“ขยันไปเรื่อยๆ ครับ ไม่มีวิธีอื่น” คือคำตอบที่ พี่ฮง—อิลฮงมิน หรือ Bangkokboy บอกกับเราถึงวิธีการเอาปรับตัวในโลกของคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย
ไม่เพียงแค่เดินทางข้ามประเทศจากเกาหลีสู่ไทย แต่การเปลี่ยนตัวเองจากแร็ปเปอร์สู่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ก็ทำให้หนุ่มเกาหลีผู้ติดตลกคนนี้ ถูกมองเห็นถึงความตั้งใจ จนได้รับความรักจากผู้คนมากมาย
ในวันที่เขามีหนังสือเล่มแรกในชีวิต ‘Bangkok Boy Story by Oppa Hong’ กับ ขายหัวเราะ Studio เราได้โอกาสชวนเขาคุยถึงเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา รวมถึงชวนเขาเล่าถึงสูตรการทำคอนเทนต์ในวันที่อัลกอริทึม และเอนเกจเมนต์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

พี่ฮงอยากเล่าอะไรผ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง
ตอนที่ผมไปเที่ยวจังหวัดขอนแก่น ผมคิดว่าก่อนที่จะจบคอนเทนต์ 77 จังหวัด อยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับ 77 จังหวัดของประเทศไทย เพื่อโปรโมทต่างจังหวัดให้คนเกาหลี หรือคนต่างชาติ และคนไทย แต่ผมก็แค่เก็บความคิดนี้เอาไว้ก่อน จนหมอดูที่ขอนแก่นเค้าบอกว่า เธอน่าจะเขียนหนังสือแน่นอน ผมเลยคิดว่า ถ้าวันนึงถ้ามีโอกาสอยากเขียนหนังสือ เพราะว่ามันเป็นความฝันของผมที่อยากมีหนังสือที่แบบของตัวเองเลยเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้ครับ
ที่พี่ฮงบอกว่าไปเที่ยวมา 77 จังหวัดแล้วอยากหยิบมาเล่าเรื่อง ทําไมพี่ฮงอยากเล่าให้คนเกาหลีรู้เรื่องจังหวัดเหล่านี้
เวลาผมไปเที่ยวเกาหลี ผมก็อยากดูมุมอื่นของต่างจังหวัดในเกาหลีที่ไม่ใช่แค่เมืองใหญ่ๆ เลยเป็นเหตุผลที่ผมอยากสนับสนุนคนไทยให้ไปต่างจังหวัดเพราะผมรู้สึกว่า ความสวยงามไม่ได้อยู่ไกลจากเรามาก เราอาจจะชินกับชีวิตประจําวันแบบนี้ ทุกมุมที่ดูเหมือนเดิม เลยอยากนำเสนอมุมมองใหม่ในต่างจังหวัดให้คนไทยไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง
การที่เป็นคนเกาหลีแล้วต้องไปเที่ยว77จังหวัดอ่ะ พี่ฮงจําชื่อหมดได้ยังไง
จําชื่อน่าจะไม่ได้ครับ (หัวเราะ) แต่ว่าถ้ามีใครมาถามรายละเอียดของแต่ละจังหวัด ผมจะบอกได้ว่ามีอะไรในจังหวัดนั้นบ้าง
คิดว่าต่างจังหวัดในประเทศไทย มีความสวยงามและมีข้อดีอะไรบ้าง
