ไลฟ์สไตล์แบบ digital nomads หรือการ ‘พเนจร’ ไปตามสถานที่ต่างๆ ในโลกเพื่ออยู่อาศัยและทำงาน เติบโตมาพร้อมกับการขยายตัวของสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมเกือบทุกตารางเมตรบนผืนโลก ผู้ประกอบอาชีพอย่างนักพัฒนาเว็บไซต์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ นักการตลาดดิจิทัล บล็อกเกอร์ท่องเที่ยว หรือสายงานใดๆ ก็ตามที่อาศัยเพียงไวไฟแรงๆ ก็ทำงานได้ ต่างหันมาทดลองใช้ชีวิตแบบ digital nomads มากขึ้น
อันที่จริงแล้วกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรของเราก็ติดอันดับ 3 ของเมืองที่เหล่า digital nomads บนเว็บไซต์ nomadlist.com โหวตว่าเป็นเมืองที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบนี้ โดยเกณฑ์ที่ใช้วัดประกอบด้วย ค่าครองชีพ, อุณหภูมิ, ความเร็วของอินเทอร์เน็ต และความปลอดภัย ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเมื่อดูทั้ง 4 ปัจจัยนี้ประกอบกัน กรุงเทพฯ ก็เป็นรองเพียงบูดาเปสต์และเบอร์ลินเท่านั้นเอง
แต่ถ้าคุณเป็นชาวบางกอกเกี้ยนหรือชาวไทยจังหวัดอื่นใดที่เอียนกรุงเทพฯ จนแทบทนไม่ไหวแล้ว และอยากจะลองลิ้มรสวิถีชีวิตเที่ยวไปทำงานไปของเหล่า digital nomads เราไม่มีคำแนะนำอะไรให้ (อ้าว) เชิญไปพิจารณาสถานการณ์ชีวิตของตัวเองว่าสามารถทำได้ไหม แต่เราถือโอกาสนี้รวบรวม 7 co-working space บรรยากาศดีและเน็ตแรงจากทั่วโลกมาไว้ให้เป็นตัวเลือก เผื่อจะได้บังเอิญไปเจอกันที่ไหนสักแห่งน่ะนะ
1. Hubud—บาหลี, อินโดนีเซีย
Hubud เป็น co-working space แห่งแรกของบาหลี และติดอันดับ 1 ใน 10 co-working space ที่น่านั่งทำงานมากที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของ Lonely Planet ซึ่งจะบอกว่าไม่เกินจริงเลย เพราะบ้านทั้งหลังทำมาจากไม้ไผ่ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและอบอุ่น แถมห้องทำงานรวมยังมองออกไปเห็นวิวทุ่งนาเขียวขจีอันแสนสบายตาอีกต่างหาก โดยคุณสามารถใช้ชีวิตอย่าง digital nomad ได้ในราคาเริ่มต้นเดือนละ 20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งมาพร้อมสิทธิในการใช้ห้องทำงานรวม หรือจะเลือกโปรแกรมใหญ่กว่าซึ่งรวมห้องนอน และสิทธิในการใช้สระว่ายน้ำไว้ด้วยก็ยังได้!
