‘What you’re about to see is real’
คือข้อความแรกที่ปรากฏในเอ็มวีเพลง Obsession เอ็มวีล่าสุดของวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อก—OK Go ที่จับเอาปรินเตอร์ 567 เครื่องมาทำเป็นผนัง และท้าทายขีดจำกัดด้วยการสั่งพิมพ์มันทุกๆ เครื่องพร้อมกันไปเลย จนเกิดเป็นภาพขนาดใหญ่ที่พอเอามาเร่งสปีดแล้วภาพเหล่านั้นก็กลับมีชีวิตขึ้นมาซะอย่างนั้น!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ OK Go เล่นใหญ่ขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาก็สาดความบ้าพลังลงไปในแทบทุกเอ็มวี ด้วยเอกลักษณ์การถ่ายโชว์ยากๆ ในเทคเดียวจบ ไม่ว่าจะเป็นการลอยคว้างอยู่กลางอากาศ จับน้องหมามาเดินไปเดินมาอย่างเป็นระเบียบ สร้างกลไกขนาดยักษ์ขึ้นมาในสตูดิโอ หรือเอารถมาใช้เล่นดนตรีทั้งเพลง จนกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ตั้งแต่ยุคก่อนกาล
แต่ถึงทุกวันนี้จะเพี้ยนขนาดไหน ถ้าหากย้อนเวลากลับไปยัง 15 ปีที่แล้วตอนที่พวกเขาปล่อยอัลบั้มแรกก็คงไม่มีสมาชิกคนไหนทำนายได้ว่าพวกเขาจะมาถึงจุดนี้แน่ๆ
การเดินทางของ OK Go เริ่มต้นอย่างไม่เป็นทางการเมื่อ Damian Kulash ฟรอนต์แมนของวงพบกับ Tim Nordwind เพื่อนสนิทและมือเบสในอนาคต ในแคมป์ศิลปะตอนที่ทั้งสองอายุเพียง 11 ปี ที่นั่น นอกจากเพื่อนและสมาชิกวงในอนาคตแล้ว พวกเขายังบังเอิญพบอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่มอบชื่อ OK Go ให้วงแบบไม่รู้ตัว
คนๆ นั้นคือครูสอนศิลปะหนุ่มชื่อ Kirk ที่มักทำตัวเพี้ยนๆ ระหว่างสอน (ที่เมื่อโตแล้วเด็กทั้งสองถึงเข้าใจเขาเมากัญชาต่างหาก) เดเมียนกับทิมเคยเล่าว่าเคิร์กมักจะมายืนค้ำหัวพวกเขาระหว่างวาดรูปและพึมพำว่า “โอเค.. โอเค.. โอเค โอเค โอเค โก!” ความฮึกเหิมแบบหลุดๆ ทำให้เด็กๆ เอามาล้อเลียนอยู่หลายปี ก่อนจะหยิบมาตั้งเป็นชื่อวงในปี 1998 ซะเลย
มาถึงตอนนี้คงเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะนึกภาพสมาชิกวงทั้ง 4 ยืนเล่นดนตรีแบบปกติชน แต่ OK Go เคยทำแบบนั้นมาแล้วจริงๆ ในช่วงแรกที่ฟอร์มวง ตอนนั้นพวกเขายังเล่นอยู่ตามผับในชิคาโก แชร์เวทีกับเพื่อนๆ นักดนตรี ออกอัลบั้มแรก และทำเอ็มวีแบบคนปกติ และไม่มีใครคิดว่าเอ็มวีง่ายๆ ชิ้นหนึ่งจะเปลี่ยนอนาคตของวงไปตลอดกาล
ในปี 2005 OK Go ปล่อยเอ็มวีเพลง A Million Ways ออกมาในคอนเซปต์ง่ายๆ ว่า OK Go in the backyard, dancing ซึ่งพวกเขาก็ทำอย่างที่พูดนั่นแหละ! ตลอดสามนาทีครึ่งของเอ็มวี ทั้งหมดที่เราจะได้เห็นคือสมาชิกวงในสวนหลังบ้านของเดเมียนเต้นท่าบ๊องๆ ที่ออกแบบโดยพี่สาวของเดเมียนประกอบเพลงมันส์ๆ แบบไร้การตัดต่อใดใด
ที่ตลกกว่าท่าเต้นคือคลิปที่ดูเหมือนถ่ายเล่นกับเพื่อนในสวนหลังบ้าน (จริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น) ดันเป็นที่รักของชาวเน็ตยุคนั้นแบบงงๆ และกลายเป็นจุดสตาร์ทให้ OK Go เล่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงเอ็มวีที่กวาดปรินเตอร์มาหมดร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นแหละ
และต่อจากนี้คือ 5 เอ็มวีบ้าพลังและเล่นใหญ่แบบไม่แคร์เงินทุนของ OK Go ที่ควรค่าแก่การชื่นชมมากๆ!
