กว่าสามปีแล้วที่นักฟังเพลงชาวไทยได้รู้จักเสียงอันเย็นสดชื่นของ พาย—กัญญภัค วุธรา และซาวด์ดนตรีกลิ่นอายโฟล์กของผองเพื่อนแห่งวง My Life As Ali Thomas
หลังจากทยอยปล่อยซิงเกิ้ลที่น่าจดจำอย่าง Daugther and Son, Winter’s Love, Cordelia และ Kiss ในที่สุด My Life As Ali Thomas ก็ปล่อยอัลบั้มเต็มที่แฟนๆ เฝ้าคอยอย่าง Paper ออกมาในปี 2559 ซึ่งช่วยส่องไฟให้เส้นทางดนตรีเบื้องหน้าพวกเขาชัดเจนและสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
ทว่าการเคลื่อนไหวล่าสุดของนักร้องนำและนักแต่งเพลงประจำวงอย่างพายออกจะเป็นอะไรที่ผิดคาดไม่น้อย เพราะเธอไปปรากฏตัวใน Die Tomorrow ภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่ 5 ของ เต๋อ—นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
จริงๆ แค่ได้ยินว่าพายไปแสดงหนังเราก็แปลกใจแล้ว แต่พอได้ยินว่าเธอรับบทเป็น ‘ตัวเอง’ เราก็ยิ่งสนใจ ว่าแล้วจึงถือโอกาสนี้ชักชวนนักร้องสาวมาพูดคุยเกี่ยวกับ ‘ตัวเอง’ ในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่การเริ่มต้นเล่นดนตรี การแต่งเพลง (และเราก็ได้ค้นพบว่าเธอชอบนั่งแต่งในห้องน้ำ!) รวมถึงการปรับจูนความถี่ทางดนตรีกับเพื่อนๆ ในวง และการแสดงเป็นตัวเองในสถานการณ์สมมติ
กับอีกข้อ ที่ว่าไปแล้วก็ขาดไม่ได้นั่นคือ ‘ความผัว’ ที่แฟนๆ ทั้งหญิงและชายพร้อมใจกันมอบให้ ทั้งที่ตัวพายเองยังไม่ค่อยเข้าใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรกันแน่!?
Life MATTERs : อะไรที่ทำให้คุณเริ่มต้นเล่นดนตรี
พาย : แต่แรกเลยคือพี่สาวเราเรียนกีตาร์ แล้วเรามีกันแค่สองคน เราเป็นลูกคนเล็ก ก็จะมีอารมณ์ประมาณว่า พี่ทำอะไร เราก็อยากทำตาม พอพี่เล่นกีตาร์ เราก็หยิบมาเล่นบ้าง ตอนนั้นแค่ประถมหรือมัธยมเอง มีคุณน้าเป็นคนสอนเล่น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า พี่เราเลิกเล่นภายในสองเดือน แล้วเราก็เล่นต่อมาเรื่อยๆ (หัวเราะ)
Life MATTERs : คุณรู้ตัวตอนไหน ว่าอยากเป็นนักดนตรีอาชีพ
พาย : สมัยก่อนเราเล่นเป็นงานอดิเรกมากกว่า เหมือนเรายังมีความคิดในใจอยู่ว่าต้องตั้งใจเรียน เอาเรื่องเรียนก่อน แต่เราก็เล่นมาตลอดนะ เลิกเรียนเพื่อนคนอื่นจะไปนู่นไปนี่ แต่เราจะกลับมาอยู่ในห้อง นั่งแกร๊งๆๆ อยู่คนเดียว จริงๆ สมัยก่อนไม่ได้มีกีตาร์โปร่งด้วยซ้ำ มีแต่กีตาร์ไฟฟ้า แล้วเล่นแบบไม่เสียบแอมป์เอา จะได้เบาๆ เพราะเราอยู่โรงเรียนประจำ เราก็เล่นมาเรื่อยๆ จนจบมหา’ลัยถึงค่อยรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้แล้วล่ะ ต้องทำอะไรกับมันแล้วล่ะ เพราะมันเป็นอย่างเดียวที่ทำแล้วรู้สึกดี รู้สึกเป็นตัวเรามากที่สุด
