ด่านแรกของความเป็นความตายในโรงพยาบาลคือห้องฉุกเฉิน เมื่อผู้ป่วยทั้งประสบอุบัติเหตุหรือเผชิญกับโรคร้ายที่เกิดขึ้น ถูกนำตัวมาดูแลรักษา พื้นที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญที่ชี้วัดลมหายใจและชีพจรของผู้คน
เรื่องราวมากมายในห้องฉุกเฉินเกิดขึ้นแทบทุกวินาทีแพทย์และพยาบาลต้องประเมินสถานการณ์ตรงหน้าและตัดสินใจอย่างเฉียบคมบนเวลาที่จำกัดตลอดจนการสื่อสารกับครอบครัวของผู้ป่วยรวมถึงการบริหารกับปัญหาที่ควบคุมไม่ได้และคาดเดาได้ยาก
ความไม่แน่นอนในห้องฉุกเฉินเช่นนี้ กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ หมอเจี๊ยบ—พญ.ลลนา ก้องธรนินทร์ และ หมอยุ้ย—พญ.พรรณอร เฉลิมดำริชัย สองแพทย์จากห้องฉุกเฉินอยากนำประสบการณ์ และสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ มาบอกเล่าต่อให้กับทุกคนผ่านหนังสือ ‘อยู่ให้ได้ ตายให้ดี เรียนรู้นาทีชีวิตจากห้องฉุกเฉิน’

อยากเล่าเรื่องอะไรผ่านหนังสือเล่มนี้กันบ้าง
หมอยุ้ย : โดยปกติหมอที่อยู่ในโรงพยาบาลส่วนใหญ่จะเป็นเชิงรับ ในความรู้สึกของความเป็นหมอ เรารู้สึกว่าการเผยแพร่ความรู้ออกไปที่มันเป็นเชิงรุก ประชาชนน่าจะได้ประโยชน์และเข้าใจง่าย ซึ่งเราอยากทําหนังสือมานานแล้ว ก็เลยเป็นที่มาของการเขียนหนังสือเล่มนี้
หมอเจี๊ยบ : มุมมองของหมอฉุกเฉินกับคนไข้ บางทีมันจูนกันไม่ติด แค่คําว่าฉุกเฉินของเรากับฉุกเฉินของคนไข้ก็คนละแบบแล้ว เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นสื่อกลางที่ทําให้เค้ามองเห็นภาพหมอฉุกเฉินได้มากขึ้น เพราะหมอฉุกเฉินกับคนไข้เหมือนอยู่คนละบทบาท อยู่คนละที่แล้วเวลามองมาจุดเดียวกัน ความคิดหรือความเห็นอาจจะต่างกัน หนังสือเล่มนี้ก็อาจจะทําให้เห็นมุมมองอีกแบบในการทํางานของเรา มันต้องเจออะไรบ้าง
ความยากในการเป็นหมอฉุกเฉินมีอะไรบ้าง
หมอเจี๊ยบ : ตอนที่เรายังไม่เคยทํางานในวงการนี้ เราคิดว่าหมอฉุกเฉินเคยดูในหนังซีรีส์ก็แค่รักษา แต่พอมาทํางานแล้วการรักษาก็ส่วนนึง แต่การเจรจาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราแทบจะเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ในห้องให้ได้ บางทีวุ่นวายมากกว่าการรักษาอีก เพราะการรักษามีขั้นตอนอยู่แล้วแต่การที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ ตรงหน้ามันไม่ง่ายที่จะสื่อสารกับคนที่เค้าไม่เข้าใจความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน
หมอยุ้ย : นอกจากการวินิจฉัยโรคโดยมีข้อมูลไม่ครบแล้ว ยังมีเรื่องการสื่อสารของญาติคนไข้ด้วย คือต้องบอกว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องฉุกเฉินเค้ามาด้วยความกังวลในใจก่อนว่าแบบจะหายไหมจะรอดมั้ย เพราะฉะนั้นเนี่ยการที่เราคุยกับคนที่จิตใจเขายังไม่เข้มแข็งหรือรู้ข้อมูลไม่หมดมันจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันเยอะมาก โดยส่วนใหญ่ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลรัฐมักจะเป็นห้องฉุกเฉินที่คนเยอะมาก เราไม่สามารถจัดการทุกคนพร้อมกันได้ มันต้องมีลําดับขั้นของฝั่งฉุกเฉินเราก็เลยอยากจะสื่อว่ามันมีข้อจํากัดของความเป็นหมอฉุกเฉิน อยากให้คนที่เข้ามารับบริการเข้าใจในจุดนี้ด้วยค่ะ
หมอยุ้ยเป็นอาจารย์สอนหมอฉุกเฉินด้วย อยากรู้ว่าแล้วในการทำงานตามตำรา กับในชีวิตจริงมันต่างกันยังไงบ้าง
