ในยุคที่ทุกคนมุ่งหน้าเข้าสู่ข้อเท็จจริงและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เราสงสัยว่า ทำไมประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นการบวงสรวงเพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ยังคงมีพื้นที่อยู่ในชีวิตและจิตใจของคนไทยจำนวนไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อได้เจอ เฉย—ภาคภูมิ ยุทธนานุกร ดีไซเนอร์ผู้เป็นหนึ่งในทีมงาน Rocket Trail ที่ลงพื้นที่ไปสำรวจและถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟ ณ ค่ายบั้งไฟแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด เราจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปพูดคุยถามไถ่ถึงที่มาที่ไปและสิ่งที่พวกเขาค้นพบระหว่างทาง
เผื่อว่าเราจะเข้าใจประเพณีเก่าแก่ในบริบทปัจจุบันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
1. จากบั้งไฟสู่จรวด
หากคุณไม่ใช่คนอีสาน ความผูกพันระหว่างคุณและบั้งไฟคงอยู่ในระดับ ‘คนรู้จักห่างๆ’
ภาคภูมิเองก็เช่นกัน เขารู้จักบั้งไฟอย่างห่างๆ—รู้ว่ามันคืออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ขับขานตำนานปรัมปราเรื่องใด แต่ไม่เคยเข้าใกล้มันจริงๆ เสียที
จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา เพื่อนศิลปินชาวต่างชาติบอกเขาว่า ต้องการทำโปรเจกต์ศิลปะที่ประเทศไทย ภาคภูมิจึงชักชวนเพื่อนๆ มาพัฒนาความสัมพันธ์กับบั้งไฟด้วยกัน
“เราและเพื่อนมีความอยากผจญภัย อยากเล่นกับอะไรที่อันตรายหน่อยๆ หาความตื่นเต้นในชีวิต ในเวลาเดียวกันบั้งไฟมีทั้งความเอ็กโซติก เสน่ห์ และเรื่องราวเชิงลึกที่น่าค้นหา” ชายหนุ่มอธิบาย ทว่าเมื่อหาข้อมูลลึกลงไปเรื่อยๆ พวกเขากลับค้นพบเรื่องราวสนุกสนานและชวนเซอร์ไพรส์เกินกว่าที่คาดคิด จนต้องขยายจากโปรเจกต์เล็กๆ เป็นโปรเจกต์ใหญ่ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องในระยะยาว
“ตอนแรกเราตั้งใจเจาะแค่บั้งไฟ เราก็หาข้อมูลเรื่องจุดเริ่มต้น วัฒนธรรม ความเชื่อในชุมชน การแลกเปลี่ยน การให้คุณค่ากับมัน” เขาแจกแจง “แต่พอหาข้อมูลและมองลึกลงไปอีก เราพบว่าจริงๆ บั้งไฟเป็นนิยามหนึ่งของจรวด พอมองว่ามันเป็นจรวด เราก็เลยเปรียบเทียบบั้งไฟกับจรวดแบบอื่นๆ มันเหมือนเราเปิดล็อกไปอีกห้องหนึ่ง แล้วประเด็นมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
ภาคภูมิแบ่งปันข้อมูลที่พบเจอกับเราว่า กว่าจะพัฒนาไปเป็นจรวดแบบต่างๆ บั้งไฟซึ่งเป็น ‘จรวดเพื่อการบวงสรวง’ คือจรวดแบบแรกที่มนุษย์รู้จัก “มันเป็นเรื่องของ spirituality (จิตวิญญาณ) ก่อนเลย คนโบราณจุดบั้งไฟเพื่อขอฝน เพราะความเป็นอยู่ของชุมชนเกษตรกรรมขึ้นอยู่กับฝนที่ตกตรงตามฤดูกาล”
โดยนักวิชาการเชื่อกันว่า ผู้ริเริ่มประเพณีการจุดบั้งไฟคือชนเผ่าไทในสิบสองปันนา ผู้คิดค้นดินปืนอันเป็นเชื้อเพลิงหลักของบั้งไฟขึ้นมาได้ จากนั้นวัฒนธรรมบั้งไฟจึงเผยแพร่ไปตามเมืองต่างๆ ตามการอพยพของชนเผ่าไท ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเดินทางมาถึงดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงบ้านเราด้วย
