ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ว่า เราทุกคนมองเห็นนิวยอร์กไม่เหมือนกัน
สำหรับบางคน นิวยอร์กอาจมีภาพเป็นแสงสีที่ไม่มีวันหลับใหล เป็นเมืองแห่งอนาคตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง หรือกลิ่นอายความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า
แต่สำหรับ ซันเต๋อ—ยศนันท์ วุฒิกรสมบัติกุล นักวาดภาพประกอบลายเส้นมินิมอลแล้ว นิวยอร์กของเขาใช่มีแต่มวลของความจัดจ้านเพียงอย่างเดียว เพราะหลังจากที่ย้ายไปใช้ชีวิตที่นิวยอร์กเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว สิ่งที่เขาได้กลับเจือปนด้วยความนอยด์ระดับที่ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้อารมณ์ติดลบ
ยิ่งเมื่อได้เจอ ปุ๊กปิ๊ก—ณัฐพร ดวงฉวี และ รัน—รัญชน์ ลิขิตกิจบวร แก๊งเพื่อนร่วมสถาบันที่บังเอิญลาออกจากงานไปเรียนพร้อมกันและได้ร่วมชะตากรรมความนอยด์ ทุกอย่างก็พอดิบพอดีจนมวลลบๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Suntur Store ในวันนี้
ผ่านมาปีกว่า Suntur Store ปล่อยโปรดักต์มาแล้วหลากหลายตามใจพวกเขา ทั้งหมวกแก๊ปและกระเป๋าลาย I’m ok (ที่จริงๆ ก็มาจากความไม่โอ) คอลเลคชั่น O2 ที่พวกเขาลองร่วมงานกับร้านดอกไม้ Plant House ทำโปรดักต์เก๋ๆ แถมยังทดลองจัดเวิร์กช็อปช่วงที่ซันเต๋อกลับมาไทยอีกด้วย ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังปล่อยอนาคตให้เป็นที่ว่างของการทดลองที่ทำให้เราต้องรอลุ้นว่าจะได้เห็นอะไรสนุกๆ อีกแน่ๆ
Life MATTERs : เราเคยเห็นว่าคุณมี Store by Suntur มาก่อน ร้านนั้นกับ Suntur Store มีความเกี่ยวข้องกันมั้ย
ซันเต๋อ : คือร้านนั้นตอนนั้นเราทำเสื้อยืดขายกับญาติ ทำแบบบ้านๆ เลย เป็นธุรกิจครอบครัว ไม่ได้หวังกำไรหรอก เหมือนมีคนถามว่ามีงานเราขายมั้ยเราก็เลย อะ งั้นทำเป็นเสื้อยืดเผื่อใครชอบงานก็ซื้อเสื้อยืดไปใส่ แล้วเราก็หยุดทำมานานมากเพราะว่าไม่มีเวลาทำ ตอนนั้นเราทำเอเจนซี่ด้วย แล้วก็ทำงานภาพประกอบเพราะฉะนั้นมันหาเวลาไปทำไม่ได้ก็เลยหยุดทำไป
ส่วน Suntur Store มันเป็นช่วงที่ไปนิวยอร์กที่เราไปเจอปุ๊กปิ๊กกับรัน จริงๆ เรารู้จักกันอยู่แล้วตอนเรียนที่ศิลปากรก็เลยชวนกันมาทำร้านนี้ แล้วก็เอาชื่อเก่ากลับมาทำใหม่ ซึ่งจริงๆ จะเรียกว่าเกี่ยวมั้ยก็ไม่เชิง แต่ว่าคนออกแบบก็เป็นคนเดียวกัน คราวนี้เราว่ามันจริงจังมากขึ้น มีการโปรโมต มีการจัดอีเวนต์ แต่ว่าเราก็ไม่ได้หวังกำไรว่าจะต้องรวยมากเพราะพวกเรามีงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว และอันนี้เป็นอีกโปรเจกต์หนึ่งที่มาคุยกันว่าอยากทำอะไรก็ทำ เหมือนทำด้วยความสนุกแล้วก็เป็นการทดลองมากกว่าจะเป็นแบรนด์ดัง
