หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทย คือ เด็กที่มีความสามารถจำนวนมาก มีศักยภาพที่จะเติบโตในหนทางที่พวกเขาใฝ่ฝัน แต่ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทั้งในด้านรายได้และโอกาส ทำให้ฝันเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่ยากจะเอื้อมถึง
สำหรับ นิค-วิเชียร ฤกษ์ไพศาล หรือ ‘นิค Genie’ ที่เคยผลักดันศิลปินจำนวนมากจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็เชื่อในเรื่องนี้เช่นกันว่า โอกาสยังเป็นสิ่งที่ขาดหายไปสำหรับคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยทั่วประเทศไทย
นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดนตรี อยากจะผลักดันโครงการ ‘Talen Everywhere’ ที่ทำงานร่วมกับ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่มีไฟและแรงผลักดันทางดนตรีให้ได้มากที่สุด
อะไรคือความตั้งใจของเขาผ่านโครงการนี้ และเขาอยากเห็นวงการและอุตสาหกรรมดนตรีบ้านเราเดินต่อไปอย่างไร ชวนหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
มองภาพรวมของอุตสาหกรรมดนตรีไทยตอนนี้ยังไงบ้าง
ตอนนี้อุตสาหกรรมดนตรีตอนนี้มันขยายตัว และกว้างขึ้นเนื่องจากสื่อที่เปลี่ยนไป ทุกคนมีมีสิทธิ์ที่จะนําเสนอผลงานได้โดยตรงกับผู้ฟัง ผ่านสื่อโซเชียล กระบวนการผลิตก็ ไม่ซับซ้อนเหมือนสมัยก่อนด้วยการเข้ามาของดิจิทัลน แต่ยังไงก็ตามเนี่ย มีได้มีเสีย ก็คือธุรกิจมันก็เปลี่ยนไป เช่นสินค้าแบบ physical มันก็น้อยมาก ทุกอย่างมันไปพึ่งพิงกับ Show Business ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากมากเหมือนกัน สําหรับคนที่จะดํารงชีพได้ในธุรกิจนี้ เพราะว่าสมมุติว่าเราเป็นศิลปิน เราจะต้องนําเสนอผลงาน คำถามคือมันจะต้องใช้เพลงกี่เพลง มันจะต้องมีเพลงฮิตกี่เพลง ถึงจะโชว์ หรือจัดการแสดงได้
เรามี streaming เยอะขึ้นมาก มันมองเป็นทางความท้าทายแล้วเป็นจุดที่สูงสุดศิลปินโตได้ง่ายขึ้นขนาดนั้นไหม
ก็เรียกว่าประตูมันเปิดกว้างเนอะ เมื่อโอกาสมันมีเยอะ ก็แปลว่ามีผู้เล่นเยอะ และเราจะเห็นว่าวิธีการนําเสนอเพลงมันกว้างมากขึ้น มันก็จะเกิดความหลากหลายมีด้านของการนําเสนอ ที่ผิดวัตถุประสงค์ในการที่จะอยู่ในเส้นทางนี้ เพราะโซเชียลมีเดีย มันบีบบังคับให้คนเรียกร้องความสนใจให้ได้มากที่สุด คุณต้องเป็นผู้ที่ถูกเห็น ถูกกดไลก์เยอะ มียอดวิวเยอะ ถึงจะมีงานจ้างมากขึ้น ตรงนี้มันก็มาทําให้ให้กระบวนการผลิตเพลงมันเปลี่ยนไปจากเดิม
คิดว่าแล้วการเป็นศิลปินในยุคนี้ มันต้องสู้กับอะไรกันอีกบ้างในยุคนี้
