำคัญกว่า และตอนท้ายซีรีส์ก็สร้างภาพความสำเร็จให้คนดูอุ่นใจไปตามกัน
ความหมายที่มากกว่ารักบ้านเกิด
ในขณะที่ซัมดัลให้บทเรียนกับผู้ชมทีละเล็กละน้อย ยงพิลเองก็มีบทบาทสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ ในมุมมองของเราสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเขาไม่ใช่การเป็นมนุษย์คลั่งรักต่อซัมดัล ผนวกกับความผูกพันของ 2 ครอบครัว ที่ทำให้เขาตัดสินใจปักหลักในบ้านเกิด เพื่อดูแลแม่ของอดีตคนรักที่เขานับถือไม่ต่างจากแม่อย่างเงียบๆ หรอก
แต่การเป็นมนุษย์ที่โคตรจะเก่ง และรู้ตัวเองดีว่ามีศักยภาพจะทำตามฝัน แถมมีโอกาสถวายพานมายื่นให้ถึงที่แล้ว แต่ยังสามารถเลือกหนทางเดิมแบบโนสนโนแคร์ ใครจะหาว่าบ้าที่ไม่ยอมก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็ไม่สั่นสะเทือนต่างหาก ที่ทำให้ยิ่งต้องนับถือใจ
ยงพิลเอาชนะความคาดหวังของสังคมได้ยังไงนะ? คำถามนี้โผล่ขึ้นมา ท่ามกลางสังคมที่ผู้คนให้ค่าและชื่นชมคนหนุ่มสาวผ่านชื่อเสียงและอาชีพของพวกเขา โดยเฉพาะหากได้มีการงานทำเป็นหลักแหล่งในเมืองใหญ่ด้วยแล้ว ล้วนเป็นบริบทแวดล้อมที่ทำให้คนคนหนึ่งไขว้เขวอย่างง่ายได้
นี่เรากำลังพูดถึงยงพิลที่อยู่เกาะเชจู และมีโอกาสในหน้าที่การงานกลางกรุงโซลรออยู่นะ… แต่ไหนดูไม่ต่างกับสิ่งที่มนุษย์กรุงเทพฯ เผชิญกันอยู่เลย
อีกหนึ่งรายละเอียดที่พลาดไม่ได้ที่จะเล่า เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าซีรีส์เกาหลีแล้ว Welcome to Samdalri ก็ไม่ได้ทิ้งจุดแข็งของการถ่ายทอดรายละเอียดแต่ละตัวละคร ผ่านบทสนทนาในแต่ละอาชีพ อย่างคนในกรมอุตุฯ ที่พูดอย่างประชดประชันถึงความผิดพลาดว่า “ก็คำเตือนพายุน่ะ เมื่อวานนักพยากรณ์โชรายงานพื้นที่กับเวลา และขอให้มีการแจ้งเตือนสภาพอากาศแล้ว แต่สำนักงานใหญ่บอกให้รอดูก่อน แล้วไม่ยอมอนุมัติให้…”
หรือจะเป็นความเชี่ยวชาญของเหล่าคุณป้าแฮนยอ นักดำน้ำเก็บสัตว์น้ำในทะเล ที่บอกเล่าว่าความเชี่ยวชาญเหล่านั้นไม่ได้ทำให้พวกเธอเอาชนะธรรมชาติไปได้ “ถ้าเราระวังกว่านี้ แล้วทะเลมันจะเปลี่ยนไหมล่ะ ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ ฉันก็กลัวขึ้นมาทุกที”
และนี่เองที่ทำให้เราหวนนึกถึงฉากสุดท้ายของซีรีส์ ที่ถูกบอกเล่าผ่านชัตเตอร์กับนิทรรศการภาพถ่ายครั้งแรกของโชซัมดัล ‘คนของฉันกับสภาพอากาศ’ เพราะที่นี่ ที่ซัมดัลลี เธอเป็นเธอได้เท่าที่ใจอยากจะเป็น “เมื่อฉันตั้งใจมองดูคนรอบตัว ก็เห็นตัวเองและเส้นทางของฉันในตัวพวกเขา”
“ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตโดยไม่โลภ และไปไกลเท่าที่เราจะกลั้นหายใจไหว และเมื่อไหร่ก็ตามที่เรากลั้นหายใจไม่ไหวแล้ว เราก็จะกลับไปที่นั่น ที่ลำธารเล็กๆ ของเรา ซัมดัลลี”
ซัมดัลและยงพิลทิ้งท้ายเอาไว้ในวันที่พวกเขาตัดสินใจจะสนับสนุนความฝันของกันและกัน
อย่าได้ปฏิเสธความโชคดี ที่โลกนี้ใจดีมอบให้เราเลย… เช่นที่ยงพิลบอกไว้ว่า ทุกคนต่างก็มีคนของตัวเอง ดังนั้นลองยอมรับการมีอยู่ และเรียนรู้ที่จะปรับตัวกับพื้นที่พักใจที่เติบโต และเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศดูนะ