เพียงแค่เดินเข้าไปในอาณาบริเวณ กลิ่นเครื่องหอมนานาชนิดก็ลอยมากระทบนาสิกประสาท ดึงดูดเราให้เดินเข้าไปสัมผัสโลกเร้นลับหลังบานประตูกระจกอย่างไม่สามารถต้านทานได้
เทียนหอม ดิฟฟิวเซอร์ รูมสเปรย์ ถุงหอม—เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของแบรนด์เครื่องหอม Karmakamet ที่ครองใจใครหลายคนนับตั้งแต่เปิดสาขาแรกที่ตลาดนัดสวนจตุจักร จนเริ่มก่อร่างสร้างร้านในเครืออย่าง Karmakamet Diner ร้านอาหารแสนสงบที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางความพลุกพล่านของสุขุมวิท
รวมถึง Everyday Karmakamet คาเฟ่และไลฟ์สไตล์ช็อปที่มัดใจผู้คนด้วยสินค้าเรียบง่ายที่สะท้อนแนวคิด ‘ชีวิตที่ฉันรัก’ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าโท้ทหลากสีพร้อมสโลแกนสั้นแต่จับใจ ไปจนถึงหมวกสแน็ปแบ็ค รวมทั้งไลน์สินค้าใหม่ล่าสุดอย่าง ‘Make Love, Not War’ เสื้อผ้าคอลเล็กชั่นแรกในนาม Everyday Wear และคอลเล็กชั่นที่สองที่จะโชว์ใน Elle fashion week ปีที่ 19 ที่จะถึงนี้
อาณาจักรขนาดย่อมแห่งนี้ทรงเสน่ห์ภายใต้พลังสร้างสรรค์ของ เอท-ณัทธร รักษ์ชนะ ผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์ผู้ดูแลงานสร้างสรรค์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเครือ Karmakamet บ่ายแก่ของวันหนึ่งเราขอเข้าไปคุยกับเขาใน ‘พื้นที่ใหม่’ ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อหลีกหนีและต่อสู้กับระบบเดิมๆ ที่หมุนโลกของเราไปโดยที่คนจำนวนหนึ่งไม่รู้ตัว
และต่อไปนี้คือเรื่องเล่ารุ่มรวยกลิ่นหอม ที่แฝงไปด้วยพลังใจแรงกล้าที่สั่นคลอนความคิดเกี่ยวกับชีวิตของเราได้อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
Life MATTERs : อะไรคือแรงบันดาลใจในการก่อตั้งแบรนด์
เอท : จริงๆ ตอนนั้นมันไม่ได้เรียกว่าแรงบันดาลใจนะ ตอนนั้นเราแค่เอาตัวรอด คือเราเรียนจบ fine art มา ต่อด้วย interior design แล้วจึงมาทำงาน interior ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าเราทำงานในระบบแบบนั้นไม่ได้ ตอนเรียน fine art มันสอนให้เราคิดฝันและจินตนาการ มันสอนให้เรารู้จักถามตอบค้นหาอุดมคติของตัวเอง และทำให้เราสามารถนำนามธรรมนั้นๆ ที่ซ่อนอยู่ข้างในให้มันปรากฏออกมาเป็นภาพเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้
แต่พอทำงานมันไม่เป็นแบบนั้นเลย เวลาทำงาน interior design ชิ้นหนึ่งมันมีเงื่อนไขเยอะแยะมากมาย เช่น ความต้องการของลูกค้า ซึ่งบางครั้งเขาไม่ทราบว่าสิ่งที่เขาต้องการมันไม่สามารถเคลื่อนได้ในชีวิตเขา นั่นเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเราเคารพนะ แต่สมมติเราทำให้มันเคลื่อนได้ มันก็จะมีเจ้านายมาบอกว่า ไม่ใช่ สไตล์นี้ไม่ใช่สไตล์ของออฟฟิศเรา แทนที่เราจะรับใช้ลูกค้าคนเดียว เราต้องรับใช้ความคิดที่พ่ายแพ้ระบบของเจ้านายด้วย มันพัวพันกันไปแบบนี้ ไหนจะประสิทธิภาพของผู้รับเหมาและอื่นๆ ที่เป็นตัวแปรอีกมากมาย