ผมพูดเสมอว่าศิลปินที่จะประสบความสําเร็จ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวตนและผลงานจริงๆ ตัวตนเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะเป็นศิลปินเพลง ผมคิดว่ามีคนจํานวนมากที่เข้าใจผิดในนี้ ยกตัวอย่าง เราจะได้ยินคําว่า ‘ร้องเหมือนแล้วเท่’ ซึ่งแบบนั้นมันเป็นแค่ทิศทางหนึ่งที่เราเรียกว่า copycat ซึ่งในทางกลับกันก็เท่ากับคุณไม่มีตัวตน พอไม่มีตัวตน เขาก็จะยังไม่เข้าใจว่าทําไมคนถึงไม่รักเขาสักที ซึ่งตัวตนเป็นเรื่องที่สร้างยากที่สุด ว่าเราจะทํายังไงให้เราแตกต่าง ผมคิดว่าความแตกต่างก็คือจุดที่สําคัญที่สุดของศิลปิน
โลกวันนี้คนฟังก็นิยมในเรื่องความสามารถของศิลปิน ดังนั้นผลงานก็เป็นผลงานที่สร้างด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเป็นเป็นจุดที่สําคัญมากๆในยุคนี้นะครับ ที่ผู้ฟังมองว่า ศิลปินอื่นก็น่าจะสร้างผลงานได้นะครับ อาจจะไม่ต้องสร้างผลงานเองทั้งหมดก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วศิลปินต้องเป็นเจ้าของผลงานนั้นจริงๆ
ตัวตนและผลงานก็ยังเป็นเรื่องสําคัญที่สุดในการที่จะยืนในจุดที่เป็นศิลปิน ดังนั้นตัวตนมันอาจจะเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ด้วย ภาพลักษณ์ด้วย ซึ่งแน่นอนคุณจะให้คนมานิยมคุณเนี่ย มันจะมันจะดูไม่ดีไม่ได้นะ บุคคลก็ภาพก็น่าจะเป็นเรื่องที่สําคัญ เพราะวันนี้คนไม่ได้ฟังเพลง แต่คนดูเพลงด้ว ยคนเห็นภาพศิลปินจากสื่อโซเชียลต่างๆ คนฟังเขามีสิทธิ์ที่จะพิจารณาว่าเค้าจะเลือกฟัง เลือกชอบคนนี้ไหม
รวมถึงพวกทัศนคติด้วยไหม
อันนั้นสําคัญที่สุดเลย เพราะคนฟังเขาไม่ได้แค่ฟังเพลงของคุณ แต่เค้าฟังสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณเชื่อมั่น แล้วคนที่จะเป็นศิลปินมันก็แน่นอนมันเป็นไอดอลให้คนฟังได้ หรือถึงขั้นเป็น role model ได้ก็ยิ่งดี ผมได้ยินคําพูดทำนองว่า คนฟังเดี๋ยวนี้เขายกย่องในใน mindset ในวิธีคิดของศิลปิน แต่ในทางกลับกัน ศิลปินที่มีแนวคิดหรือ mindset ที่ไม่ดี เขาก็จะตกต่ำไปเรื่อยๆ
แล้วถ้าเป็นน้องๆ รุ่นใหม่ๆ เขาจะหาตัวเองเจอได้อย่างไร
นักเขียนที่เขียนเก่งมาจากการอ่านเยอะ นักร้องหรือว่าศิลปินที่มีผลงานที่ดี ก็ต้องมาจากการฟังที่เยอะ เยอะถึงเยอะที่สุด แล้วนำมาผสมทุกอย่างเป็นตัวเอง เอามาพัฒนารวมกับความสามารถและทักษะ เป็นวิธีการใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ ซึ่งสิ่งนี้บอกไม่ได้ว่ามันทำยังไง แต่บอกได้ว่ามันเกิดขึ้นได้จากอเไร ผมคิดว่าศิลปินที่ฟังเยอะ เขาจะมีห้องสมุดอยู่ในตัวเขา ตัดกลับมา ถ้าเด็กปัจจุบันที่อยากเป็นศิลปินอยู่ดีๆ วันนี้ลุกขึ้นมาฟังเพียงแค่วงที่ตัวเอง คุณก็เท่ากับตัดโอกาสของตัวเองที่จะเรียนรู้เรื่องนี้
คิดว่าเด็กไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศิลปินที่มีฝีมือระดับโลกไหม
มีครับ แต่ว่ามันจะต้องมีกระบวนการพัฒนาและผลักดัน เรื่องการเรียนการสอนก็สําคัญ ผมคิดว่าเด็กไทยเก่งนะครับ ไม่งั้นลิซ่าไม่เป็นถึงระดับโลก เด็กไทยไม่ได้ด้อยกว่าเด็กต่างประเทศ แต่การศึกษาไทยมันด้อยกว่าต่างประเทศ ถ้าเราต้องการที่จะร้องเพลงให้ได้กว้าง มันก็ควรจเรียนอะไรที่มันมีความเป็น pop culture ด้วย หมายถึงเรารู้ทั้งของเรา เรารู้ทั้งของโลกด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถส่งเสริมครูที่มาจากสายอาชีพได้ สิ่งต่างๆ เรานี้ไม่พบอย่างทั่วถึงในประเทศนี้ ปัญหามันไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน มันยังเป็นปัญหาในหลักสูตรทุกหลักสูตร ไม่ใช่เรื่องดนตรีอย่างเดียว มันยังเป็นเรื่องที่ล้าหลังไม่พัฒนา ดังนั้น เราก็เลยจะเห็นคนที่มีกําลังทรัพย์มักจะส่งลูกไปเรียนนานาชาติแทน
คือเด็กมีศักยภาพ แต่โอกาสที่เขาจะเข้าถึงโอกาสได้มันน้อยมาก
น้อยมาก ถ้าเด็กยากจนคนนึงที่เก่งมากในเรื่องดนตรี แต่เขาไม่สามารถซื้อกีต้าร์ ซื้อเปียโน ซื้อเครื่องดนตรี เขาก็ไม่ถึงโอกาสนั้น มันเลยต้องมีที่ให้เขาได้เรียนและฝึกฝนด้วย
เพราะฉะนั้นค่ายบ่มเพาะความสามารถของศิลปินอย่างโครงการนี้ มันเลยสําคัญมากๆ ในการช่วยสนับสนุนศักยภาพของเด็กไทย
ถ้าสิ่งเหล่านี้มันเกิดในหลักสูตรการศึกษาได้ เราก็ไม่ต้องมานั่งทําเรื่องพวกนี้ แต่จริงๆ แล้วเราตั้งใจที่จะทําโดยไม่รอ พยายามทําในจุดที่เราทําได้ เราก็ทําเลย แล้วก็เสริมกันไปเพราะว่าเอกชนก็ก็พอมีทําอยู่ แต่ว่ามันใช้กําลังเยอะ เราเปิดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะให้มันเป็นการจุดประกายนะครับให้เห็นความพยายามที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น
เด็กๆ ที่เข้ามาร่วมโครงการนี้จะได้อะไรกลับไปบ้าง
ได้เยอะเลย อย่าว่าแต่เด็กเลย ครูบาอาจารย์ที่อยู่ในวงการดนตรีเขาก็ตื่นเต้น เพราะมันเป็นโครงการที่อุตสาหกรรมเข้ามาเชื่อมต่อกับ academic เพราะแต่เดิมดนตรี เขาก็สอนกับดนตรี แต่อุตสาหกรรม มันจะเป็นตัวบอกว่าทําอะไรแล้วจะเป็นอาชีพได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่แยกกันทํา คือฝั่งอุตสหกรรมดนตรีเดินไปทางนึง ฝั่งการเรียนการสอนไปอีกทางนึง มันเลยเกิดปัญหาอะไรขึ้มาบ้าง