ข้อแรกเลยต่างจังหวัดถูกมาก แล้วก็อาหารก็อร่อย ในมุมมองของผมคิดว่าผมคิดว่าประเทศไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพฯ จังหวัดเดียว ส่วนตัวผมคิดว่าคนไทยในกรุงเทพฯ เจอกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษเยอะไป ทุกสิ่งทุกอย่างมีจังหวะที่เร็วขึ้น ตั้งแต่ผมย้ายมาที่ไทย คนไทยสําหรับผมเปลี่ยนไปเยอะมากครับ คือผมก็เปลี่ยนไปเหมือนกันถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ นานๆ แล้วแบบผมก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมเป็นพิษ แต่ว่าถ้าออกจากกรุงเทพฯ ช่วยให้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ตั้งแต่พี่ฮงมาอยู่ไทยมานาน ประเทศไทยเปลี่ยนนิสัยพี่ฮงไปยังไงบ้าง
28 ปีที่แล้ว ผมเป็นคนที่ชอบเซฟโซนครับ กลัวและไม่กล้าออกจากเซฟโซน ตอนแรกไม่ค่อยชอบกินอาหารไทยและไม่ค่อยชอบกินอาหารเกาหลีด้วยครับ คือผมชอบอาหารญี่ปุ่นมากกว่า เพราะว่ารสชาติจืด และไม่เผ็ด แถมยังกินง่าย
ตั้งแต่เด็กผมชอบอ่านหนังสือการ์ตูนอะนิเมะของญี่ปุ่นด้วย เลยรู้สึกว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นเหมาะกับผมมากกว่า แต่พอผมเที่ยวครบ 77 จังหวัด ได้สัมผัสกับผู้คนของแต่ละจังหวัดผมรู้สึกว่าความรู้สึกข้างในมันเปลี่ยนไปเยอะมาก ได้ลองอะไรใหม่ๆทำให้เปิดใจกับหลายๆ อย่างมากขึ้น กล้ากินอาหารที่กลิ่นแรงมาก ซึ่งพอลองแล้วก็ไม่ได้แย่ กลายเป็นว่าประเทศไทยคือเซฟโซน และรู้สึกว่าประเทศไทยคือบ้านของผม
พี่ฮงคิดว่านิสัยที่เปลี่ยนไปจากเดิมคืออะไร
ปกติคนเกาหลีเป็นคนที่ใจร้อนอยู่แล้ว นิสัยมันเปลี่ยนไม่ได้ แต่ผมว่าผมมีจังหวะที่รอคนอื่นได้เยอะมากขึ้น บางครั้งผมรู้สึกว่าผมวิ่งเร็วเกินไป ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้สึกตัวเองว่าแบบรีบอยู่ แต่ว่าหลังจากอยู่ประเทศไทยมานานแล้วทำให้ผมเรียนรู้ว่า จังหวะนี้ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ผมรู้สึกว่าผมหาจังหวะของตัวเองเจอ
พี่ฮงจำได้ไหมว่าคลิปแรกที่พี่ฮงทําคือคลิปอะไร
ของยูทูป น่าจะเป็นคลิปกินศิลปินไทย เหมือนผมซื้ออาหารมาใช่ไหมครับ ตอนนั้นยังเป็นแรปเปอร์อยู่เป้าหมายคือผมซื้อผัดไทมาแล้วก็ตั้งกล้อง กินผัดไทแล้วก็เปรียบว่าอันนี้คือมิลลินะครับ ชิลมาก ทุกคนครับอันนี้พี่โต้งทูพีนะครับ อื้ม อ้อ ชิลมากอะ (หัวเราะ)
ตอนนั้นไม่มีเป้าหมายครับ ก็เลยไม่สำเร็จ ตอนนั้นผมเป็นคนที่อะไรก็ไม่ชอบ อะไรก็ไม่เหลัรู้แล้วก็ไม่ค่อยพูด แต่หลังจากนั้นสักพักผมรู้สึกว่าผมต้องแบบดูแลตัวเอง มีวินัยในตัวเอง แล้วก็มองโลกให้กว้างขึ้น