เราไม่สามารถทำงานแบบนี้ได้ เราไม่ถูกเติมเต็มกับรูปแบบการจัดการเชิงระบบที่เป็นอยู่ เรารู้สึกว่าโลกของการทำงานมันเคลื่อนไปด้วยเงิน คำตอบของมันมีอันเดียวคือ ทำอย่างไรให้ได้เงินง่ายที่สุดไวที่สุด แล้วมันไม่ซัพพอร์ตความสร้างสรรค์จริงๆ ไม่ได้ซัพพอร์ตความเป็นมนุษย์ข้างในเลย ณ วันนั้นเรารู้สึกว่าบางอย่างในตัวเรามันไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกที่เป็นอยู่ได้อย่างปกติสุข แล้วเราจะทำอย่างไรให้ตัวเองรอด เป้าหมายของเราจริงๆ คือต้องการความความสงบสุขนะ เราแค่ต้องการพื้นที่เล็กๆ ให้เราอยู่ได้ในโลกใบนี้ มีเงินกินมีเงินอยู่ แล้วก็แก่ตายจบช่วงเวลาชีวิตของเราไป
Life MATTERs : ซึ่งวิธีรอดนั้นคือ
เอท : จริงๆ ตอนแรกเรายังไม่ได้จะเปิดร้าน Karmakamet นะ เราหนีจากงานหนึ่งไปสู่งานหนึ่งจนกระทั่งได้เงินจากการทำสไตล์ลิสต์ให้ภาพยนตร์เรื่อง องคุลีมาล แล้วได้รางวัลยอดเยี่ยม ตอนแรกก็คิดว่าจะเอาเงินนั้นเป็นทุนไปอยู่กับเพื่อนที่อินเดีย เพื่อนซึ่งตอนนี้เป็นเชฟประจำที่ Karmakamet Diner เพราะตอนแรกเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตแบบที่เราเชื่อในพื้นที่นี้ได้อย่างไร ก็เลยคิดว่างั้นไปอยู่ที่ดาร์จีลิงดีกว่า แต่พอดีมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อคุณสมมาตร(หนึ่งในหุ้นส่วนปัจจุบัน) เขาบอกเราว่า มึงจะหนีไปทำไม มึงหนีไปสุดท้ายก็ต้องกลับมาสู้ใหม่อยู่ดี ทำไมไม่สู้ตั้งแต่ตอนนี้ไปเลย เราฟังแล้วก็คิดว่า เออ จริงของมันเนอะ
Life MATTERs : แล้วทำไมถึงเลือกเปิดร้านเครื่องหอม
เอท : ตอนที่คิดจะหนี เราก็กลับไปบ้านที่นราธิวาส ไปเจอกระดานชนวนสำหรับคลึงธูป ครอบครัวเราเป็นครอบครัวทำยาจีนทำธูป เขามีความรู้เรื่องธูปเรื่องไม้หอม เลยตัดสินใจปักหลักเริ่มทำเครื่องหอม Karmakamet ซึ่งมาจากชื่อธูป Karma ของครอบครัว แล้วเราเติม Kamet เข้าไปข้างหลัง แล้วก็ใส่สร้อยเข้าไปว่า Secret World ซึ่งก็คือพื้นที่อันสงบสุขของเรานั่นแหละ โลกที่เราเป็นอิสระจากทุกสิ่ง มันก็เลยกลายเป็น Karmakamet Secret World ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
Life MATTERs : เรียกได้ว่าอดีตมีความผูกพันกับเครื่องหอมอยู่แล้ว