Life MATTERs : พวกคุณเรียนจบมาทางด้านศิลปะกันหมดเลย มีการแบ่งหน้าที่ในแบรนด์กันยังไง
ปุ๊กปิ๊ก : คือแต่ละคนมันก็มีความชอบของกุ๊กกิ๊กอยู่แล้ว ความชอบศิลปะ ของดีไซน์ ของใช้ที่มีกิมมิก เราก็เริ่มจากสิ่งที่แต่ละคนถนัดก่อน จริงๆ ถึงสามคนเป็นกราฟิกดีไซเนอร์เหมือนกันมันก็จะมีความถนัดคนละแบบ ถ้าแบ่งกันเต๋อก็จะเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ น้องรันจะเป็นคนดูพีอาร์ ส่วนเราจะเมเนจเรื่องทั่วๆ ไป พยายามจะแยกหน้าที่กันนิดหนึ่งจะได้ไม่ทับกันมากเพราะแต่ละคนจริงๆ เราคือทำอาชีพเดียวกันหมด แต่พยายามจะมีเส้นบางๆ (หัวเราะ)
น้องรันเคยทำอยู่ JASPAL ดูเรื่องกราฟิก อาร์ตไดเรกชั่นรวมๆ ของแบรนด์ ดังนั้นเขาก็จะทำโปรดักต์ที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และแฟชั่นได้ พีอาร์เขาก็ทำได้เพราะเขาจะมีสกิลพรีเซนต์ เราเคยทำกราฟิกให้บริษัทส่งออก ดังนั้นเวลาคุยกับโรงงานเราก็จะเข้าใจว่าบางอย่างมันมีข้อจำกัดซึ่งมันก็ต้องปรับ
ซันเต๋อ : ซึ่งเรื่องนี้เราไม่รู้ เราจะจัดการไม่ได้ เราจะปวดหัว เครียดๆๆ ปวดหัว
ปุ๊กปิ๊ก : เราก็เลยจะแบ่งพาร์ทพวกนั้นมาดูเพราะเราชินกับงานเมเนจหรือจัดการประจำอยู่แล้ว ก็เลยแบ่งไปเลย บางทีมันก็แบ่งสมองยากถ้าจะให้ดูดีไซน์ด้วยแล้วก็ต้องมาดูพวกโปรดักต์ด้วย
Life MATTERs : พวกคุณเคยพูดว่าจุดเริ่มต้นของแบรนด์มาจากความดาวน์ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
ซันเต๋อ : ตอนนั้นเราอยู่นิวยอร์กแล้วมันเหงา ดาวน์ แล้วก็รู้สึกเป็น loser ไม่มีอะไรทำ ไปเรียนเสร็จ กลับมาบ้าน แล้วก็อยากจะทำอะไรสักอย่าง มันเหมือนทุกคนดาวน์กันหมดกับชีวิตที่นิวยอร์ก จริงๆ ชีวิตมันสวิงมากเลยนะ อย่างวันนี้แฮปปี้มาก อีกวันหนึ่งก็รู้สึกว่ากูไม่เก่งเลย กูดูไร้ค่าจังเลย เราก็เลย อ้ะ งั้นมาหาอะไรทำ ก็เลยเกิดเป็นแบรนด์นี้
ปุ๊กปิ๊ก : มันเกิดกับทุกคนเลย คือมันเหมือนเราเคยเป็นคนทำงานกันแล้วเราไปอยู่ที่นู่นมันก็ไม่ชิน แล้วนิวยอร์กมันเป็นเมืองที่วันหนึ่งดี วันหนึ่งร้าย ตื่นมาวันหนึ่งก็จะมีประสบการณ์ที่ เชี่ย ชีวิตนี้ไม่เคยเจอมาก่อน แล้วพออีกวันหนึ่งเราก็รู้สึกว่าทำไมโลกมันพลิกไปเร็วขนาดนี้ คือทุกอย่างมันตื่นเต้นมาก โลกหมุนไปเร็วมาก
ซันเต๋อ : เออ ทำไมวะ อยู่วันนี้ตื่นมาก็เศร้าเฉยเลย