ปัญหามันก็คือทํามาเรียนมาไม่ไม่มีตลาด มันไม่เข้ากับตลาดไง ตลาดก็ไม่ได้รองรับ ตลาดพูดอย่างนึง อีกฝั่งก็พูดอย่าง ถ้าจะเรียนเพื่อสาย academics คือเรียนเพื่อจะเป็นอาจารย์ หรือเรียนอนุรักษ์ดนตรี มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าวันที่ต้องการประกอบวิชาชีพ แน่นอน เขาก็ต้องเรียนรู้เรื่องของวิชาชีพให้ได้ชัดเจนว่าอุตสหกรรมต้องการอะไร เหมือนกับหลักสูตรที่เราทําออนไลน์เนี่ย เราก็ทําร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เราก็เอาศิลปินในอาชีพเข้าไปร่วมแชร์ความรู้ได้
สิ่งนี้เลยสำคัญคือมีทั้งเรื่องทฤษฎี ภาคปฏิบัติ และชีวิตในโลกการเป็นศิลปินจริงๆ
สมมุติว่าเป็นวงที่เล่นในโรงเรียน เขาก็จะได้รู้จากศิลปินว่า จะเล่นกับคนฟังยังไง เพราะศิลปินเขารู้วิธีที่จะพูดยังไงให้คนฟังสนุก ผ่านประสบการณ์ในชีวิต เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการร้องเพลง มันคือการสื่อสารออกไปหาผู้ฟัง คุณไม่ได้ต้องทำแค่เพียงเล่นให้ตรงโน้ต แต่ต้องเล่นแล้วสื่อสารอารมณ์ไปถึงผู้ฟังให้ได้ด้วย เช่น ถ้าคุณเล่นกีต้าร์ คุณต้องดีดกีต้าร์หรือดันสายยังไงให้ได้สื่อสารอารมณ์ได้ที่สุด
เมื่อมีโครงการนี้ขึ้นมาแล้ว เราจะสามารถผลักดันความเปลี่ยนแปลงต่อไปได้ยังไงบ้าง
ในคณะอนุกรรมการของเรามองถึงต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ําครับ ต้นน้ําเรื่อง re-skill ต่างๆ กับทุกคน เราก็จะมาดูว่าตรงไหนที่เขาขาดแคลนแล้วเราก็เสริมให้เข้าไป กลางน้ําก็คือเรื่องของอุตสาหกรรม เราก็มีกระบวนการในการซัพพอร์ต ยกตัวอย่าง เรามีโครงการ music exchange ที่ส่งเสริมเด็กๆ ที่อยากไปเล่นดนตรีในต่างประเทศ แต่ขาดทุนทรัพย์ เราก็จะมีกองทุนช่วยสนับสนุนให้ ปีที่แล้วก็ช่วยสนับสนุนงบไปกว่า 45 วงให้ได้เล่นที่ต่างประเทศ นอกจากนี้เราก็จะสนับสนุนและพัฒนาส่งเสริมในอีกหลายเรื่อง เช่นลิขสิทธิ์ เรื่องกฎหมายการค้า และกฎหมายที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมชนต่างๆ
แล้วก็ในแง่ของโครงการ ‘Talent everywhere’ นี้ คนในอุตสาหกรรมที่เขากำลังรันวงการกันอยู่ ถ้าเขาเห็นความสามารถของเด็กๆ ที่เข้ามาร่วมโครงการนี้ ถ้าเขาชอบ เขาก็คงไม่ปล่อยไว้เฉยๆ เขาชวนไปทำงานด้วยแน่นอน
พอพูดถึงคําว่า ‘Talent everywhere’ แล้วคุณนึกถึงอะไรบ้าง