ซึ่งจริงๆ เราเริ่มแต่งเพลงมาตั้งแต่ม.5-ม.6 แล้ว แต่เราไม่ได้อยากเป็นนักร้อง จะเน้นเล่นกีตาร์มากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเล่นเก่งอะไรนะ (หัวเราะ) คือมันเป็นโลกส่วนตัวของเรา แล้วทีนี้เสียงเราไม่ค่อยถึง เราร้องเพลงผู้ชายไม่ได้เพราะคีย์ต่ำไป ร้องเพลงผู้หญิงก็ไม่ได้เพราะสูงไป แล้วเราก็ไม่เก่งพอที่จะปรับคีย์กีตาร์เป็น เราก็เลยอยากเขียนเพลงเอง ให้มันเป็นคำพูดของเรา และเป็นคีย์ที่เข้าปากเรา ก็เลยเริ่มเขียนเพลง แล้วก็ร้องแง้วๆ อยู่คนเดียว
Life MATTERs : เวลาแต่งเพลงมีต้นทางมาจากไหน
พาย : ตอนที่เราเริ่มเขียนเพลงใหม่ๆ มันเป็นอะไรที่เราอยากทำ ก็จะแต่งสนุกๆ ไม่ได้อะไรกับมันมาก บางครั้งคำร้องก็จะเป็นอะไรก็ได้ที่คล้องจ้องกัน อะไรก็ได้ที่ชิลๆ แต่ช่วงหลังมันไม่ใช่แค่สิ่งที่เราอยากทำ มันกลายเป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพราะว่าถ้าเราไม่ทำ เราจะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี เราไม่ไหว การเขียนเพลงกลายเป็นเหมือนสเปซของเราที่จะทำอะไรก็ได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วเรารู้สึกมีสติ
Life MATTERs : พอกลายเป็นแบบนี้เนื้อหาในเพลงก็เลยดีพขึ้นโดยปริยาย
พาย : อืม จริงๆ สำหรับเราเพลงเพลงหนึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องราวเป็นฉากๆ อยู่แล้ว ไม่ได้เล่าเรื่องการเดินจากจุด A ไปจุด B แต่มันเล่าว่าระหว่างเดินจากจุด A ไปจุด B รู้สึกอะไรบ้าง เหมือนบางครั้ง ถ้าคนถามว่าเพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร หรือเพลงมันเกี่ยวกับอะไร เราก็จะอธิบายไม่ค่อยได้ขนาดนั้น อย่าง Winter’s Love เกี่ยวกับความรัก แต่มันก็ไม่ได้พูดถึงความรักตรงๆ ว่า โอ้ เรารักเขา บลาๆๆ แต่จะเล่าว่าเราเจออะไรบ้าง รู้สึกอะไรบ้าง
Life MATTERs : มีคนที่เป็น influence ในการแต่งเพลงไหม
พาย : ก็มีนะ สมัยก่อนเราชอบวง Rilo Kiley มากๆ Jenny Lewis เราก็ชอบ แต่สไตล์เขาจะเป็นเนื้อหาเยอะแยะไปหมด ส่วนตัวมากๆ คนทั่วไปฟังแล้วอาจจะร้องตามไม่ได้ แบบเชี่ยนี่ร้องชีวิตมึงปะเนี่ย (หัวเราะ) แล้วก็ชอบ Jeff Buckley ด้วย Marilyn Manson ก็ดี แต่บางครั้งเราก็ชอบอะไรที่มันคลาสสิคเหมือนกัน แบบ Elvis Presley ที่ร้อง serenade (เกี้ยวสาว) คนแบบตรงๆ เลย แบบ I love you! แบบนี้ก็ชอบ