ปุ๊กปิ๊ก : มันเป็นอย่างนั้น ทั้งอารมณ์ภายในแล้วก็สิ่งภายนอกที่เราเจอด้วย มันก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เซ็ง แล้วไปอยู่ที่นู่นมันก็ไม่ได้ทำอะไรสะดวกเหมือนบ้านเรา เหมือนปกติเราคิดว่าเราอยากจะทำของขาย พอไปอยู่ที่นู่นก็ทำไม่ได้ หรือเราอยากจะรับงานที่นู่นบางทีมันก็จะมีเรื่องพวกนี้ที่ไม่ใช่ว่าจู่ๆ อยากจะทำอะไรก็ทำได้ ไกลบ้านด้วย สภาพแวดล้อมโดยรวมมันก็เปลี่ยน
ซันเต๋อ : ค่าบ้านมันแพงด้วย ค่าบ้านสามหมื่นอย่างนี้ ต้องจ่ายทุกเดือน มาผ่อนคอนโดที่นี่ดีกว่า (หัวเราะ)
Life MATTERs : ก่อนหน้านั้น ทั้งๆ ที่ก็มีงานที่มั่นคงอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงเลือกจะลาออกแล้วไปอยู่ที่นิวยอร์กกัน
ซันเต๋อ : เราลาออกเพราะเราทำงานมาห้าปี แล้วระหว่างนั้นก็บ่นทุกวันว่าอยากลาออกๆ มันเหนื่อย ตอนนั้นทำเอเจนซี่แล้วมีจ๊อบวาดรูปเยอะด้วย ก็บ่นมาเรื่อยๆ จนคิดว่าการไปต่างประเทศมันคือ หนึ่ง เราได้พัก สอง เราได้ไปมีประสบการณ์ สาม คือเป็นเหตุผลที่ดีในการไปบอกเจ้านายว่าขอลาออก (หัวเราะ) ก็เลย อะ งั้นไปต่างประเทศแล้วกันจะได้ไปหาอะไรใหม่ๆ ด้วย
ตอนเลือกว่าจะไปไหนดี ลอนดอนก็อยู่ในลิสต์เหมือนกันแต่ที่กลายเป็นนิวยอร์กเพราะว่าเราเป็นคนเพลย์เซฟไง กลัวไปแล้วอยู่ไม่ได้ เรามีเพื่อนอยู่นิวยอร์ก มันเหมือนมีคนคอยช่วยเหลือเราได้ ไม่ใช่เราไปแล้วแบบ โห กูไปสู้ชีวิตขนาดนั้น ก็เลยเลือกนิวยอร์ก
Life MATTERs : ทุกคนไปทำอะไรที่นู่นบ้าง
ปุ๊กปิ๊ก : ช่วงแรกๆ ที่ไปก็ไปเทคคอร์สสั้นๆ มันก็เลยยิ่งฟุ้งซ่าน ตอนแรกก็เรียนภาษากันนี่แหละแล้วตอนหลังก็เป็นคอร์สที่เกี่ยวกับพวกศิลปะ มันจะมีช่วงที่แยกกันเรียน ใครอยากเรียนอะไรก็เรียนไป อย่างน้องคนหนึ่งตอนหลังเขาก็ไปเรียนมาร์เก็ตติ้งแล้วก็เรียนจบที่นั่น
Life MATTERs : เครียดอยู่นานมั้ยกว่าจะเกิดเป็น Suntur Store
ปุ๊กปิ๊ก : เกินครึ่งปีนะ
ซันเต๋อ : มันเหมือนเราคุยกันมานานแล้ว แล้วมันก็ค่อยๆ เกิด เราไม่ได้ทำอันนี้อย่างเดียวเลยแล้วก็หวังจะรวยกับอันนี้ มันเหมือนเป็นสิ่งที่มาแก้ในส่วนที่เราดาวน์
ปุ๊กปิ๊ก : เหมือนหาอะไรแก้เบื่อทำประมาณนั้น คือจริงๆ ทุกคนก็ยังมีงานเพราะว่าอยู่ที่นู่นทุกคนก็ยังรับฟรีแลนซ์หมด แต่แค่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างหายไปนั่นแหละ เราก็เลยคิดว่ามาลองทำสิ่งนี้ดูมั้ย มองกันไปมองกันมามันก็มีอยู่แค่นี้ ลองใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แค่นี้แล้วก็ลองดูซิว่าทำอะไรได้บ้าง พออยู่ที่นั่นได้ประมาณหกเดือนมั้งก็เริ่มคุย แต่กว่าจะเริ่มทำจริงๆ ก็น่าจะเป็นปี (หัวเราะ)
Life MATTERs : ถ้าให้นิยาม Suntur Store ว่าเป็นแบรนด์ที่ขายอะไร คุณจะบอกว่ายังไง