เอท : ใช่ เป็นความผูกพันโดยไม่รู้ตัว มันเป็นตัวตนของเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทั้งที่ตอนเด็กๆ ไม่เคยช่วยทำเลย เป็นเด็กเกเร แต่ตื่นมาเราก็ได้กลิ่นอวลอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นไม้กฤษณา เพราะทางใต้มีเยอะ เรามาค้นพบตัวตนนี้อีกทีก็ตอนที่เราสามารถจำแนกแยกแยะกลิ่นได้ดี
Life MATTERs : คนส่วนใหญ่จะรู้เรื่องตอนที่คุณประสบความสำเร็จแล้ว แต่เดาว่าคุณย่อมผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาบ้าง
เอท : มันผ่านอะไรมาเยอะนะ แต่เราว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ผ่านทั้งหมดมาได้คือการสู้และรู้จักให้อภัยกับตนเอง อันนี้สำคัญมากเพราะระหว่างที่เราเริ่มต้นร้านเล็กๆ ที่นั่น เราอายุ 28 เราไม่รู้อะไรเลย แค่อยากจะเอาตัวรอด แล้วใช้เงินทั้งชีวิตที่มีทุ่มลงไป เราต้องสู้ตัวเองในแง่ที่ว่า ถ้าทุ่มลงไปแล้วมันเจ๊งจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนั้น และเราจะเสียความเคารพในตนเองไหมอันนี้สำคัญมากสำหรับคนที่สร้างตนเองมาจาก อีโก้ และความกลัว
จำได้ว่า 8 เดือนแรกที่เปิด ขายได้แค่เดือนละ 12,000 เท่ากับค่าเช่าพอดี แปลว่า 8 เดือนนี้เจ๊งกระหน่ำ ระหว่างนั้นก็จน มีเงินใช้เดือนละ 2-3 พัน แบ่งกันใช้กับหุ้นส่วนคือคุณสมมาตร เราต้องสู้กับตัวเอง คือต้องสู้ที่จะเชื่อว่า สิ่งที่เราเชื่อและคิดฝันนั้นมีอยู่จริง มันจะเกิดขึ้นได้จริง เราก็ทำไปเรื่อยๆ จนเดือนหนึ่ง ของล็อตใหม่ที่เราทำก็ออกมา มันขายดีมาก วันแรกที่วางขายก็ได้ 8 หมื่นเลย มันทำให้เราเห็นว่า ที่เราต่อสู้กับตัวเองมา ในที่สุดสิ่งที่เราเชื่อมันเริ่มเกิดขึ้นจริงแล้ว มันทำให้เรามั่นใจขึ้นเรื่อยๆ และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่สักพักเรากลับพบว่า เราหนีไม่พ้นระบบบางอย่าง เราก็เลยต้องชนกับมัน ต้องสู้กับระบบ
อีกอย่างคำว่าประสบความสำเร็จนี่ก็เป็นสิ่งที่ให้ความหมายค่องข้างกำกวม สำหรับเราความสำเร็จเนี่ยไม่เกี่ยวกับการให้คุณค่าจากโลกข้างนอกเท่าไหร่นะ เราว่าความสำเร็จหมายถึงการได้ บรรลุ พันธกิจ เชิงจิตวิญญาณส่วนบุคคลที่เรามีพันธะไว้ต่อชีวิตเรามากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงถ้าเราเปิดร้านขายผัดไทยแล้วมันทำให้เรารู้สึกว่า เราหมดหน้าที่ในโลกนี่แล้ว นั่นก็คือความสำเร็จในความหมายแบบเรานะ
เราว่าคำว่า “ความสำเร็จ” นี่เป็นมายาคติ ที่ระบบทุนออกแบบมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ กล่อมประสาท ผู้คนให้พ่ายแพ้ต่อเกมเงินตรา ที่พวกเขาเป็นเจ้ามือเสียมากกว่า
Life MATTERs : ระบบที่สู้นั้นคืออะไร
