ในยุคที่การเสพศิลปะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ คุณเคยไหม ที่มองดูงานศิลปะแล้วพบว่าตัวเองอยู่ใกล้ความตายแค่เอื้อมมือ
ครั้งแรกที่เราเห็นงานประหลาดตาชิ้นนี้ น่าจะเป็นช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยประมาณปีสองหรือปีสาม รายละเอียดในภาพประกอบด้วยหัวกะโหลกมนุษย์ที่ดูสมจริงวางอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยนาฬิกาทรายและดอกไม้หนึ่งดอกในแจกัน ทุกอย่างในภาพอยู่ในโทนสีหม่นทึม เราได้รับคำอธิบายจากอาจารย์ผู้สอนว่า งานประเภทนี้เรียกว่า Memento Mori ซึ่งเป็นภาษาละตินที่แปลได้ว่า “จำไว้ว่าเราทุกคนต้องตาย” (Remember that you will die.)
ภาพภาพนี้เป็นศิลปะจัดวาง still-life with a skull เขียนขึ้นโดยศิลปินชาวดัตช์ Philippe De Champaigne ในปีคริสต์ศักราช 1671 เป็นงาน Memento Mori ที่นิยมกันในเนเธอร์แลนด์และแฟลนเดอรส์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจผู้ชมงานว่า ‘ชีวิตนั้นล้ำค่า อย่ามัวไปเสียเวลากับสิ่งเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญ’
สำหรับฌอมเปญ ดอกไม้ในภาพเป็นสัญลักษณ์ของความเปราะบางและความเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆ ส่วนนาฬิกาทรายหมายถึงทุกนาทีที่ผ่านไปคือเวลาที่เราเข้าใกล้ความตายมากขึ้น ส่วนหัวกะโหลกเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความแน่นอนของความตายที่เราทุกคนต้องประสบพบเจอ
แล้วทำไมคนเราถึงต้องมีภาพเขียนที่เตือนใจถึงความตาย ในเมื่อนี่เป็นความจริงที่เราทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้ว?
ถ้ามองผ่านมุมมองของคนที่โตมากับวิทยาการสมัยใหม่และการแพทย์ก้าวหน้า แถมยังมีวิธีคิดแบบ Forever Young ซึ่งบูชาการใช้ชีวิตแบบหนุ่มสาวและปฏิเสธความแก่เฒ่า โดยสอดแทรกมากับบรรดาแคมเปญโฆษณาและกลยุทธ์ของแบรนด์ต่างๆ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก—ด้วยความคิดแบบนี้ที่คอยนำทางชีวิต เราอาจไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมี Memento Mori
แต่ถ้าลองจินตนาการย้อนกลับไปยังคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในโลกที่เต็มไปด้วยโรคระบาดซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วยุโรปโดยเฉพาะกาฬโรค รวมถึงภาวะอดอยากขาดแคลน สงครามร้อยปี และสงครามยิบย่อยอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกแบบนั้น Memento Mori จึงเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่คริสต์ศาสนานำมาใช้ในการสอนใจให้ชาวคริสต์สะท้อนมองชีวิตตนเองและทำตัวดีๆ เข้าไว้ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจไปพบกับพระเจ้า
อีกแนวคิดหนึ่งที่แฝงอยู่ใน Memento Mori คือ ‘ศิลปะของการตายจาก’ (Ars Moriendi) ซึ่งเป็นต้นฉบับอธิบายกระบวนตาย ‘ที่ดี’ ว่าควรจะเป็นอย่างไร ในแง่นี้ การตายที่ดีอย่างหนึ่งคือการตายโดยตระเตรียมใจเอาไว้แล้ว และความตายก็เป็นเหมือนอีกด้านของเหรียญ ในวิธีคิดทางศาสนา การใช้ชีวิตที่ดีคือถูกทำนองคลองธรรมจะยิ่งส่งผลดีกับชีวิตหลังความตาย
ยังมีงาน Memento Mori อีกแบบหนึ่งซึ่งนิยมในช่วงนั้นเรียกว่า ‘การเต้นรำของความตาย’ (Danse Macabre) เสนอภาพของกษัตริย์ โป๊ป เด็ก และคนรับใช้ ซึ่งถูกโครงกระดูกเต้นรำเชิญชวนไปยังหลุมศพ
งานเหล่านี้เสนอความคิดว่า ความตายเป็นสากลกับทุกรูปแบบชีวิตโดยไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ความสุขทางโลก เช่น ความร่ำรวยมั่งคั่ง หรือการประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายต่างๆ ล้วนแต่เป็นอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืนและว่างเปล่า
ถ้าเรามีเวลาบนโลกนี้ไม่จำกัดเราอาจจะนั่งเล่นไปสักร้อยปี หัดทำกับข้าวจนเป็นเชฟมิชลินสามดาวในเวลายี่สิบปี หรือครองโลกอย่างเหงาๆ จนถึงวันที่ไม่มีใครอื่นหลงเหลืออยู่แล้ว
แต่เพราะว่าเราไม่ได้เป็นอมตะ ความตายคือเงื่อนไขสำคัญที่มากำกับความเป็นมนุษย์อันแสนจำกัด สำหรับเรา Memento Mori จึงไม่ใช่แค่เครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงความตาย แต่นำไปสู่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือการถามตัวเองว่า เราจะเลือกมีชีวิตอยู่อย่างไรด้วย แม้ว่าความตายจะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่การใช้ชีวิตโดยมองว่า ตัวเรากำลังมุ่งไปสู่ความตายในทุกขณะ ก็เป็นสิ่งที่สร้างความเป็นปัจเจกให้กับเราได้เช่นกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก
Text by ‘แมวกุหลาบดำ’ สัตว์กลางคืนที่สนใจในมนุษย์ หลงใหลวรรณกรรมและปรัชญาเป็นพิเศษ
Cover illutration by loemor