ซันเต๋อ : เราไม่ได้ฟิกซ์ว่าแบรนด์เราจะขายโปรดักต์อะไร มันอยู่ที่ว่าช่วงนั้นเราอยากทำอะไร สนุกกับอะไร ทดลองอะไรมากกว่า จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามธีมเลย อย่างธีมก่อนมันจะเป็น I’m ok ที่เราทำหมวกกับกระเป๋า เขียนว่า I’m ok แล้วด้านหลังเป็นนิ้วไขว้
อันนั้นก็คิดว่าเหมือนจริงๆ แล้วมันไม่โอเคหรอกแต่ว่าเราก็โอเคไว้ก่อน หรือพอคอลเลคชั่น O2 มาเป็นธีมต้นไม้ โปรดักต์มันก็เป็นกรอบรูป เป็นอะไรอย่างอื่น เพราะอย่างนั้นครั้งต่อไปโปรดักต์อาจจะเปลี่ยนเป็นอีกรูปแบบเลยก็ได้
เหมือนเราเป็นน้ำมั้ง แล้วโปรเจกต์นี้เป็นขวด อีกโปรเจกต์อาจจะเป็นถาดน้ำแข็ง มันเปลี่ยนไปได้หมด
Life MATTERs : พอแบรนด์ของคุณจะทำอะไรก็ได้ อย่างนี้ไอเดียต่างๆ มันเป็นรูปเป็นร่างได้ยังไง
ปุ๊กปิ๊ก : เพราะว่ามันทำอะไรก็ได้ บางทีเราก็คิดกันไปไกลมากจริงๆ อย่างก่อนหน้านี้มันมีไอเดียหลายอย่างมากแต่สุดท้าย ข้อดีของการที่มันมีปัจจัยภายนอกมันก็จะค่อนข้างเชปเราด้วย
อย่างเช่น โปรดักต์นี้อยากทำมากแต่มันทำไม่ได้เพราะมันมีขั้นต่ำที่ทดลองไม่ได้เลย ก็ตัด หรืออย่างเช่นมันมีโปรเจกต์เข้ามาอย่างโปรเจกต์กับ The Selected มันก็ชัดมาก มีระยะเวลาที่ชัดเจนมาก ล็อกเลยนะว่าต้องเสร็จ แล้วต้องโคกับแบรนด์ ของที่ออกมาจะมีการครอสระหว่างสองแบรนด์ เหมือนจะมีโจทย์อยู่คร่าวๆ
Life MATTERs : พวกคุณทำงานกันสามคนมาตลอด พอต้องไปร่วมงานกับแบรนด์อื่นได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ปุ๊กปิ๊ก : มันก็ทำให้เห็นอะไรใหม่ๆ นะ เหมือนตอนเราทำกันเองมันก็จะมีความแบบ เอาลายไปทำแบบนู้นแบบนี้ดีมั้ย หรือเอาไปปรินต์แล้วส่งไปขายเลย พอทำกับร้านดอกไม้ตอนแรกมันก็ไม่รู้ว่าจะมาเจอกันยังไง
คือเราเห็นอยู่แล้วแหละว่า Plant House เขาจะเป็นแนวชอบทำของออกมาเป็นโปรดักต์ ไม่ใช่ร้านดอกไม้ที่จัดแค่ดอกไม้ พอไปคุยเขาก็สนใจ อย่างตัวกรอบรูปเราก็คิดว่าถ้าเป็นเราอยู่เฉยๆ กันเราก็คงไม่คิดจะเอาดอกไม้มาใส่กรอบรูป
ปกติเขาจะเอาดอกไม้มาจัดอย่างเต็มสตรีมเลยนะ แต่เพราะสไตล์ซันเต๋อเขามินิมอลเราก็จะใช้คาแรคเตอร์มาสร้างเรื่องเล็กๆ แล้วพอมันอยู่ด้วยกันกลายเป็นว่าเขาก็เห็นว่าจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเทดอกไม้ลงไปเยอะๆ ก็ได้ บางทีแค่ใบไม้ใบเดียวแต่มันมีความหมายบางอย่างคนชอบเลย
ซันเต๋อ : เขาก็บอกว่าเป็นเขาเขาคงไม่กล้าเอาใบไม้ใบเดียวมาวางแล้วขาย
ปุ๊กปิ๊ก : แต่สำหรับเต๋อเขาก็มองว่ามันไม่ใช่แค่ใบไม้หนึ่งใบไง มันมีคนอยู่ในนั้นแล้วมันก็เกิดเรื่องราว แล้วเวลาคนซื้อพวกนี้มันก็จะกึ่งๆ ว่าเป็นคนซื้องานคอมเมอร์เชียลแต่ก็ชอบงานอาร์ต เหมือนเป็นจุดเชื่อมระหว่างงานอาร์ตกับคอมเมอร์เชียลเกิดขึ้นในกรอบรูปนั้น เหมือนมันก็ไม่ได้อาร์ตจนเกินไป