Life MATTERs : แล้วส่วนตัวคุณอยู่ตรงไหนในสเปคตรัม ตั้งแต่พูดตรงๆ ไปจนถึงแบบนามธรรม
พาย : ที่ผ่านมาอาจจะยังไม่ตรงขนาดนั้น แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้ปิดตัวเอง วัตถุดิบล็อตต่อไปเราก็อาจจะค้นหาไปเรื่อยๆ เราไม่ได้ฟิกซ์อะ …ที่เราพูดมันเมกเซนส์มั้ยนะ คือบางครั้งเรารู้สึกว่ามันยาก เพราะเวลาเราทำดนตรีเราไม่ได้ใช่ความคิด ใช้สมองขนาดนั้น เราใช้อย่างอื่น แต่พอเรามาสัมภาษณ์แบบนี้ เราต้องพยายามใช้สมองอธิบายสิ่งที่เราไม่ใช้สมองทำ เราก็จะแบบ อธิบายอะไรดีวะ
Life MATTERs : เข้าใจนะ เหมือนให้ศิลปินมานั่งอธิบายศิลปะตัวเอง มันยาก
พาย : อืม แต่เราก็เข้าใจนะว่าบางครั้งคนฟังก็อยากได้คำตอบจากเราว่าเพลงมันเกี่ยวกับอะไร มันคืออะไร เราก็พยายามเต็มที่ที่จะอธิบายมัน แต่บางครั้งอธิบายแล้วคนอาจงงกว่าเดิม (หัวเราะ)
Life MATTERs : แอบสังเกตว่าในเพลงจะมีภาพของธรรมชาติค่อนข้างเยอะ มันมีที่มาที่ไปไหม
พาย : คือเราชอบอะไรที่มัน out in the universe อะไรที่มองไปไกลๆ มันเป็นอะไรที่เราอธิบายไม่ได้ขนาดนั้น แต่เป็นสิ่งที่เราเห็นแล้วเข้าใจจากสิ่งที่เราเป็นตอนนี้ อย่าง sun and moon มันเป็น sun and moon สำหรับเรา แต่มันอาจเป็นอย่างอื่นในโลกอื่น ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ sun and moon แต่รวมถึงสิ่งอื่นๆ ในชีวิตเราด้วย แต่บางครั้งก็เรียบง่ายเหมือนกันว่า sun and moon เปรียบเป็นทุกอย่างในชีวิตของเราได้ คนสำคัญหรือความรู้สึกสำคัญที่มันมีค่ากับเรามากๆ จนเป็นทั้งกลางวันและกลางคืนของเรา
แล้วเหมือนเวลาเราสร้างงานๆ หนึ่งเราก็จะผสมผสาน element ต่างๆ ที่เราผ่านมาในชีวิต อย่างตอนอยู่ต่างประเทศเราจะอยู่ในธรรมชาติบ่อยกว่าเมืองไทย ตอนอยู่โอเรกอนป่าเยอะ และพระจันทร์ก็ดวงใหญ่มาก มันก็เลยเข้ามาอยู่ในเพลงเรา
Life MATTERs : แล้วพอกลับมาเมืองไทย การแต่งเพลงของคุณเปลี่ยนไปไหม อย่างแต่ก่อนได้อยู่ในธรรมชาติเยอะ แต่ตอนนี้ก็คงไม่ใช่แล้ว
พาย : คือเราเริ่มรู้จุดของตัวเองแล้วว่าเราต้องเขียนเพลงยังไง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปไหนก็ได้ เพราะทุกอย่างอยู่ในหัวเรา เราไม่จำเป็นต้องไปทะเลเพื่อไปเขียนเพลงเกี่ยวกับทะเล เราว่าพอเรากลับมาอยู่เมืองไทย เรายิ่งเก็บตัวเข้าไปใหญ่เลย เรากลับยิ่งอยู่แต่ในห้องน้ำ เพราะห้องน้ำมันเงียบ แล้วมันก็เย็นดี เราชอบนั่งบนซิงค์แล้วเขียนเพลง (หัวเราะ)