หมอยุ้ย : ต่างกันเยอะ คือหมอทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเค้าใช้คําว่าไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ หมายความว่าตําราเขียนไว้ยังไงแต่ถ้าได้ตรวจคนไข้เยอะจริงจะรู้ว่าไม่ได้เหมือนตําราเลย อย่างยกตัวอย่างนะคะ เคยเจอคนไข้ที่เป็นความดันในสมองสูงแต่คนไข้มาด้วยอาการปวดท้องช่วงล่างเป็นผู้หญิงอายุสักประมาณ18 มีประวัติมีเพศสัมพันธ์ถามว่าเราจะนึกถึงเนื้องอกหรืออะไรในสมองไหม ไม่เลยไม่มีความคิดนั้นเลยด้วยซ้ำค่ะ แต่สุดท้ายพอตรวจวินิจฉัยอย่างครบถ้วนแล้วมันก็จะค่อยๆ เจออะไรออกมา ซึ่งบางครั้งตรงนี้มันใช้เวลา และไม่สามารถซักประวัติภายใน 10 นาที แล้วสรุปได้ทันที ต่างกับคนไข้ที่นอนในตึกผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีวินิจฉัยมาแล้วตรวจมาพอสมควรระดับหนึ่ง มันก็จะได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่หมอฉุกเฉินเนี่ยเรารักษาตามอาการโดยยึดหลักว่าทํายังไงให้มีชีวิตรอด และลดความพิการให้ได้มากที่สุด
หมอเจี๊ยบ : คนไข้ที่มาแบบรุนแรงเลย เช่นโรคหลอดเลือดในสมอง ไส้ติ่งจะแตก ปั๊มหัวใจจะง่าย เพราะเราจะรู้ทันทีว่าต้องทำอะไรในตอนนั้น สิ่งที่ยากคืออาการที่ก้ำกึ่งมันไม่รุนแรงหรือเคสที่ไม่ชัดเนี่ยแหละที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มีอะไรอะยากที่สุดสำหรับเจี๊ยบ สติและประสบการณ์สำคัญมาก
ห้องฉุกเฉินมีข้อปฏิบัติที่มันตายตัวไหม
หมอเจี๊ยบ : ไม่เลย หมอฉุกเฉินเป็นหมอที่ต้องยืดหยุ่นที่สุดในทุกสถานการณ์ คนกับเครื่องจักรไม่เหมือนกัน เครื่องจักรคุณอาจจะมีได้ว่าตัวนี้พังมันต้องใส่น็อตตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้น แต่สถานการณ์จริงที่ถ้าทําตามสูตรตายตัว มันอาจจะไม่ทำให้เกิดผลดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นเนี่ยมันคือศิลปะมากในการที่เราจะจัดการยังไง มันคือความท้าทายของหมอฉุกเฉินว่าคุณมีเวลาน้อยมากเราไม่ได้มีเวลาว่าจะมานั่งคุยกันได้ นั่นแหละมันคือความท้าทาย แต่ส่วนที่ถามว่ามีกฎที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของห้องฉุกเฉินเลยมั้ย สําหรับเจี๊ยบก็คือ safety first เราจะต้องให้เราปลอดภัย ทีมเราปลอดภัย
หมอยุ้ย : เห็นด้วย แต่ว่าทุกอย่างมันต้องยืดหยุ่นตามหน้างานไม่ว่าจะกับคนไข้กับญาติเจ้าหน้าที่ด้วยกันเองด้วย สถานการณ์หลายครั้งถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ ยกตัวอย่างเรื่องที่เจอมาบ่อยเหมือนกันก็คือถ้าเราประเมินแล้วคนไข้ไม่ปลอดภัยที่จะลุกไปเข้าห้องน้ําเราจะแขวนป้ายว่าห้ามลุก ปวดฉี่ก็จะให้พยาบาลใส่แพมเพิสซึ่งหลายคนเค้าก็ไม่ไม่ชอบ เค้าบอกว่าปัสสะวะไม่ออก ทุกอย่างเราออกแบบมาเพื่อความปลอดภัย แต่เราก็จะอิงเพื่อคนไข้เป็นหลัก

หมอฉุกเฉินเป็นอาชีพที่ใกล้ชิดกับความตายมากเลย สิ่งนี้มันทําให้เรามองเห็นความตายว่ามันน่ากลัวบ้างไหม
หมอยุ้ย : อดีตถามว่ากลัวตายมั้ยก็กลัวเหมือนกัน แต่พออายุมากขึ้นเราเห็นความตายมาเยอะและเริ่มมาอ่านพวกธรรมะบ้าง มันทําให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องยอมรับมันให้ได้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถามว่ากลัวแล้วไม่ตายเหรอ ก็ตายอยู่ดีใช่มั้ย ทําไมเราไม่เตรียมตัวตายให้ดีก่อนล่ะ เหมือนการวางแผนการเการวางแผนหรือการวางแผนการเรียนให้ลูก
หมอเจี๊ยบ : มีความกลัวอยู่แล้วว่าตอนจะตายมันจะเป็นยังไงนะ เหมือนเป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่กลัวแน่ๆ ก็คือกลัวที่เราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักมากกว่า เวลาที่เราตาย ชีวิตเรามันก็จบสิ้น แต่ถ้าเราต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก มันน่าจะกลัวตรงนั้นมากกว่า ทํางานเป็นหมอฉุกเฉินเห็นคนตายบ่อยจนเราเริ่มตระหนักได้ว่าวันนึงน่าจะต้องเป็นเราหรือไม่ก็คนที่เรารัก พยายามหยิบหนังสือธรรมมะมาหาคําตอบว่าเราจะจัดการยังไง สุดท้ายแล้วมันไม่มีไง เพราะมันก็คือธรรมชาติของชีวิต เกิดแก่เจ็บตายมาเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้แต่จะทํายังไงให้รับมือให้ดีที่สุด เหมือนที่หมอยุ้ยบอกเลยว่าเตรียมตัวไว้ก่อนไม่ใช่ว่าอ่านหนังสือแล้วคือการเตรียมตัวนะ มันคือการฝึกที่ว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นทําไง ทำให้เรากลับมาเห็นถึงคุณค่าชีวิตมากขึ้น

การเป็นหมอฉุกเฉินส่งผลต่อวิธีการมองโลกชีวิตประจําวันยังไงบ้าง
หมอยุ้ย : เราเป็นทั้งหมอฉุกเฉิน หมออายุรศาสตร์โรคผิวหนัง แล้วก็เรียนต่อด้านประคับประคอง เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจเรื่องความตายได้มากกว่าหมอฉุกเฉิน ถ้าในแง่ของตัวเองก่อนนะคะ เคยสมมุติหลายรอบว่าถ้าเรารู้ตัวว่าเราเหลือเวลาอยู่บนโลกอีกแค่วันเดียว ถามว่าเงินในบัญชีสําคัญมั้ย กับเราไม่สําคัญเลย แต่สิ่งที่สําคัญก็คือ relationship ระหว่างคนรอบข้าง อย่างที่บอกว่าเราสามารถเตรียมตัวตายได้ ได้ เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องการรักษาประคับประคองพ่อของตัวเอง
เรารู้สึกว่ามันเป็นศาสตร์ที่มีคุณค่ามาก และทุกคนควรจะรู้จักศาสตร์นี้ หลายครั้งในฐานะของหมอฉุกเฉิน เราจะเจอคนไข้ที่พาพ่อพาแม่ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมาหา แล้วก็ถามว่าหมอหนูควรจะทํายังไงต่อหนูควรจะใส่ท่อช่วยหัวใจพ่อไหมหรือว่าหนูควรจะให้พ่อไปแบบสงบสงบดี
โดยส่วนตัวเคยโดนถามอย่างนี้มาหลายครั้งเลย ด้วยทั้งคนรู้จักและคนแบบไม่รู้จัก มักจะแนะนําการรักษาแบบประคับประคองในรายที่รู้ว่ามันสามารถรักษาได้มันคือรักษาคู่ไปกับการรักษาตามปกติเลย ถ้าคนไข้บอกว่าขอมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุดเพื่อดูลูกดูหลานก็ว่าไป เราก็จะคุยกับกับคุณหมอที่รักษาในด้านนั้นนั้นนะคะ ว่าทําอย่างไรให้เค้ามีชีวิตที่ยืนยาวที่สุดโดยไม่ทรมาน
เรามีโอกาสได้คุยกับคุณหมอหลายท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไอซียู จะเจอว่าคนไข้หลายคนเค้ามีชีวิตที่ทรมานมากจากโรคหมายถึงถ้าตายไปอาจจะสบายกว่า เรามีทางเลือกให้เค้าเลือกว่าว่าเค้าอยากใช้ชีวิตแบบไหนตัดสินใจเองตามแบบของเค้าเราไม่ต้องตัดสิน ถ้าเค้าอยู่ในภาวะที่ตัดสินใจเองได้นะ แต่ถ้าเค้าอยู่ในสภาวะที่ตัดสินใจเองไม่ได้ เราอาจจะเรารู้นิสัยของพ่อแม่ญาติ หรือคนที่เรารักอยู่แล้วเราอาจจะลองคิดดูถ้าเราเป็นเค้าสวมวิญญาณของเค้าจะเลือกอะไร

สุดท้ายแล้วคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดว่าเค้าจะได้อะไรที่ไปใช้กับส่วนตัวเองได้บ้าง