ถ้าทุกคน OK แล้วละก็… Go!
Here It Goes Again (2006)
ถ้า A Million Ways คือคลิปที่ได้รับความนิยมจากคนดูแบบงงๆ เอ็มวีเพลง Here It Goes Again ที่ปล่อยตามมาหนึ่งปีให้หลังก็คือคลิปที่เป็นปรากฏการณ์อย่างแท้จริง!
เพราะทันทีที่วิดีโอพวกเขาเดินเล่นและเต้นบนลู่วิ่งไฟฟ้าออกสู่สายตาแฟนคลับ คลิปนี้ก็กลายเป็นที่พูดถึงระดับที่ OK Go โดนเรียกว่า ‘the guys from the treadmill video’ ได้รางวัล Most Creative Video ปี 2006 จาก YouTube และ Grammy Award สาขา Best Short Form Music Video ในปี 2007 และ Time Magazine ยกให้เป็น 1 ใน 30 เอ็มวีที่ดีที่สุดตลอดกาล เอ้อ เอากับพี่เขาสิ!
ผ่านไปสี่ปี เอ็มวี Here It Goes Again มียอดวิวถึง 50 ล้านวิว ก่อนจะโดนลบคลิปไปและอัพโหลดใหม่อีกครั้ง ซึ่งคลิปใหม่นี้ก็มียอดวิวถึง 38 ล้านวิว นับรวมๆ แล้วเท่ากับมีคนดูคลิปพวกเขาเดินๆ เต้นๆ อยู่บนลู่วิ่งถึง 88 ล้านครั้ง! เทียบกับ 17 เทคที่เสียไปตอนถ่ายทำและทุนน้อยนิดที่ใช้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม
This Too Shall Pass (2010)
เมื่อโดนถามว่าไอเดียในการทำเอ็มวีเป็นของ OK Go หรือมีคนมาช่วยคิด เดเมียนมักบอกว่ามาจากทั้งสองแบบ เพราะแม้ไอเดียเริ่มแรกจะเป็นของวงก็จริง แต่ในการพัฒนามันพวกเขาก็ต้องการคนมาช่วยอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น Trish Sie พี่สาวของเดเมียนที่มากำกับและออกแบบท่าเต้นเวียร์ดๆ ให้เป็นประจำ หรืออย่างในเอ็มวี This Too Shall Pass นี้ที่พวกเขาได้วิศวกรมาช่วยถึง 12 คน!