Life MATTERs : เดี๋ยวนะ เซอร์ไพรส์มาก ห้องน้ำนี่เป็นที่ประจำในการแต่งเพลงเลยเหรอ
พาย : ใช่ๆๆ เพราะซิงค์มันเป็นหินอ่อน มันจะเย็นตูด (หัวเราะ) พอมีกระจกก็เหมือนเรามีเพื่อน แต่มันก็คือเงาเราเองนั่นแหละ เออเดี๋ยว ลึกไปแล้ว ดึงกลับมาก่อน (หัวเราะ) คือมันเงียบดี แล้วเอคโค่ก็ดี ร้องเบาๆ ก็ได้ยินแล้ว
Life MATTERs : สงสัยว่า การที่คุณแต่งเพลงเป็นภาษาอังกฤษ มันเป็นเพราะคุณบอกเล่าความรู้สึกเป็นภาษาอังกฤษได้ดีกว่าหรือเปล่า
พาย : ใช่ๆ เราว่าเวลาจะทำอะไร เราก็ควรจะใช้เครื่องมือที่ express ตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่งั้นจะทำไปทำไม What’s the point? ถ้าคุณจะทำโดยใช้ภาษาที่ไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น เพื่อที่จะ express ตัวเองได้แค่ในระดับหนึ่ง เราว่ามันไม่เมกเซนส์ ถ้าคุณถนัดอะไร คุณก็ควรจะใช้สิ่งนั้น
Life MATTERs : แล้วเรื่องบางเรื่องมันเล่าผ่านภาษาอังกฤษได้ดีกว่าด้วยเนอะ อย่างเพลง Kiss ที่ค่อนข้าง sensual
พาย : อ๋อ ใช่ ถ้าเป็นภาษาไทยคงงง บางเรื่องถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็อาจจะเล่าได้ง่ายกว่า และสไตล์การร้องก็จะเข้ากับคำภาษาอังกฤษมากกว่า แต่จริงๆ เราไม่ได้ติดเรื่องการเขียนภาษาไทยนะ แต่เรามีมาตรฐานภาษาไทยที่ค่อนข้างสูง เรามีภาพในหัวว่าอยากเขียนแบบไหน แต่เรายังไปไม่ถึงจุดนั้นซักที เราว่าภาษาไทยเขียนให้ดีมันยากเหมือนกัน ยิ่งเราชอบภาษาไทยสมัยก่อน แบบยุคสุนทราภรณ์อะไรแบบนี้ ก็เลยยิ่งเขียนยากเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เลยเขียนเป็นภาษาอังกฤษไปก่อน
Life MATTERs : ในอนาคตวางแผนจะแต่งเพลงที่ explore ประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากความรักอีกไหม
พาย : ชุดต่อไปเรากับวงอยากจะ explore ด้านดนตรีมากกว่า อยากลองดูว่าเราจะสามารถไป genre ไหนได้บ้าง ส่วนคำร้องก็คงแล้วแต่ดวง เพราะเราก็ไม่ได้ควบคุมการเขียนคำร้องของตัวเองได้ขนาดนั้น บางครั้งมันก็มี บางครั้งมันก็ไม่มีที่มาชัดเจน แต่ดนตรีมันเป็นงานกลุ่ม มันจะโฟกัสได้ง่ายกว่า
Life MATTERs : แสดงว่าจริงๆ My Life As Ali Thomas ก็ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่อินดี้โฟล์ก