เอท : ระบบการค้าสมัยใหม่ ระบบธุรกิจ อย่างเช่นการออกแฟร์ แล้วคนก็ไปเปิดร้านในแฟร์ มีครั้งหนึ่งเราไปดูแฟร์ แล้วพบว่ามีคนเอาตอไม้มาขาย สูงประมาณ 60 เซนติเมตร เขาขายยกคอนเทนเนอร์ชิ้นละ 500 บาท เราเลยรู้สึกว่าระบบการออกแฟร์มันไม่ใช่เวย์ที่ยั่งยืนเหมาะกับเรา เราก็สรุปว่า Karmakamet จะไม่ออกแฟร์ เราไม่เคยออกแฟร์ และไม่เคยมี kiosk (ร้านย่อย) เล็กๆ ด้วย เรายืนกระต่ายขาเดียวว่าเราจะไม่ทำแบบนั้น ร้านของเราต้องยืนให้กับคนไทย ยืนให้กับรากฐานและประวัติศาสตร์ของเราและเราจะสะท้อนมันผ่าน Flagship store เสมอ
นอกจากนั้นเราจะไม่ไปอยู่ในระบบการให้คุณค่าของสมาคม ชมรมใดๆ เราจะไม่อยู่ด้วย เพราะเราไม่ศรัทธาในสิ่งเหล่านี้ การร่วมกันสร้างสิ่งดีงามเหล่านั้นเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่ง แต่จริงๆ ผู้คนเหล่านั้นต้องการแค่คอนเนกชั่น เพื่อทำให้เกิดเงิน มันเคลื่อนไปเพื่อความร่ำรวยส่วนบุคคลซึ่งเป็นเสาเล็กๆ ที่ค้ำยันระบบทุนขนาดใหญ่แทบทั้งสิ้น ซึ่งเราไม่ชอบแบบนี้ เราเชื่อว่ามันมีวิถีทางอื่น แล้วเราเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้หวังรวย เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเบนซ์สักคัน หรือเพื่อบ้านหลังใหญ่กว่านี้อีก ไม่เลย เราแค่ชอบชีวิตที่มันเรียบง่ายเหมือนวัยเด็กของเรา เราเลยไม่มีเหตุผลที่ต้องดิ้นไปหาความร่ำรวย ความโลภไม่สามารถใช้เราได้ แต่ถ้าเราต้องการหาเงิน เราจะใช้เครื่องมืออื่นด้วยตัวเอง ถ้าเราสนิทกันนะ คุณจะเข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตเราเรียบง่ายอย่างยิ่งเลย
Life MATTERs : ความเชื่อเหล่านี้มันสะท้อนผ่าน Karmakamet อย่างไร
เอท : ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ Karmakamet เป็นองค์กรที่ไม่มีหนี้ เราไม่เคยทำงานจากเงินกู้เลย เงินทุกบาทที่เกิดเป็นร้านใหม่ๆ หรือโปรเจ็กใหม่ๆ มันมาจากการทำงานของพวกเราทั้งนั้น
Life MATTERs : อะไรที่ทำให้คุณเชื่อมั่นและสามารถแข็งกร้าวกับระบบได้แบบนี้
เอท : กลับไปที่จุดแรกที่เราไม่มีอะไรเลย แล้วเราต้องเปิดร้าน เหมือนว่าชีวิตเราต้องเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อนจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ถ้าเบอร์หนึ่งไม่เกิดเราจะไปไม่ถึงเบอร์สิบ เพราะฉะนั้นความเชื่อมั่น ความศรัทธามันเป็นสิ่งที่ต้องสร้างเสริมเองทีละนิด ถ้ามัวนั่งคิดแต่ไม่ทำอะไรเลย มันไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ คุณต้องเริ่มทีละนิด เหมือนเวลาเรียนดนตรี แรกๆ มันก็ต้องคิดว่าสายไหนเป็นสายไหน หลังๆ พอเราเริ่มชินมันก็กลายเป็นทักษะ มันจะไปทีละโน้ต ชีวิตมันก็เป็นอย่างนั้นและอีกอย่างที่สำคัญเลย คือถ้าคุณไม่มีหนี้ นั่นเลยทำให้คุณไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องทำอะไรเฆี่ยนตีตัวเองและทีมของคุณ เพื่อมาจ่ายดอกเบี้ยและที่สำคัญคือต้องทำอะไรที่คุณไม่เชื่อไม่ศรัทธามัน