อันที่จริงพวกเขาเคยปล่อยเอ็มวี This Too Shall Pass ในเวอร์ชั่นที่พวกเขาสวมชุดวงโยฯ สีม่วงแปร๋นเล่นดนตรีอยู่กับกองฟางกลางทุ่งมาแล้ว แต่เอ็มวีเทคเดียวเวอร์ชั่นที่พวกเขาสร้างเครื่องกลไกประดิษฐ์ Rube Goldberg ขนาดมหึมาและเดินร้องเพลงไปด้วย ที่ปล่อยออกมาสองเดือนหลังก็ได้เป็นปรากฏการณ์อีกครั้ง ดูได้จากยอดวิวอันดับหนึ่งในช่องยูทูปของ OK Go เอง
เดเมียนและทิมเล่าว่าไอเดียของพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากวิศวกร 12 คนที่ช่วยร่างแบบลงบนกระดาษ และใช้เวลาเป็นเดือนๆ สร้างกลไกขึ้นมาในโกดังใหญ่เบิ้ม ก่อนที่วงจะกลับเข้าไปทดลองเครื่องและวางแผนการถ่ายอีกสองอาทิตย์ ถึงอย่างนั้น ตอนถ่ายทำเอ็มวีนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนคลิปเก่าๆ ที่พวกเขาแค่ออกมาเต้นกัน เพราะคราวนี้ กลไกที่สร้างขึ้นบางครั้งก็เจ๊งขึ้นมาซะเฉยๆ ส่วนตากล้องที่ต้องวิ่งถ่ายบางครั้งก็หลบไม่พ้นกลไกและต้องคัตไปก่อนอย่างน่าเสียดาย
แน่ละว่าที่สุดแล้วเอ็มวีนี้ก็ออกมาจนได้ท่ามกลางความดีใจของทุกคน ถามว่าดีใจขนาดไหน ขอให้ลองดูช็อตสุดท้ายในคลิปที่ทีมงานหลายสิบชีวิตเฮขึ้นมาพร้อมกัน ส่วน OK Go น่ะเหรอ? แค่ยืนให้อยู่โดยไม่เป็นลมก็ถือว่าโอเคแล้วจริงๆ
White Knuckles (2010)
White Knuckles อาจไม่ใช่เอ็มวีที่ใช้ทุนเยอะที่สุดหรือสร้างของใหญ่โตขึ้นมาแบบ This Too Shall Pass แต่ในครั้งนี้ OK Go เลือกที่จะเล่นกับหนึ่งในสิ่งที่ควบคุมยากที่สุดในกองถ่าย นั่นก็คือบรรดาหมาๆ ที่พากันมาเดินเข้าเดินออก กระโดด นั่งเฉยๆ เห่า และทำท่าใดใดตามสั่ง โดยที่ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในเทปเดียว แถมยังไม่ผิดคิวสักแอะ ทำเอาคนรักหมาและไม่รักตะลึงไปตามๆ กัน
เอ็มวีนี้กำกับโดย Trish Sie เจ้าเก่าด้วยคอนเซปต์ที่เธออธิบายว่า “หลังจากความสำเร็จใน Here It Goes Again คราวนี้ฉันอยากให้พวกหนุ่มๆ ลองกลายเป็นเครื่องยนต์ที่คอยควบคุมหมาดูบ้าง” และแม้สัตว์ที่พวกเขาจับมาเล่นนั้นจะถูกฝึกมาแล้วจากองค์กร Talented Animals แต่ขนาดโฆษกขององค์กรเองยังบอกว่าเอ็มวีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
แน่ละว่ามันเกิดขึ้น (ไม่งั้นเราคงไม่ได้เห็นมันในยูทูบ) และเกิดขึ้นแบบไร้ข้อผิดพลาด ส่วนความน่ารักยังพุ่งถึงขีดสุดกลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเล่นใหญ่และน่ารักมากกกกกกกก (ลากเสียง) ที่สุดของวง
Needing / Getting (2012)
ครั้งหนึ่งเดเมียนและวงเคยพูดไว้บนเวที TED Talk ว่าในการทำเอ็มวีแต่ละครั้งสิ่งที่พวกเขามองหาคือคำว่า Wonder และ Surprise ซึ่งเอ็มวีเพลงนี้มีให้แบบไม่จำกัดทีเดียว
เพราะแทนที่จะถ่ายทำกันในสตูดิโอแบบครั้งก่อนๆ พวกเขาท้าทายตัวเองอีกครั้งด้วยการลงทุนเซ็ตอัพเครื่องดนตรีตามเส้นทางในพื้นที่รกร้าง ดัดแปลงรถให้มีอุปกรณ์เหมือนแขนกลยื่นออกมาสำหรับตีเครื่องดนตรี และซิ่งรถผ่านเส้นทางที่เซ็ตไว้จนเกิดเป็นเพลง Needing / Getting จนได้ โดยคนขับรถก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเดเมียนที่ต้องร้องเพลงไปด้วย (จะบ้า)
ขั้นตอนการทำก็ละเอียดละออไม่แพ้เอ็มวีอื่น เพราะพวกเขาต้องคำนวนระยะทางที่จะใช้ขับรถกับจังหวะของเพลงที่จะเล่น ทดลองเอาอุปกรณ์ต่างๆ มาเคาะแทนเสียงดนตรี และดัดแปลงรถทั้งคัน แถมเดเมียนก็ต้องไปฝึกขับรถแบบที่สตันต์แมนทำกัน และทำให้เรารู้ว่านอกจากทาเลนต์และลูกบ้าที่พวกเขามีอยู่จนล้น เดเมียนยังขับรถเก่งเป็นบ้าอีกด้วย!