พาย : ไม่ เราไม่เคยจำกัด genre ตัวเองขนาดนั้น แต่ที่ซาวด์รวมๆ มาแนวนี้อาจเป็นเพราะเราเล่นกีตาร์โปร่ง และเราก็ชอบเพลงโฟล์ก อย่าง Lover to Lover เราก็ยอมรับว่ามันเป็นคันทรีโฟล์กมากๆ เลย แต่ลึกๆ แล้วทั้งเรา ตาว (วรรณพงศ์ แจงบำรุง ) พี่แร็ก (วิภาต เลิศปัญญา) มีความชอบในด้านดนตรีหลาย genre มาก มันไม่ใช่แค่โฟล์ก ซึ่งเราเองคิดว่างานชุดต่อไปเราก็จะ explore พวกนี้แหละ น่าจะได้ลองฟังซาวด์แบบใหม่ๆ แต่ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง (หัวเราะ)
Life MATTERs : แล้วคุณคิดอย่างไรกับการจัด genre ให้กับวงดนตรี เราเองคิดว่าบางทีมันก็ง่ายกับคนดีเหมือนกันฟังนะ
พาย : อืม มันก็คงง่ายกับคนฟังมั้ง และเวลาเอาวงไปพรีเซนต์ว่า วงเล่นแบบนี้นะ ก็คงง่ายขึ้น แต่ถ้าถามเรา ส่วนตัวเราเฉยๆ กับสิ่งนี้ คือมันเป็นการเอาสิ่งๆ หนึ่งเข้า category แต่ถ้าบางอย่างมันอยู่ระหว่าง category ถ้ามันเป็นโฟล์ก แต่ก็เป็นโพสต์ร็อก แต่ก็ป็อป นึกออกปะ เราว่ามันไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะถ้าเราฟังแล้วเราชอบ มันก็ชอบ แค่นั้น
Life MATTERs : อยากรู้ว่าในวงบาลานซ์ creative input กันยังไง เพราะเราเข้าใจว่ามันเริ่มต้นจากคุณเยอะเหมือนกัน
พาย : อืม จริงๆ วิธีการทำงานคือ เราจะเขียนโครงมาก่อน เขียนคอร์ด เมโลดี้ร้อง คำร้อง แล้วก็มาลองดูด้วยกัน คนจะชอบคิดว่าเราแต่งเพลงเอง แสดงว่าเป็นเราเยอะกว่า แต่สิ่งที่เราเขียนมาแค่ 30-40% เอง แต่งานที่เสร็จออกมาจริงๆ มันมาจากอินพุทของวง 60-70% เลย คนในวงมีส่วนสำคัญมากที่ทำให้วงมีซิกเนเจอร์ซาวด์แบบนี้ arrangement เป็นแบบนี้ เราก็อยากจะอธิบายตรงนี้เหมือนกันว่า My Life As Ali Thomas จะมีซาวด์แบบนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีองค์ประกอบอื่นๆ ในวง
Life MATTERs : เห็นว่าปีหน้าวงจะได้ไปแสดงในเทศกาลดนตรีใหญ่อย่าง SXSW เล่าที่มาที่ไปให้ฟังหน่อย
พาย : มีครั้งหนึ่งวงได้ไปเล่นที่ Golden Melody Awards ที่ไต้หวัน ไปกับทีมของป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) พอเล่นเสร็จก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาหา เฮ้ย ยูสมัคร SXSW สิ แล้วก็ยื่นนามบัตรให้ เขาเป็น head officer ของงาน เราก็ อ๋อ ขอบคุณค่ะ แต่ตอนนั้นคิดในใจว่าไม่สมัครหรอก บ้าเหรอ (หัวเราะ)
Life MATTERs : อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะ
พาย : ไกลไป (ลากเสียง) นึกออกปะ คือมันไกลไปเยอะ จริงๆ แค่เขามาชวนให้เราสมัครก็ดีใจแล้ว แต่สุดท้ายพอคุยกับวงแล้วก็ตัดสินใจลองสมัคร ซักพักก็มีคนตอบกลับมาว่า Hey, congratulations! เราก็แบบ What?