2. Dojo—บาหลี, อินโดนีเซีย
ยังอยู่กันต่อในบาหลีเพราะแค่รู้ว่า Dojo อยู่ห่างจากชายหาดไปเพียง 100 เมตรเราก็เห็นภาพตัวเองนอนทำงานอยู่ริมทะเลแล้ว แถมที่นี่ยังมีสระว่ายน้ำให้ด้วย จะเริ่มต้นวันทำงานด้วยการลงไปแช่น้ำให้ชื่นใจก่อนก็ยังได้ โดยราคาต่อเดือนเริ่มต้นที่ 56 เหรียญสหรัฐ ซึ่งมาพร้อมโควต้า 25 ชั่วโมงในการเข้าใช้งาน co-working space ซึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง สิทธิในการเข้าร่วมอีเวนต์ต่างๆ ที่จัดขึ้น แล้วยังมีโควต้าปรินท์งานแถมให้ด้วยจ้า
3. Box Jelly—ฮอนโนลูลู, ฮาวาย
อีกหนึ่งสเปซฟีลทะเล อย่าง Box Jelly ที่เป็น co-working space แห่งแรกและแห่งที่ใหญ่ที่สุดในฮาวาย! แม้การตกแต่งภายในจะไม่ได้สวยฮิปอะไรเป็นพิเศษ แต่จุดขายของที่นี่คือมีร้านกาแฟชื่อดังประจำเกาะอย่าง Morning Glass Coffee และที่สำคัญคือ co-working space แห่งนี้อยู่ห่างจากชายหาดที่ใกล้ที่สุดไปเพียง 1 กิโลเมตรกว่าๆ เท่านั้นเอง ถ้าทำงานจนเหนื่อยก็เดินไปหย่อนใจริมทะเลซักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อก็ยังได้ นี่สิ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัวที่แท้ทรู
4. Surf Office—ยุโรป
ถ้าคุณเป็นเจ้าของเชงเก้นวีซ่า เราขอแนะนำเครือข่าย co-working space ชื่อว่า Surf Office ซึ่งกระจายอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวของยุโรป ไม่ว่าจะเป็นบาร์เซโลน่า ลิสบอน มาเดรา หรือแกรนคานาเรีย โดยมีทั้ง hot desk ให้บริการเป็นรายวัน และแพ็คเกจรายเดือน หรือถ้าอยากยกพวกไปใช้บริการรายเดือนพร้อมให้เขาเตรียมที่พักให้พร้อมสรรพ ก็มีแพ็คเกจใหญ่เป็น company retreat รองรับเหมือนกัน
5. Sun Desk—โมร็อกโก
ถ้าคุณนอนฝันถึงดินแดนทะเลทรายและสถาปัตยกรรมสุดเอ็กโซติก โมร็อกโคน่าจะเป็นจุดหมายที่ใช่ โดย co-working space ที่เด่นดังในหมู่ digital nodmad นั้นมีชื่อว่า Sun Desk ซึ่งอยู่ในเมืองพักผ่อนริมทะเลอย่าง Taghazout สวรรค์ของหนุ่มสาวนักเซิร์ฟ เดย์พาสที่นี่ราคาเริ่มต้นที่ 9 เหรียญสหรัฐเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะมีไวไฟ 10 Mbps แล้วยังมีวิวทะเลสีน้ำเงินสดเป็นของแถม นอกจากนี้ที่นี่ยังมีแพ็คเกจโต๊ะทำงานพร้อมที่พักในราคาเริ่มต้นวันละ 32 เหรียญสหรัฐด้วยนะ
6. Templo—ริโอเดจาเนโร, บราซิล
เมืองหลวงของบราซิลเต็มไปด้วย co-working space จำนวนมาก แต่ที่น่าสนใจโดดเด้งคือ Templo (หรือ Temple ในภาษาอังกฤษนั่นเอง) เพราะประกอบด้วยมุมทำงานทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ มีสระว่ายน้ำให้อีกเช่นเคย โลเคชั่นก็เหมาะเจาะ อยู่ห่างจากหาด Botafogo ไปเพียง 10 กิโลเมตร ถ้าคุณฝันถึงประเทศอเมริกาใต้สุดเอ็กโซติกหรือเทศกาลคาร์นิวัลอันลือลั่น ก็กำเงิน (อย่างน้อย) 170 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (สำหรับค่าเสปซทำงาน) บินไปได้เลย
7. The Network Hub—วิสต์เลอร์, บริติชโคลัมเบีย, แคนาดา
สวรรค์ของคนรักเมืองหนาว โดยวิสต์เลอร์ คือเมืองสกีรีสอร์ตที่ได้รับยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งของโลก เพราะนอกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามของหิมะขาวโพลนแล้ว ที่นี่ยังมี พื้นที่สำหรับเล่นสกีที่ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนืออีกด้วย เพื่อคงคอนเซ็ปต์เที่ยวไปทำงานไป เราแนะนำ co-working space ชื่อ The Network Hub ซึ่งมาพร้อมกับเน็ตความเร็วสูง รวมทั้งบริการแสกนและพิมพ์งาน เสียอย่างเดียวอัตราค่าบริการแรงใช่เล่น เพราะเริ่มต้นที่ชั่วโมงละ 10 เหรียญสหรัฐเชียวล่ะ
อ้างอิง