จุดไหนที่พี่ฮงรู้สึกว่า คอนเทนต์ที่เราทําเริ่มโดนใจคนและคนเริ่มชอบ
น่าจะการไลฟ์ใน facebook ไอจี และติ๊กต็อกช่วง COVID-19 คือเห็นคนเข้ามาคุยกับเราเยอะขึ้น ผมว่าช่วงหลังจาก COVID-19 มันเป็นช่วงที่ต้องเตรียมตัวเพื่ออนาคต
ตอนนั้นพี่ฮงเจอความยากอะไรบ้างในการทําคอนเทนต์ไหม
เงินครับคือเงินไม่เข้า (หัวเราะ) แม้ว่าจะได้ยอดไลก์หรือยอดวิวเท่าไหร่ ก็ไม่มีเงินไม่มีแบบระบบที่ได้เงินจากแพลตฟอร์มเป็นรายเดือน ผมไม่มีแรงบันดาลใจครับ แล้วก็ไม่มีโฆษณาด้วย
แล้วตอนที่มันยังไม่มีเงินเข้ามาไม่มีโฆษณาเข้ามา ทำไมถึงยังทํามันต่อไปเพราะว่าอะไร
เพราะว่าตอนนั้นพระเจ้าอาจจะกำลังทดสอบเราอยู่มั้งครับ ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีศาสนานะครับ แต่ว่าผมรู้สึกว่า ตอนนั้นก็ทนๆ ไปก่อน นอกจากนี้ ก็ยังมีเพื่อนหรือน้อง และครอบครัวที่ดูแลผมมาอย่างดีครับ ผมเลยรู้สึกว่าหยุดตรงนี้ไม่ได้

หลังจาก COVID-19 แล้วการทำคอนเทนต์มันยากจริงไหม ยากจากต่างจากก่อนหน้านี้แค่ไหนบ้าง
คือช่วง COVID-19 คลิปทุกคนไวรัลง่ายมาก ถ้าตอนนั้นยอดไลค์ 5 ล้านวิว ตอนนี้คือต่ำลงมาประมาณ 400,000 วิว ยอดไลก์ก็ลดลงแล้ว เพราะว่ามีคนมาทําเยอะมากกับมีคู่แข่งเยอะขึ้นครับผม
แล้วพี่ฮงปรับตัวยังไง
ก็ขยันไปเรื่อยๆครับ ไม่มีวิธีอื่น ผมใช้ชีวิตปกติกับแฟนคลับ แล้วก็ถ่ายคอนเทนต์ที่แบบเป็นหลายมุมของโอปป้าฮงครับ
คิดว่าที่คนมาดูพี่ฮงเยอะ และสนุกกัน พวกเขาชอบอะไรในคอนเทนต์ที่พี่ฮงบ้าง
น่าจะหล่อป่ะ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ ผมว่าน่าจะชอบเพราะว่าไม่หยิ่ง ผมว่าการเป็นคนเฟรนลี่มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่ค่อยชอบเก๊ก เพราะรู้สึกปลอม มันฝืนสำหรับผม
การทําช่องทำให้เปลี่ยนพี่ฮงไปมากน้อยแค่ไหน
อย่างแรก ผมต้องขอบคุณคนไทยครับ เพราะว่าคนดูเป็นคนไทย ถ้าไม่ใช่คนไทยผมก็น่าจะไม่มีงาน ผมไม่มีแรงกําลังใจที่ซื้อกล้องหรือจ้างทีมงาน หรือตั้งบริษัทจะทําคอนเทนต์ อย่างที่สองคือ เรียนรู้เกี่ยวกับเงินมากขึ้น แต่ก่อนนี้ผมเข้าใจคําว่าเงินก็คือแค่เงิน ได้เยอะก็ดีน้อยก็ไม่ดี แต่ว่ารู้สึกว่าเงินเป็นเหมือนสิ่งที่ปรับอะไรที่แบบง่ายขึ้น เช่น ถ้าเยอะก็ช่วยคนอื่นหรือว่าทําบุญได้แบบนี้ครับผมเปลี่ยนไปเยอะมากครับ แล้วก็รู้ชีวิตตัวเองมากขึ้น ไม่ชอบอะไร ชอบอะไร ความฝันมีอะไรบ้าง จริงจังกับเป้าหมาย และรักครอบครัวผมมากขึ้นครับ