จริงๆ ไปเล่น SXSW เราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เหมือนเราไม่กดดันเลย เล่นงานในเมืองไทยยังกดดันกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเราไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราไม่มีอะไรจะเสียเลย อย่างมากก็แค่ได้ไปเล่นอะ
Life MATTERs : แล้วต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษมั้ย
พาย : เตรียมใจ (หัวเราะ) ก็คงซ้อมแหละ ต้องซ้อมเรื่องเซ็ตอัพ คือเรากะไปแบบ rock n’ roll มาก คือไปกันเอง ไม่ได้มีซาวด์เอ็นหรือเทคนิเชียนไปด้วย เราเลยต้องซ้อมจับเวลาเซ็ตอัพ 10 นาทีแล้วเล่นเลย เหมือนซ้อมวิ่งแข่งโอลิมปิกปะ (หัวเราะ) เราว่าเราไปลุยได้ แต่มันก็ต้องดี มันต้องไม่พัง ซึ่งพังไม่พังเปอร์เซ็นต์สูงอยู่ที่เซ็ตอัพด้วย ไม่ใช่เล่นๆ ไปแล้วเสียงหาย ไม่ได้ยินเสียงตัวเองก็คงไม่ดี
Life MATTERs : คุณคิดอย่างไรกับบางคนที่เข้าใจว่าคุณโกอินเตอร์ได้เพราะร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษ
พาย : อืม ภาษาอังกฤษก็อาจจะมีส่วนนิดหน่อย เพราะมันเป็นภาษาสากลที่คนเข้าใจ แต่การที่เพลงภาษาอังกฤษก็ไม่ได้แปลว่าฝรั่งจะชอบ เราว่ามันมีองค์ประกอบมากกว่านั้น เขาแค่เข้าใจเพลงเรา แต่ชอบไม่ชอบก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง เราได้ไปแสดงก็จริง แต่ก็อาจมีคนไม่ชอบเราก็ได้ เราไม่มีทางรู้เลย
Life MATTERs : พูดถึงเรื่องการแสดงสักหน่อย คุณไปโผล่ใน Die Tomorrow ได้ยังไง
พาย : พี่เต๋อเคยเรียกเราไปแคสต์โฆษณารอบนึง แต่อันนั้นเจ๊งมากเลยอะ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นก็เรียกเราไปแคสต์อีกรอบนึง ซึ่งเค้าบอกให้เราเล่นเป็นตัวเองเลย หลังจากนั้นก็เรียกเรามาเล่น
Life MATTERs : คุณดูชิลล์ๆ กับเรื่องการไปแคสต์และการแสดงหนังมาก จริงๆ แล้วมีแบ็กกราวด์ด้านการแสดงมาก่อนหรือเปล่า
พาย : ไม่มีนะ แค่เราคิดว่าเรื่องพวกนี้น่าสนใจดี มันดูเป็นการ express ตัวเองในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งในเรื่องนี้เราได้เล่นเป็นตัวเอง แต่เป็นการเอาตัวเองเสียบเข้าไปในสถานการณ์สมมติ ซึ่งเราคิดว่ามันตลกดี มันเหมือน inception เราก็ยังเป็นตัวเรา แต่สถานการณ์มันถูกสร้างขึ้นมา
Life MATTERs : แล้วคุณต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหม เพราะแสดงครั้งแรกก็เจอ long take เลย
พาย : ไม่เลย เหมือนบทมันไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่ให้เราเป็นเรา เราก็อ่านบทแล้วไปแสดง ตอนแสดงก็เน้น improvise เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็อิงตามสคริปต์นั่นแหละ
Life MATTERs : คิดจะลองงานด้านนี้อีกไหม เราจะได้เห็นผลงานอื่นๆ อีกหรือเปล่า
พาย : ก็อาจจะนะ คงต้องเป็นสคริปต์ที่เราอ่านแล้วอู้ว… ดูสนุก ก็คงเล่น ถ้ามีปืนจะดีมาก (หัวเราะ) แต่ถ้าถามว่าเราจะมุ่งหน้าไปทางนั้นมั้ย ก็คงไม่ใช่
Life MATTERs : ยังไงก็ชอบดนตรีมากกว่าอยู่ดี?