Life MATTERs : ตัวตนของคุณถ่ายทอดมาเป็นตัวตนของ Karmakamet มากน้อยแค่ไหน
เอท : เราเป็นคนหนึ่งที่แตกหักในชีวิต ตั้งแต่อายุสิบกว่าปี เราอยู่คนเดียวมาตลอด เราไม่เคยอยู่กับใคร ไม่ได้แตกหักเพราะพ่อไม่รัก แต่ว่าเราโดนให้มาอยู่คนเดียว เด็กพวกนี้มันมีวิธีเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าด้วยความกลัวและสร้างอีโก้มาเป็นเครื่องมือ ซึ่งอีโก้มันที่มีดีตรงที่มันก็สร้างประสิทธิผลบ้าง บางครั้งอีโก้ที่เรามีก็เกิดเป็นงานที่ดี เกิดเป็นความสำเร็จแบบที่สังคมทั่วไปให้คุณค่า แต่ลึกๆ เข้าไปข้างใน ระหว่างที่เราเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยอีโก้ มันก็เกิดการทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อยๆคือบางทีมันก็ทำให้เราเชื่อมั่นในวิธีการเฆี่ยนตี แบบที่ได้รับการให้คุณค่ามาจากสังคม แต่มันมีบางช่วงที่ชีวิตพังทลาย แตกหักอยู่ข้างใน งานออกมาดีแต่เรากลับรู้สึกโดดเดี่ยวไม่มีใครเคียงข้างแบบนั้น
จนวันหนึ่งเรามีปัญหากับหุ้นส่วนชุดเก่าที่เคยเข้ามาร่วมด้วยช่วงหนึ่ง จนแตกหัก อีโก้ที่เราเคยคิดว่าเอามาใช้เป็นประสิทธิผลในการสร้างชีวิตมันก็พังไป เราก็เละมากเลยไปเรียนธรรมะ เข้าสู่การดูจิตดูกายตัวเอง เราได้เห็นตัวเอง เห็นความเลวร้าย เห็นกิเลสของตัวเอง จนเรารู้วิธีชำระตัวเองให้เติบโตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ซึ่งก็คือการทลายความยึดถือทั้งหมด ละอีโก้และทำลายมุมมองของตัวเองที่เคยมี มุมมองที่เคยทำให้เราตัดสินเฆี่ยนตีสิ่งต่างๆ ว่าดีไม่ดี สวยไม่สวย ซึ่งมันทำให้มุมมองต่างๆของเราคับแคบลง
เราทำงานผ่านธรรมะและเรียนรู้ตัวเองมา 4-5 ปีแล้ว ในที่สุดมันปรากฏพื้นที่ใหม่ที่มหัศจรรย์มาก เราอาจเคยคิดว่าโลกที่อาศัยอยู่นี้มันยิ่งใหญ่มากและมีอิทธิพลครอบงำเรา แต่เมื่อเราเรียนธรรมะและเรียนรู้ตัวเองมากๆ เราจะพบว่า โลกที่เราอาศัยมันเป็นเพียงโลกแค่รูปแบบหนึ่ง จริงๆ แล้วมันมีโลกใบอื่นๆ
แบบอื่นๆ และมีอีกใบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น สวยงามกว่านั้น และมันสร้างการเป็นของเราใหม่ มันจัดระเบียบความคิด รีเซ็ตความเป็นเราใหม่ จนทำให้เราเชื่อมต่อกับต้นเหตุของความสุขซึ่งก็คือผู้คนได้อย่างงดงาม
Karmakamet อันเก่าที่เราใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก มันเคยใช้ได้ผลมาตลอด จนวันหนึ่งมันพังทลายอย่างที่เล่าให้ฟัง เราเลยพยายามเรียนรู้ธรรมะ เรียนรู้ตัวเอง จนเมื่อเราเข้าใจแล้วมันเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเนื้อหาใหม่ของ Karmakamet ในช่วงหลังทั้งหมด เราอยากพาผู้คนไปสู่พื้นที่ใหม่ที่มันยอดเยี่ยมกว่าเดิม พื้นที่แห่งความเป็นอิสระ ความว่างเปล่า และความสงบสุขข้างใน