note: เพลง Needing / Getting ยังเคยถูกเอาไปโชว์บนเวทีโดยให้คนดูมีส่วนร่วมในการเล่นเพลงแบบง่ายๆ ออกมาเป็นโชว์ที่โคตรเท่ สามารถเสิร์ชดูได้ในชื่อ Ok Go – Needing/Getting (This American Life – The Invisible Made Visible)
Upside Down & Inside Out (2010)
OK Go กลับมาอีกครั้งในปี 2010 ด้วยการท้าทายขีดจำกัดร่างกายตัวเองในเอ็มวีเพลง Upside Down & Inside Out ที่พวกเขาขึ้นไปลอยคว้างอยู่ในเครื่องบินที่ทำให้เกิดสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงเหมือนอยู่ในอวกาศ และทั้งเต้น หมุนตัว ระเบิดของ และสาดสีไปทั่ว คล้ายกับการเต้นระบำใต้น้ำแต่เป็นเวอร์ชันที่เพี้ยนสุดๆ ไปเลย
เดเมียนมักจะพูดเสมอว่า “พวกเราไม่ได้หาไอเดียแปลกๆ หรอก พวกเราเห็นมันต่างหาก” เอ็มวีทุกชิ้นของพวกเขาจึงต้องเริ่มต้นด้วยการทดลองก่อนจนกว่าจะเจอไอเดีย เช่นในเอ็มวีนี้ที่พวกเขาใช้เงินทุนมากกว่าครึ่งในการทดลองลอยคว้างและสำรวจร่างกายว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้างในสเปซนั้น ซึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดคืออ้วก! เพราะมันช่างน่าเวียนหัวเหลือเกิน (โชคดีที่ยาแก้คลื่นไส้ช่วยให้เอ็มวีนี้รอดปลอดภัยจนได้)
สำหรับเรา เอ็มวี Upside Down & Inside Out ที่ OK Go ทดลองแหวกว่ายในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงคือเอ็มวีที่เก็บความเป็น OK Go ได้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะนี่คืออีกหนึ่งครั้งที่พวกเขาลองทำอะไรเพี้ยนๆ แต่ภาวะของโลกอวกาศยังไม่ต่างอะไรจากความครีเอทีฟแบบสุดทางของวงที่ดูจะขยายขอบเขตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและมีดินแดนใหม่ๆ รอให้ค้นพบในอนาคตเสมอ
เมื่อพูดถึงอนาคตแล้ว แอนดี้ มือกีตาร์ของวงเคยบอกไว้ว่า “ไม่รู้สิ อีกสิบปีข้างหน้าผมอาจจะไม่เชื่อว่าพวกเราเคยทำเอ็มวีพวกนี้ขึ้นมาก็ได้ ไม่ใช่ไม่เชื่อว่าพวกเราทำมันออกมาได้นะ แต่เป็นการไม่เชื่อว่าเราเคยทำมันขึ้นมาจริงๆ เลย แต่ก็นะ ใครจะไปรู้ว่า OK Go จะทำอะไรอีกในสิบปีข้างหน้ากันล่ะ”
เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในอีกสิบปีพวกเขาจะทำอะไรกันอีก แต่ที่แน่ๆ คือเราเชื่อว่าพวกเขาเคยสร้างเอ็มวีบ้าๆ ขึ้นมาจริงๆ และเราเองก็หลงรักโลกอวกาศที่พวกเขาออกสำรวจอย่างสุดใจ
ที่มา