กาแฟเป็นของน่าฉงน หลายต่อหลายคนได้ลองแล้วก็ไม่วายต้องหลงเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น นั่นเพราะกาแฟมีรสชาติซับซ้อน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเยอะแยะไปหมด ตั้งแต่สายพันธุ์กาแฟ ดิน ฟ้า อากาศ การคั่ว ยันการชง ฯลฯ ด้วยรายละเอียดยิบย่อยชวนค้นหาเหล่านี้ เอาไปเอามา กาแฟเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่หลายคนเลือกจริงจังกับมัน และสังคมกาแฟในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกก็มีความเคลื่อนไหวให้ติดตามอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องราวรอบถ้วยกาแฟที่ช่วยให้เราจิบกาแฟอร่อยขึ้นทุกทีที่อ่านเจอ
รีบนักใช่ไหม ได้!
/ ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านกิมมิคเรื่องอาหารมาแต่ไหนแต่ไร แต่ที่ฮือฮาล่าสุดคงเป็น Snow Brand Coffee Soft ที่เป็นการผสมกาแฟเข้ากับเนยถั่วแบบสเปรด จนกลายเป็นรสชาติใหม่มาแรงในซูเปอร์มาเก็ตแดนปลาดิบระยะนี้ เพราะนอกจากอร่อยแล้ว มันยังอิ่มพอที่จะเป็นอาหารเช้าแบบเร็วๆ สำหรับวัยทำงานได้ด้วย
โปรดักต์ Snow Brand Coffee Soft กระปุกนี้ ถูกออกแบบรสชาติโดยตัวพ่อด้านกาแฟอย่างบริษัท Megmilk Snow ผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปรสชาติถูกใจชาวญี่ปุ่นมานานหลายสิบปี สเปรดกาแฟเนยถั่วแบบนี้เลยได้ใจคอกาแฟไปอย่างไม่ยากเย็น สำคัญสุดคือมันทำให้ ‘ตาสว่าง’ ไม่ต่างจากการดื่มกาแฟเลย เพราะผู้ผลิตหยอดคาเฟอีนใส่ในปริมาณที่เพียงพอต่อการกระตุ้นสมอง (เอาเป็นว่าไม่เสียชื่อบริษัทผลิตกาแฟ) เรียกว่าปาดทีเดียวก็ได้ทั้งครบถ้วนทั้งความอิ่มและคาเฟอีน วิ่งออกไปใช้ชีวิตรีบๆ ได้สบายใจเฉิบ
brexit มา บาริสต้าหดหาย
/ อังกฤษ
หลังผล Brexit ออกมาสั่นสะท้านวงการเมืองและเศรษฐกิจเมืองผู้ดีมาตั้งแต่ปีก่อน คนในวงการกาแฟอังกฤษก็เริ่มเสียวสันหลังด้วยเหมือนกัน เพราะทั้งบาริสต้ามือดีหรือนักคั่วกาแฟมือฉมังที่มาจากชาติอื่นในยุโรปนั้น มีเยอะในระดับที่ว่า ถ้าลากลับบ้านกันหมดแวดวงธุรกิจกาแฟอังกฤษคงสั่นคลอนแน่ๆ ล่าสุดหน่วยงานดูแลผู้อพยพของอังกฤษเลยมีแนวคิดจะออก Barista Visas สำหรับหนุ่มสาวชาวต่างชาติผู้ต้องการมาทำงานในวงการกาแฟอังกฤษ เปิดทางให้สามารถเข้ามาทำงานกันได้ระยะสั้นๆ แต่จำกัดวงอยู่แค่ในร้านอาหารหรือร้านกาแฟเท่านั้นนะ
เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะมีหลายฝ่ายออกมาท้วงกันหนาหูว่าวีซ่าบาริสต้าอาจไม่เวิร์กเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายบาริสต้าหรือนักคั่วกาแฟทั้งหลายก็จะไม่ได้รับสัญชาติอังกฤษไปครองอยู่ดี (แถมยังต้องอยู่ในฐานะผู้อาศัย) วีซ่านี้เลยอาจไม่ดึงดูดหนุ่มสาวชาวยุโรปขนาดนั้น สู้เก็บแรงกลับไปกรุยทางให้วงการกาแฟประเทศตัวเองเจริญเติบโตน่าจะดีกว่า
กาแฟปลุกใจสื่อ
/อเมริกา
เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่นักแสดงระดับเอลิสต์อย่าง Tom Hanks ส่งเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่มาประดับไว้ในห้องพักนักข่าวสายการเมืองที่ทำเนียบขาว โดยครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2004 ขณะเขามาเยี่ยมธรรมเนียมขาวและพบว่าเหล่านักข่าวที่โงนเงนเฝ้ารอเค้นคำตอบจากนักการเมืองทั้งหลายนั้นขาดอะไรไปสักอย่าง… ซึ่งนั่นคือกาแฟดีๆ สักแก้วที่จะทำให้พวกเขาตื่นเต็มตานั่นเอง! แฮงส์เลยควักกระเป๋าซื้อเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติมาวางไว้ในห้องพักนักข่าวซะเลย พร้อมแนบโน้ตสั้นกระชับ “ขอให้พวกคุณสู้เพื่อความจริง ความยุติธรรม อย่างอเมริกันชน” ที่ต่อมาหลายเป็นไวรัลในโลกอินเทอร์เน็ตอยู่พักใหญ่
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้นแฮงส์ก็ส่งเครื่องชงกาแฟรุ่นใหม่มาเปลี่ยนให้อีกครั้งในปี 2010 พร้อมโน้ตใจความเดิมย้ำถึงอุดมการณ์ของสื่อที่เขาอยากเห็น จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกราวสิบปีเศษ กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้แฮงค์ก็ได้ส่งเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติรุ่นใหม่ล่ามูลค่ากว่า 7 หมื่นบาทมาสลับเปลี่ยนให้อีกครั้ง พร้อมโน้ตสั้นใจความเดิม ที่เพิ่มเติมคือความอินในอารมณ์ที่อยากให้นักข่าว ‘ตื่น’ ขึ้นมาช่วยตรวจสอบ ล้วงลึก รวมถึงลบล้างไอเดียแผลงๆ ของมิสเตอร์เพรสซิเดนท์อย่างทรัมป์ให้หมดไปสักที!