พาย : ใช่ ดนตรีก็คือเรา
Life MATTERs : ตอนนี้วงกำลังทำอะไรอยู่ เริ่มทำงานใหม่ๆ หรือยัง
พาย : เราเริ่มทำงานใหม่บ้างแล้วนะ แต่ตอนนี้เรากับวงโฟกัสที่ performance มากกว่า เพราะเรายังแสดงบนเวทีให้เป็นแบบที่เราต้องการไม่ได้ขนาดนั้น มันยังมีอะไรที่เป็นเรื่องจุกจิกดีเทลเล็กๆ น้อยๆ อยู่อีก แล้วจริงๆ เราก็อยากมีคอนเสิร์ตของตัวเองเหมือนกัน
เพราะสำหรับพวกเรา เราไม่อยากทำเพลงเพื่อให้คนเปิดฟังเฉยๆ แต่เราอยากทำเพลงที่ทำให้คน รับประสบการณ์ทางดนตรีกับทั้งหมดที่เป็นเรา ถ้าเรามีคอนเสิร์ตตัวเอง เราก็อยากจะนำเสนอ whole experience ของ My Life As Ali Thomas อยากให้คนดูได้อะไรจากพวกเรากลับไปมากกว่าการมาฟังเพลงอย่างเดียว อยากดึงเขาเข้ามาในโลกของเรา อยากให้เขามาเล่นด้วย เหมือนชวนเพื่อนมาบ้าน อะไรอย่างนี้มั้ง (หัวเราะ)
Life MATTERs : แล้ววางแผนจะทำยังไงให้เล่นสดบนเวทีได้แบบที่อยากทำ
พาย : มันก็คงต้องใช้เวลา step by step แหละ เพราะเราเองก็ยังมีความตื่นเต้นอยู่ด้วยเหมือนกัน บางทีเราก็หลับตาลูกเดียวเลย เพราะเรายังตื่นเต้นอยู่ การเล่นคนเดียวกับเล่นให้คนดูมันไม่เหมือนกันอะ
Life MATTERs : แต่คุณก็เล่นสดมาสามปีแล้วนะ
พาย : ก็ยังหลับตามาสามปีแล้ว (หัวเราะ) แล้วคือวงเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อนด้วย พอเรามาเจอกัน เราเริ่มจากศูนย์จริงๆ เพราะฉะนั้นสามปีที่ผ่านมามันคือการจูนการเล่นดนตรีด้วยกันด้วย ถึงจะเล่นเพลงเดิมมาสิบๆ รอบ เราก็ยังจูนกันเรื่อยๆ บางครั้งเล่นโชว์นึงกลับมา เบื่อเล่นเพลงนี้แบบนี้แล้ว เปลี่ยนละกัน (หัวเราะ) เราชอบทำอะไรใหม่ๆ ทดลองไปเรื่อยๆ ซึ่งบางครั้งก็ทดลองกับคนดูด้วย คนดูบางครั้งเลยต้องซวยไป แบบมึงเล่นอะไรเนี่ย กูอยากมาฟังอีกเวอร์ชั่น (หัวเราะ)
Life MATTERs : โอเค น่าจะคำถามสุดท้าย มีอย่างหนึ่งที่เราอยากถามมาก คือเรื่องความผัว…
พาย : (หัวเราะหนักมาก)
Life MATTERs : คุณรู้สึกอย่างไรกับประเด็นนี้
พาย : อืม…จริงๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่าความผัวคืออะไร มันคือแมนๆ อะไรอย่างนี้ปะ หรือว่าผัวจริงๆ เลย (หัวเราะ) อาจเป็นที่หุ่นเราหรือเปล่า ผอมๆ สูงๆ จริงๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผัวก็ผัว (หัวเราะเขิน) คือข้างในก็แบบ แสส… (ลากเสียง)
แต่เราก็ไม่ได้รู้สึก offended เราไม่ได้รู้สึกอี๋ แค่ไม่แน่ใจว่ามันคือยังไง แต่หวังว่าลึกๆ เขาคงชอบผลงานเรานะ โหย นี่ตอบไม่ถูกเลย (หัวเราะ) คือมันก็ตลกดี ผัวก็ได้…
Photos by Adidet Chaiwattanakul