ความหมายมันชัดเจนมาก เราต้องการให้โอกาส มันเกิดขึ้นทุกที่ ทั่วประเทศ ไม่อยากให้โอกาสและความสามารถมันกระจุกตัว อยู่แค่เด็กนักเรียนที่มีเงิน หรือมีอุปกรณ์ครบ เพราะนักเรียนเก่งๆ ในโรงเรียนต่างจังหวัดไกลๆ ก็มีเยอะ เราก็อยากให้เกิดความเท่าเทียมกัน everywhere ก็คือถูกที่ทุกทาง มันเป็นความฝันมากกว่า เป็นความอยากให้มันเห็นมากกว่า เป้าหมายสูงสุด เราอยากให้ระบบการเรียนการสอนมันพัฒนาขึ้น
ในฐานะประธานอนุกรรมการนี้ อยากผลักดันอะไรเพิ่มเติมอีกต่อจากนี้
ตอนนี้ที่ที่ตั้งโครงการไว้ก็ตั้งสิบกว่าโครงการ ซึ่งเยอะมาก เช่นการส่งศิลปินไทยไปปรากฎตัวตามต่างประเทศ ทั้งศิลปินระดับท็อปและระดับอื่นๆ รองลงมา ที่พวกเขามีความสามารถที่จะโด่งดังได้ นอกจากนี้ ก็ยังมีโครงการให้รางวัลต่างๆ ให้กับศิลปินด้วย แล้วก็ยังมีอีกหลายเรื่องมาก อีกหลายโครงการเช่น Nextus ที่เป็นโครงการเชื่อมเครือข่ายระหว่างฝั่ง academics กับฝั่งอุตสาหกรรมเพื่อสร้างกระบวนการร่วมกัน รวมถึง การเรียกร้องเพื่อแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อสนับสนุนวงการดนตรี เหมือนกับเรื่องระบบจัดเก็บลิขสิทธิ์ ซึ่งในประเทศไทยเรามีองค์กรจัดเก็บลิขสิทธิ์เยอะมาก เยอะจนทำให้เพลงมันไม่ถูกจัดเก็บและเอาไปใช้ได้จริง และโครงการเกี่ยวกับ one stop service ที่อยากจะช่วยสนับสนุนให้คนที่อยากจัดเทศกาลดนตรี สามารถขออนุญาติผ่านหน่วยงานต่างๆ ได้แบบมัดรวมทีเดียวจบ
สุดท้ายแล้ว เป้าหมายที่อยากเห็นจากโครงการนี้คืออะไร
โครงการนี้มันอยู่ภายใต้ความแนวคิด เฟ้นหา พัฒนา แล้วก็ผลักดัน ถ้าไม่มีโครงการนี้ ทั้ง 3 คําที่มันจะหายไป ซึ่ง 3 คํานี้มันมาเป็นกระบวนการในการทํางาน และเราก็พยายามที่จะเฟ้นหาเด็กจากทั่วประเทศ ให้คนในอุตสาหกรรมดนตรีได้เห็น แล้วเราก็พัฒนาให้เด็กแข็งแรงขึ้น เติมเชื้อเติมฟืนให้เขา
ผมคิดว่าถ้าเราไม่ทำ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม เด็กก็ดิ้นรนกันเอง แต่ในโครงการนี้ เด็กจะได้เจอกับคนในอุตสาหกรรมดนตรีตัวจริง มุมมอง วิธีคิดของเด็กๆ ก็จะเปลี่ยนไปเยอะ เราจะย่อเวลาให้เขา จากที่เขาต้องไปดิ้นรนเองเป็นสิบปี ให้เหลือซักห้าปีก็ยังดี
อยากเชิญชวนน้องๆ รุ่นใหม่มาโครงการยังไงบ้าง
ถ้าโครงการนี้สามารถสื่อถึงใครได้ ก็อยากให้ช่วยกัน ถ้าครูอาจารย์ได้ยินอยู่ก็ต้องมีกําลังใจ มีครูเยอะแยะมากเลย ที่ถึงจะไม่มีการเรียนการสอนแบบนี้ แต่เขาก็ดิ้นรนสร้างชมรมของเขานะ โครงการนี้อยากเป็นกำลังให้เด็กๆ ที่ชอบในดนตรี ฝันให้ไกลไปให้ถึง
โครงการนี้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะร่วมกันผลักดันมาให้น้องก้าวเข้าสู่ฝันที่ตัวเองวาดไว้