พี่ฮงเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ตอนนี้ก็ประมาณ 5 ปีแล้ว อะไรคือสิ่งที่ทำให้พี่ฮงมาถึงทุกวันนี้ได้
ผมไม่หยุดครับ ไม่ชอบยอมแพ้ อย่างเช่นแบบถ้าติดเกมส์ผมเล่นแบบไม่หยุดจนถึง 200 ชั่วโมง ผมเป็นคนนิสัยแบบนั้นอยู่แล้ว ส่วนตอนนี้หยุดไม่ได้ เพราะว่าทีมงานครับ ผมต้องจ่ายเงินเดือนให้กับน้องๆ
สมมุติว่าถ้าจะมีครีเอเตอร์หน้าใหม่ที่อยากทําอะคิดคอนเทนต์บ้างอะพี่ฮงมีอะไรแนะนําเค้าบ้างครับ
ผมว่าลองสิ่งตัวเองชอบอยู่แล้ว ลองก่อนแล้วก็ลองโพสต์ มันจะมีเวลาที่ได้เรียนรู้ตัวเองว่าตัวเองมาเหมาะกับคอนเทนต์อะไรบ้าง
พี่ฮงเคยศึกษาคนดูไหมว่าเค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไร พอปรับตัวตามความชอบของคนดูทั้งหมดมันดีจริงไหม
ไม่เวิร์คครับ ถ้าตามทำคอมเมนต์ หรือว่าตามความคิดเห็นของคนอื่น บางทีมันเวิร์คแต่ว่าถ้าแบบ ทำไปตลอดยังไงก็มันพังอยู่แล้วครับ เพราะว่ามันไม่ใช่มุมที่ตัวเองชอบอยู่และไม่ใช่ตัวเอง ส่วนตัวคิดว่าทําคอนเทนต์ที่ ตัวเองชอบประมาณ 30 ถึง40% แล้วก็ต้องทําคอนเทนต์ที่คนอื่นอยากดูประมาณ 60% ถ้าต้องทำแต่คอนเทนต์ที่คนดูชอบ 100% อาจจะตัวเองรู้สึกเหงา แล้วก็เศร้าทีหลังครับ
ถ้าทําอย่างงั้นแล้วมันได้เอ็นเกจเมนต์ดีพี่ฮงจะทําไหม
ผมว่าดีใจได้แค่แป๊ปเดียว ถ้ายอดวิวดีก็ดี แต่ว่าถ้ามันไม่ใช่ตัวเองแล้ว ก็น่าห่วงมากขึ้นระยะยาว
ถ้าวันที่ตัวเลขยอดวิวไม่มาเหมือนเดิม พี่ฮงรู้สึกกังวลใจลําบากใจอะไร
มันจะเป็นช่วงๆครับ มีทุกซีซั่นครับ ปีละประมาณ 3-4 รอบครับ ยอดวิวผมแบบไม่ดีมาก ห่วงมากแต่หลังจากนั้นมันก็กลับมาแน่นอน ผมเชื่อว่ามันแค่ช่วงช่วงนึงที่ผมทำคอนเทนต์ที่แบบไม่เหมาะกับผมครับ เป็นช่วงที่ต้องปรับนิดนึง ถ้าขยันทําต่อก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
สุดท้ายแล้ว ฝากพี่ฮงย้อนกลับมาโปรโมทหนังสือหน่อย อยากแนะนำหนังสือเล่มนี้ยังไงบ้าง
หนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับคนที่นิสัยคล้ายกับพี่ฮงครับ คือคนอื่นคิดว่าผมเป็นคนที่คนตลกหรือเฟรนด์ลี่หัวเราะบ่อยสุด แต่ถ้าผมอยู่คนเดียวส่วนมาก เหงามากครับ เป็นคนที่ชอบอยู่ในเซฟโซน เรื่องมาก คิดมาก เครียดง่าย หรือไม่ค่อยมีเพื่อน
หนังสือนี้จึงเหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ร่วมกัน เพราะเราจะเชื่อมกันได้สําหรับคนที่นิสัยแบบพี่ฮงนะครับ