หมอเจี๊ยบ : อย่างแรกเลยคือหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เราสอดแทรกเกล็ดฉุกเฉินเล็กๆน้อยๆเข้าไปด้วย ทั้งขั้นตอนและหลักการต่างๆ อย่างเช่น ถ้าเกิดคนไข้กินสารพิษหรือว่ามีเลือดออกเยอะ จะจัดการยังไงกับเหตุการณ์ฉุกเฉินพวกนั้นที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนได้ อีกจุดนึงที่สําคัญก็คือเราจะรู้ว่าเราควรจะเลือกสิ่งไหนให้กับตัวเราเองและกับคนที่เรารักเพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจี๊ยบคิดเสมอว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายมากที่ว่าเรื่องสําคัญที่สุดในชีวิตแต่เวลาที่ให้เค้าคิดอะมันมีแค่ 2 นาที หรือ 3 นาที ซึ่งทุกครั้งที่จะพูดไปอะจะเข้าใจตัวหัวอกคนไข้เลยนะว่าบางคนยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร บางคนถามว่าใส่ท่อจะช่วยหายใจทุกคนคิดว่าออกซิเจนมาเสียบจมูกอย่างเงี้ย มันคือการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่มากมากในในชีวิตของคนคนนึงเลย ก็เลยอยากจะประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนรู้
ทุกคนที่ได้อ่านเล่มนี้ก็จะเข้าใจว่า สิ่งพวกนี้ เช่น ความตายมันจะต้องมาถึง คุณอาจจะไม่ได้อยู่ในห้องฉุกเฉินในฐานะเป็นหมอหรือเป็นคนไข้ แต่คุณอาจจะอยู่ในฐานะของญาติที่ต้องตัดสินใจให้ญาติ ถ้าทุกคนอ่านเล่มนี้แล้วสามารถไปต่อยอดได้ ปัจจุบันนี้มีองค์ความรู้เยอะแยะแต่หนังสือเล่มนี้อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นให้คุณรู้ว่า ในวันที่เรื่องราวนี้มันมาถึง คุณควรจะต้องเตรียมตัวกับปัจจุบันน และวางแผนกับคนในครอบครัวยังไง เพราะทุกวันนี้คนเรามักแทบจะไม่เคยวางแผนนี้ในเรื่องการจากไปเลย แล้วบางคนหลังจากที่ตัดสินใจไปแล้ว จะรู้สึกว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่า มันไม่มีผิดหรือถูก เราจึงต้องศึกษาและทําความเข้าใจหนังสือเล่มนี้ยังมีการสอดแทรกข้อคิดให้กลับมาคิดถึงตัวเอง บางทีเราทําอะไรหน้าที่หลายหลายอย่างเราหลงลืมทั้งความเป็นหมอความเป็นมนุษย์
หมอยุ้ย : เมื่อสักประมาณเกือบ 20 ปีก่อนถ้าไปดูตัวเลขของคนหมดสติหยุดหายใจ การที่จะมีคนหน้างานมาช่วยเนี่ยเป็นตัวเลขจํานวนน้อยมาก แต่ปัจจุบันเนี่ยทําเป็นแทบจะทุกคน เราก็เลยรู้สึกว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเนี่ย ทุกคนในที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยกันสอนช่วยกันให้ความรู้ประชาชนมันเกิดผลลัพธ์และโอกาสรอดสูงมากขึ้น การให้ความรู้กับประชาชนในเชิงรุกอะมันเป็นสิ่งที่เราควรทํา

ในหนังสือเล่มนี้มีการสอดแทรกเรื่องที่คนพูดถึงมากขึ้นก็คือเรื่องการรักษาประคับประคอง อยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าใจการรักษาแบบประคับประคอง อย่าไปมองมันในแง่ร้ายแต่มันคือทางออกที่สําคัญเลย การรักษาตัวโรคมันอาจไม่ได้หายแต่มันทําให้คุณภาพชีวิตที่เราเหลืออยู่มันดี เราสามารถเลือกได้ ถ้าสมมติเราอยากจะเลือกในการรักษาแบบเต็มที่เราก็ยังสามารถเลือกได้คู่ขนานไปกับการรักษาประคับประคองไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย อยากให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักคํานี้ แล้วก็รู้จักกับการตาย
เพราะการหนีมันไม่ได้ช่วยอะไร แต่เราควรอยู่กับมัน แล้วหาวิธีรับมือให้ได้จะดีที่สุด