เพราะเธอมีอยู่จริง
/เนเธอแลนด์
เคยมีความเชื่อก้อนหนึ่งที่บอกว่า เนเธอแลนด์คือประเทศโซนยุโรปประเทศแรกๆ ที่นำต้นกาแฟเข้ามาปลูกก่อนสายพันธุ์จะกระจายไปยังอีกหลายประเทศรอบข้าง แต่เรื่องพวกนั้นก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน จนเมื่อเร็วๆ นี้นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์เพิ่งค้นพบว่าต้นกาแฟในตำนานนั้นมีอยู่จริง แถมแฝงตัวอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกพวกเขาเท่านั้น!
สวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ใจกลางอัมสเตอร์ดัมอย่าง Hortus คือบ้านของพวกมัน ความประหลาดคือนอกจากภายในสวนจะมีสภาพอากาศแบบเมืองร้อน (Tropical) ซึ่งไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นกาแฟสักเท่าไหร่ มันยังซ่อนตัวอย่างเนียนอยู่กับต้นไม้อื่นชนิดว่าไม่มีใครล่วงรู้มาหลายสิบปี เพราะในอดีต พื้นที่ตรงนี้เป็นสวนสมุนไพรที่หมอทั้งหลายเพาะปลูกไว้ใช้สู้กับกาฬโรค พืชนอกสายตาอย่างกาแฟเลยไม่ได้ถูกจดใส่บันทึกเก็บไว้จนถูกหลงลืมหายไปกับเวลา
แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกมองเห็น แถมนักพฤกษศาสตร์ยังระบุด้วยว่าต้นกาแฟเหล่านี้คือ ‘บรรพบุรุษ’ ของต้นกาแฟทั่วทั้งยุโรปที่เราเห็นอยู่ตอนนี้! (โห) เป็นสายพันธุ์เก๋ากึ้กที่ทำเอาคนในวงการกาแฟตาลุกวาวเมื่อได้ยินข่าว และนี่อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของรสชาติน่าตื่นเต้นใหม่ๆ ให้เราได้ชิมก็เป็นได้
กาแฟไทยจงเจริญ
/ไทยเราเอง
แถมท้ายที่ วงการกาแฟบ้านเราซึ่งมีเรื่องเข้มข้นไม่แพ้กัน เรียกว่าความเคลื่อนไหวของคนกาแฟคึกคักทั้งฝั่งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ต้นน้ำก็ไล่มาตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่กำลังพยายามพัฒนาสายพันธุ์กาแฟให้เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศของบ้านเรา ด้วยการนำเข้าสายพันธุ์กาแฟจากประเทศเขตร้อนไม่ว่าจะบราซิล เคนย่า หรือปานามาเข้ามาเพาะเลี้ยง เพื่อหวังว่ามันจะเติบโตและให้ผลผลิตเป็นเมล็ดกาแฟรสชาติดีมีเอกลักษณ์ในอนาคต (คาดกันว่าน่าจะมีผลลัพธ์ให้เห็นใน 12 ปีข้างหน้า) พร้อมๆ กับพัฒนาความรู้เรื่องกระบวนการผลิตเมล็ดกาแฟ (ตั้งแต่เก็บเมล็ด ล้าง หมัก ตาก จนคั่ว) ส่งต่อให้กับเกษตรกรไว้ใช้พัฒนารสชาติกาแฟด้วยตัวเองต่อในระยะยาว
ส่วนกลางน้ำอย่างโรงคั่วกาแฟ นักคั่วกาแฟ (Roaster) คนคัดเลือกเมล็ดกาแฟส่งขายให้กับร้านกาแฟต่างๆ ก็เริ่มเดินทางไปทำงานกับต้นน้ำและลงลึกกับการเลือกมากขึ้น โดย ลี อายุ จือปา เจ้าของแบรนด์กาแฟอาข่า อ่ามา ผู้มีทั้งร้านกาแฟและโรงคั่วในกำกับบอกเราว่าระยะหลัง ในไทยมีโรงคั่วกาแฟขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเยอะ หมายความว่าธุรกิจกาแฟไทยกำลังวิ่งให้ทันความต้องการของคนกินกาแฟที่ละเมียดกับรสชาติกาแฟกันมากขึ้นทุกวัน ส่วนคนปลายน้ำอย่างบาริสต้า ร้านคาเฟ่ หรือคนกินกาแฟเอง ก็กำลังสนุกกับการหาวิธีชงแปลกๆ สูตรกาแฟใหม่ๆ มาลองชงชิมกัน เพื่อสร้างจุดขายและเติมสีสันให้วงการกาแฟไทยแบบสู้ตาย!
และถ้าว่ากันจากความเคลื่อนไหวในแวดวงเครื่องดื่มรสขมที่เรายกมาเล่า ก็คงพอสรุปอย่างรวบรัดได้ว่า ‘กาแฟ’ เป็นมากกว่าแค่เครื่องดื่มกระตุ้นประสาทมานานแล้ว แต่ก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเป็นความหวังของใครอีกหลายคนในการพัฒนาตัวเอง ต่อยอดธุรกิจ จนถึงพัฒนาสังคม ผ่านรสขมอันน่าค้นหาในถ้วยกาแฟนี่เอง