เราเคยเป็นคนๆ หนึ่งที่กล่าวโทษ เฆี่ยนตีผู้คนรอบข้างเพื่อปกป้องความกลัวของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะทำสินค้าแบบนี้ออกมาขาย ด้วยความที่เราศึกษามาเยอะ เรามั่นใจ ถ้ามีใครมาเถียง เราจะด่าแบบมึงกลับบ้านร้องไห้กันหมด แต่วันนี้เราไม่เป็นแบบนั้น เราเอาความคิดเห็นของพวกเขาไปทำงานต่อ แล้วมันดีขึ้นกว่าเดิมขึ้นไปอีก เราก็เริ่มใช้วิธีนี้เรื่อยๆ กับผู้คนรอบข้าง มันปรากฏพื้นที่ใหม่ในชีวิตเรา และในชีวิตเขา เขามีที่ยืน มีความสุข และมีคุณค่า ในขณะเดียวกันเราก็ได้รับความสุขและคุณค่านั้นกลับมาเหมือนกัน มันจึงทำให้เราได้แรงบันดาลใจใหม่ที่จะทำให้ Karmakamet เป็นองค์กรที่ตั้งมั่นจะสร้างพื้นที่ที่อันสมบูรณ์ สงบสุข และไม่มีอะไรขาดหายให้แก่สังคม
Life MATTERs : คุณนำปรัชญาตรงนี้มาถ่ายทอดผ่าน Karmakamet และ Everyday Karmakamet ได้อย่างไร
เอท : สิ่งที่เรามุ่งมั่นคือ Karmakamet และ Everyday Karmakamet จะเป็นปัจจัย 4 อย่างเครื่องหอมมันก็คือยาอย่างหนึ่ง แล้วเราก็มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม ส่วนที่อยู่อาศัยก็คือของแต่งบ้านซึ่งเป็นสินค้าใหม่ที่จะทยอยออกมา จริงๆ ความคิดทั้งหมดมันก็ยังไม่เคลียร์ที่สุด แต่เราก็พอรู้แล้วว่าจะเดินไปทางไหน เพราะเป้าหมายเรามีอย่างเดียว คือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลือผู้คน พาเขาไปสู่พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจที่หลบซ่อนอยู่ในชีวิตของเขาเอง เราจะพยายามช่วยเขาเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับชีวิตผู้คน
อย่าง Karmakamet จะทำงานกับพื้นที่ข้างในส่วนบุคคล กับตัวเขาเอง ฉันกับฉัน ฉันกับมุมมองที่ฉันยึดถือ ฉันมีหน้าที่ทำลายมุมมองที่ฉันสร้างขึ้นจากประสบการณ์ที่มันพังทลายในวัยเด็กหรืออะไรก็ตาม สู่ภาวะที่อิสระเสรี เพราะเมื่อไม่มีมุมมองก็ไม่มีการตัดสิน เราถึงจะมีอิสระทั้งจากตัวเองและจากสิ่งอื่น และที่สำคัญคือการตัดสินคนอื่น
ส่วน Everyday Karmakamet ทำงานกับพื้นที่ข้างนอก กับผู้คน มันสร้างการเชื่อมต่อกับผู้คน แนวคิดของมันคือ ‘I love my life’ หรือ ‘ชีวิตที่ฉันรัก’ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ฉัน แต่มันคือทั้งหมด อะไรก็ตามที่เป็นชีวิต รวมถึงผู้คนรอบตัวด้วย ถ้าดูดีๆ จะมีไอคอน 2 อัน คือ Mr.Brightside เป็นหน้ายิ้มสื่อถึงการมองโลกในแง่บวก และหัวใจก็คือความรัก แล้วกำลังจะออกอันใหม่เป็นสายรุ้งคือ Unity คือความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด ไม่มีเพศ ไม่มีฐานะ ไม่มีเธอหรือฉัน มีเพียงแต่เรา