ส่วนเหตุผลที่บั้งไฟเป็นที่มาของจรวดนั้นเป็นเพราะว่า สิ่งที่เดินทางมาพร้อมกับบั้งไฟคือดินปืน ซึ่งชาวจีนนำดินปืนไปประดิษฐ์เป็นจรวดสำหรับยิงป้องกันตนเองยามทำศึกสงครามกับชนเผ่าต่างๆ นับแต่นั้นจรวดในฐานะอาวุธจึงแพร่หลายไปยังดินแดนต่างๆ รวมถึงทวีปยุโรปผ่านเส้นทางสายไหม แล้วพัฒนาต่อเรื่องไปเป็นอาวุธปืนแบบต่างๆ จรวดขีปนาวุธ ก่อนจะข้ามขั้นมาเป็นจรวดโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงชนิดอื่น ซึ่งก็คือยานอวกาศที่พามนุษย์เดินทางไปสำรวจนอกโลกนั่นเอง
2. จากเมืองกรุงสู่ค่ายบั้งไฟ
อันที่จริง Rocket Trail คือการรวมตัวของศิลปินและดีไซเนอร์แขนงต่างๆ ช่วงแรกภาคภูมิและผองเพื่อนจึงตั้งใจแปลงข้อมูลดิบให้เป็นดีไซน์โปรเจกต์หรือผลงานศิลปะจัดวาง แต่พวกเขากลับพบจุดหักเหบางอย่าง จนเปลี่ยนใจหันมาถ่ายทอดเรื่องราวของบั้งไฟเป็นสารคดีเรื่อง ‘Rain Kids’ หรือ ‘บุตรธิดาแห่งสายฝน’
“ตอนแรกพวกเราอยากทำบั้งไฟของตัวเอง แต่เรายังไม่เคยไปดูบั้งไฟมาก่อน เคยเห็นแต่ในยูทูป ก็เลยตัดสินใจไปดูของจริงกัน” ชายหนุ่มเล่า “สองครั้งแรกไปที่จังหวัดยโสธร ก็ตะลึงไปเลย ได้เห็นพระท่านทำบั้งไฟโดยผสมดินปืนเอง เห็นดินปืนที่ปั้นเป็นก้อน พอจุดไฟแล้วหายไปเป็นควัน คือพอได้ไปสัมผัสมันจริงๆ มันมีอะไรติดในใจเรา มันมีอะไรที่น่าอัศจรรย์ ตอนนั่งรถกลับมาก็เลยคุยกับเพื่อนว่า เราอยากทำสารคดีเรื่องบั้งไฟก่อน มันน่าลงลึก ก็เลยเกิดเป็นทริปที่สามซึ่งไปถ่ายสารคดีที่จังหวัดร้อยเอ็ด เราได้ไปคลุกคลีกับค่ายบั้งไฟจริงๆ สองอาทิตย์ ไปทำบั้งไฟกับเขา เลยได้เข้าใจเรื่องความเชื่อ ประเพณี แล้วก็คราฟต์ของคนท้องถิ่น”
สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ‘ค่ายบั้งไฟ’ คือการรวมกลุ่มคนทำบั้งไฟของแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งอาจเป็นค่ายเฉพาะกิจในหน้าเทศกาลแข่งขัน หรือเป็นค่ายพาณิชย์ที่ทำบั้งไฟขายกันตลอดปี โดยค่ายบั้งไฟในสารคดีของ Rocket Trail นั้นพิเศษกว่าค่ายอื่นๆ ตรงที่ คนในค่ายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่กุมภา พระภิกษุผู้ชักนำให้คนในชุมชนช่วยกันทำบั้งไฟ
อ้าว ทำไมพระถึงเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทำบั้งไฟล่ะ—เราอดสงสัยไม่ได้
“ก่อนไปค่าย ผมก็มีคำถามนะ โดยมุมมองของคนทั่วไป พระจะมีระเบียบหลายอย่าง อะไรสมควร อะไรไม่สมควร แต่ถ้ามองจากมุมของคนในชุมชน วัดเป็นศูนย์รวมของชุมชน คนที่จะทำให้คนทั้งหมู่บ้านสามัคคีกันได้คือพระ” ภาคภูมิตอบ
“ผมไปถามคนเถ้าคนแก่ที่นู่น เขาก็บอกว่าพระนี่แหละเป็นคนให้ทำบั้งไฟ สมัยก่อนชุมชนเขาทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ความเป็นอยู่ขึ้นกับฝน ถ้าฝนไม่ตกก็จะเดือดร้อน มันมีความกังวลเรื่องนี้อยู่ การทำบั้งไฟจึงเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้คนมีสมาธิอยู่ที่ใดที่หนึ่ง จนลืมความเครียด ความหิว จนไม่บ้าบอ เพราะถ้าอยู่ดีๆ มาน่ังรอฝนโดยที่ไม่ทำอะไรเลย คนเราก็สติแตกได้นะ”
นอกจากความเข้าใจในประเพณีบั้งไฟที่ลึกซึ้งกว่าการบวงสรวงขอฝนแล้ว ภาคภูมิบอกว่า สิ่งที่เขาเซอร์ไพรส์มากคือความรู้สึกของตัวเอง
“ค่ายอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ค่ายนี้เขาซีเรียสเรื่องบรรพบุรุษมาก เขาทำบั้งไฟเพื่อบวงสรวงหลวงปู่กุมภา ทุกคนมี emotional attachment (ความผูกพันทางอารมณ์) เกี่ยวกับมัน” ชายหนุ่มเล่า ซึ่งแม้เขาจะไปใช้ชีวิตอยู่เพียงสองสัปดาห์ แต่ก็ได้พบความผูกพันที่ว่าด้วยตนเองเช่นกัน
“ตอนที่ทำบั้งไฟเราก็ไม่ได้ทำแบบจริงจังนะ เพราะหลายอย่างก็ต้องปล่อยให้เขาทำ มันเป็นทักษะของเขา เราไปช่วยตัดไม้ เผาถ่าน ผสมดินปืน ขนาดทำนิดๆ หน่อยๆ แต่ความรู้สึกตอนที่ได้จุดมันจริงๆ คือ… (อธิบายไม่ได้)
“ตอนวันงาน พอเขาเรียกชื่อ ทีมเราก็ช่วยกันแบกบั้งไฟ 120 กว่ากิโลปืนขึ้นฐาน พอผูกเสร็จเขาจะประกาศว่า 3-2-1 ไป! เราก็แบบเชี่ย แม่งจะไปไหมวะ (หัวเราะ) แล้วพอมันขึ้นไปก็ โหย…ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย การที่ได้ไปอยู่ตรงนั้น ได้กลิ่น ได้เสียง ได้ควัน ได้ส่งอะไรขึ้นไปสูงมากขนาดนั้น เราเข้าใจคนท้องถิ่นมากขึ้นนะ เรายังรู้สึกขนาดนี้ เขาจะรู้สึกยังไง”
3. จากบริบทยุคเก่าสู่บริบทยุคใหม่
ในยุคสมัยแห่งข้อเท็จจริงและบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ทุกคนที่เคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ระดับประถมล้วนรู้ว่า ฝนเกิดจากการควบแน่นของไอน้ำในอากาศเหนือพื้นดิน
และในยุคสมัยแห่งอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟน คนเราสามารถเข้าถึงความบันเทิงได้ทุกที่ทุกเวลา มีอะไรมากมายให้เราดู เล่น อ่านเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอบางสิ่งบางอย่าง
แล้วทำไมการจุดบั้งไฟถึงยังมีพื้นที่อยู่ในยุคสมัยนี้ได้?
คำตอบคือการพนันและการบนบานศาลกล่าว ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงทุกอาชีพที่เกี่ยวข้อง
“มันมี ecosystem (ระบบนิเวศ) ของวัฒนธรรมบั้งไฟ ถ้ามองด้านกีฬา มันจะมีเซียนบั้งไฟที่รับแทง คนอยากรู้ว่าบั้งไฟค่ายไหนดีก็จะไปซื้อที่ค่าย เงินพวกนี้ก็เป็นรายได้เข้าค่าย เข้าวัด ช่างบั้งไฟก็มีงานทำ
“ด้านความเชื่อ ที่วัดพระธาตุใหญ่ที่ร้อยเอ็ด คนจะไปบนกันเยอะ ส่วนมากบนแล้วจะเอาบั้งไฟไปถวาย หรือคนที่ไม่บน แค่อยากทำบุญ อยากทอดกฐิน ก็จะถวายบั้งไฟเหมือนกัน นี่ก็เป็นกลไกที่ขับเคลื่อน ecosystem คนมาด้วยความศรัทธา ศรัทธาแลกเปลี่ยนเป็นบั้งไฟ บั้งไฟแลกเปลี่ยนเป็นเงิน ซึ่งก็หล่อเลี้ยงวัฒนธรรมนี้ ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ”
4.จากบั้งไฟอีสานสู่ Rocket Trail
สารคดีเรื่อง Rain Kids อันเป็นผลลัพธ์จากการใช้เวลาสองสัปดาห์อยู่ที่ค่ายบั้งไฟในจังหวัดร้อยเอ็ดนั้นเป็นเพียงผลงานชิ้นแรกจากโปรเจกต์ Rocket Trail เท่านั้น ในอนาคต ภาคภูมิและทีมงานจะสำรวจประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบั้งไฟให้ลึกลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินปืน การเดินทางของชนเผ่าไท วิทยาศาสตร์และความเชื่อ ไปจนถึงเรื่องของจรวดที่พามนุษย์ออกไปเหยียบดวงจันทร์
บางครั้งเรื่องที่จะพาเราไปไกลแสนไกล ก็อยู่ใกล้เราแค่นี้เอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของโปรเจกต์นี้ได้ที่ rockettrail.net