พูดให้เห็นภาพคือ Karmakamet คือเรื่องข้างใน Everyday Karmakamet คือเรื่องข้างนอก Karmakamet คือพื้นที่ว่างเพื่อให้เราเป็นอิสระจากทั้งหมด และไปสู่สภาวะที่มีความสุขสงบอย่างเต็มเปี่ยม ภาวะที่สงบสุขอยู่ข้างใน ยกตัวอย่างเช่น เราทำความสะอาดบ้าน บ้านสะอาดมาก แล้วเรารู้สึกสงบสุข ไว้วางใจสิ่งที่เรียกว่าชีวิต จนสามารถนอนเอาหน้าแนบพื้นเย็นๆ ในพื้นห้องครัวแล้วสัมผัสถึงความคอมพลีตสมบูรณ์ภายในใจเราเอง มันไม่เกี่ยวกับโลกข้างนอกเลย มันเกี่ยวกับข้างในของเขาเอง
ส่วน Everyday Karmakamet คือพื้นที่เพื่อให้เราสามารถเคลื่อนไปในชีวิตอย่างมีความสุข ภาวะยอดเยี่ยมของมันคือการนั่งอยู่กับผู้คนทั้งหมด แล้วเชื่อมต่อหากันได้ เรามองตากัน แบบที่ไม่ต้องหลบสายตากัน เราแตะมือกันแล้วเรารู้สึกว่ามันอุ่นหัวใจมีพลังแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจที่ถ่ายทอดไปหากัน แล้วเรามีใครสักคนที่รู้ว่าเขายืนอยู่ข้างเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลกวุ่นวายนี้ แล้วเราก็ยืนอยู่ข้างเขาเช่นกัน
Life MATTERs : โลกที่ Karmakamet อยากมีส่วนร่วมในการสร้างเป็นแบบไหน
เอท : อะไรที่ทำให้ผู้คนมีความสุขสงบ โดยทั่วไปสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและพังทลายมักจะเป็น ผู้คน เราอาจจะร่ำรวยมาก แต่ผู้คนอาจปรากฏในความคิดเรา ในแบบที่ทำให้เราเจ็บแค้น เช่นแม่ทิ้งเราตอนเด็ก แล้วมันก็แอบอยู่ข้างในเรา สิ่งนี้มันกลายมาเป็นมุมมองและบุคลิกภาพของเรา กลายเป็นตัวตนกลายเป็น การตัดสิน กล่าวโทษ ซึ่งก็ไปขับเคลื่อนสิ่งอื่นรอบข้างอีกเป็นทอดๆ เราอยากช่วยให้ผู้คนมีเวลาระลึก พิจารณา และแยกแยะสิ่งเหล่านี้ในชีวิตเขาเอง เพื่อให้มัน คอมพลีทสมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งหมดในชีวิตของเขาอีกที เราคิดว่าเวลาที่เราใช้เครื่องหอมซึ่งเรามักจะใช้คนเดียวหรือกับคนพิเศษนั้นจะทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับ คำถาม และคำตอบ ต่อชีวิตเขาในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลดีต่ออนาคตเขาได้มากขึ้นเป็นต้น
แต่ถ้าเรามองให้ลึกกว่านั้น เราจะพบว่าสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งแท้จริงคือความรัก เราเชื่อว่าผู้คนมากมายโตขึ้นมาโดยไม่มีความรักต่อกันที่ประสบความสำเร็จ เพราะความรักของเรามักมาจากพื้นฐานของความกลัว ซึ่งโดนแปลงรูปแบบแล้วเรียกชื่อใหม่ว่าความรักในอีกความหมายเทียมๆ แบบหนึ่ง มันเป็นความรักแบบที่ “โลกที่เราอาศัยอยู่” ใช้กันอยู่ และเราไม่เชื่อแบบนั้น แต่สิ่งที่เราเชื่อคือ ความรักนั้นไม่ใช่ของอัตโนมัติ ถ้าเราต้องการความรัก เราต้องสร้าง ในเมื่อเราเป็นผู้ที่ร้องขอต้องการแล้วทำไมเราถึงมักจะคาดหวังให้ผู้อื่น สร้างให้เราก่อน แล้วถ้าจะสร้างให้มันมีประสิทธิผล เราต้องสร้างด้วยหัวใจ จริงใจกับตนเองก่อนด้วยการเริ่มต้นทำลายอีโก้ของตนก่อนเลย และความรักนี่เป็นของที่ไม่มีวันหมด กว้างใหญ่ไพศาล ทรงพลัง เมื่อเราสร้างให้เขา เขาก็สร้างให้เรากลับมาเป็นวัฏจักรที่เคลื่อนไปด้วยกัน และพื้นที่อันนี้มันจะเริ่มต้นมาจากที่เรายอมออกจากความกลัวก่อน คือยอมรับก่อนว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ และเข้าใจ รวมถึงรื้อสร้างมันใหม่ แล้วมันถึงจะเริ่มต้นสร้างความรักที่ไร้เงื่อนไขได้
โลกของ Karmakamet เป็นโลกที่มีแต่ความรัก เราพูดแบบนี้มันดูเป็นพวกโลกสวยมาก แต่เราพยายามทำด้วยตัวเองจริงๆ แล้วมันก็ปรากฎขึ้มมาเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา และก็พูดได้เต็มปากว่า เรารักคนที่อยู่รอบตัวเรา แล้วเขาก็รักเรา มันคือการที่ใครสักคนรักเราโดยที่เราและเขาไม่ต้องเป็นอะไรๆ เลย เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งจริงๆ ความรักถ้าเราไปถึงจุดที่สัมผัสได้จริงๆ เราจะรู้ว่า การรักพ่อแม่ เพื่อน แฟน มันเป็นพื้นที่เดียวกันหมดเลย คือความอิสระ กว้างใหญ่ ไม่ยึดถือ ไม่ตัดสิน เป็นพื้นที่แบบนั้น เราใช้สิ่งนี้กับตัวเองซ้ำๆ มาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว จนโลกเราเปลี่ยน ชีวิตเราก็เปลี่ยน เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้ได้เงินมาอีกแล้ว เพราะตรงนั้นมันไม่ได้มีคุณค่าเติมเต็มกับเราเท่ากับความอิ่มใจที่ได้รับอยู่ เราก็เต็มอิ่มกับมันแล้ว เราเลยคาดหวังนิดๆ ว่าสิ่งที่เราทำมันทำให้สังคมเปลี่ยนได้บ้างไม่มากก็น้อย
เราแค่คิดว่าโลกนี้เป็นละครโรงใหญ่ เราเกิดขึ้นมาในฉากไหนสักฉากที่เราเคยมีความสำคัญและเมื่อฉากนั้นจบไป เราก็เริ่มที่จะหงุดหงิดหัวเสียกับฉากอื่นๆ บทอื่นๆ และละครเรื่องอื่น เรายึดถือ ให้คุณค่า และตัดสิน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโรงละครจนบางครั้งเราก็ถึงขั้นยุยงให้เกิดการทำลายล้างกัน และเราก็เย่อหยิ่งจองหองใส่ทุกสิ่ง เวลาผ่านไปจนเมื่อรถเข็นศพกำลังเข็นเราออกไปฝังนอกโรงละครนั่นละ เราจึงได้รู้ ได้สำนึก จริงๆ ว่าทั้งหมดที่เราบ้าบอจะเป็นจะตายนั้น มันก็แค่โรงละครโรงหนึ่ง โลก มันยังมีอะไรๆ ข้างนอกในแบบอื่นๆ อีกมากมาย และกว่าจะรู้ ชีวิตก็ไม่เหลือเวลาสำหรับแก้ไขอะไรๆ อีกต่อไปแล้ว
สำหรับเรา ทั้งหมดที่ทำนั่นเพราะเราคิดว่าไม่อยากให้ชีวิตเราเป็นแบบนั้นแค่นั้นเอง
Photos by Adidet Chaiwattanakul