อย่างถ้าบางคนซื้อรูปปรินต์ไปเขาก็ต้องชอบรูปนั้นมากๆ แต่อย่างตัวดอกไม้มันก็จะมีความเป็นธรรมชาติอยู่ ลดความเป็นงานอาร์ตลง เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็มีเวย์ที่ไปได้ รู้สึกว่าไปขอคนอื่นเขามาอยู่ด้วยก็ได้อะไรแปลกๆ ดี
Life MATTERs : อะไรคือสิ่งที่ทำให้คิดว่าลายเส้นแบบซันเต๋อเอามาทำเป็นโปรดักต์แล้วจะดี
ปุ๊กปิ๊ก : เราคิดว่างานศิลปะมันไม่ใช่เฉพาะสำหรับคนที่เสพงานศิลป์ คนทั่วไปเขาก็เสพงานดีไซน์ งานอาร์ต โดยเฉพาะงานเต๋อ ลายเส้นเต๋อมันค่อนข้างจับต้องได้มันเลยทำให้คนเข้าถึงงานเขา
คือมันก็มีความลึกของมันนะ แต่อย่างน้อยมันเข้าถึงได้ไม่อยาก มันน่ารัก หรือคอนเซ็ปต์ที่เวลาเขาทำออกมาคนเห็นแล้วก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย มันมีบางอย่างที่มันโดน เราเลยรู้สึกว่าธรรมชาติงานของเขามันเอามาทำงานคอมเมอร์เชียลได้
แต่มันก็ไม่ใช่ว่างานทุกงานของเขาจะแบบ อันนี้สวย เอามาปั๊มขายๆๆๆ คือเราก็ไม่ได้ปั๊มแหลกขนาดนั้นไง เราก็จะคิดอยู่ว่างานประมาณนี้อาร์ตก็อาร์ตไป ให้เป็นพาร์ตนั้น
Life MATTERs : ลายเส้นของซันเต๋อช่วงหลังๆ มานี้เปลี่ยนจากช่วงแรกไปเยอะเหมือนกัน การไปนิวยอร์กมีผลกับงานมั้ย
ซันเต๋อ : มันเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ ปีแรกอะยังไม่เปลี่ยนมากเพราะเราว่าเราหมดไฟ เราขี้เกียจ
เอาจริงๆ มันไม่ได้หมดไฟขนาดนั้นหรอกแค่มันต้องเรียนเลยไม่มีเวลามาวาดของตัวเอง แล้วจากตอนแรกที่ไปเรียนภาษาเราก็ย้ายไปเรียนศิลปะ แล้วมันเหมือนเราได้เปิดโลกมากขึ้น ครูเขาพาไปดูแกลเลอรี่ บรรยากาศหรืออะไรมันก็ทำให้เราอยากวาดรูปมากขึ้น
งานเราก็เปลี่ยนไปเพราะเราเห็นงานเยอะขึ้น ไปดูงานแปลกๆ เยอะขึ้น ซึ่งอากาศเป็นส่วนสำคัญมากๆ อย่างเมืองไทยเรารู้สึกว่าเราจะดูอะไรมันก็ไม่สวยเพราะเราร้อน แต่ที่นั่นข้างถนนทั่วไปอากาศมันก็ดี
ปุ๊กปิ๊ก : เคยได้ยินว่าทุกที่มีอุณหภูมิของแสงอยู่ อย่างเช่นในไทยด้วยความที่มันร้อน เราก็จะเห็นสีทุกสีเป็นความจัดจ้านหรืออีกโทนหนึ่ง แต่พอไปอยู่ที่นู่น ด้วยความที่มันเป็นเมืองหนาวมันก็จะมีโทนสีของเมืองอีกแบบหนึ่ง ฟ้าก็จะฟ้าใสๆ อีกแบบหนึ่ง รวมทั้งเราไม่เคยอยู่ที่นั่นด้วย เราอยู่ไทยมาตลอดทั้งชีวิตเราก็ชิน
แต่พอไปอยู่ที่นู่น รองเท้าก็น่าสนใจแล้ว หรือมันจะมีอะไรตลกๆ ที่ที่นั่นชอบทำ มันจะมีรองเท้าผ้าใบที่เขาชอบเอาขึ้นไปผูกตามสายไฟ มีกิมมิคตามบ้านเมืองที่เพี้ยนๆ ที่เราไม่ทำที่นี่ มันเป็นเมืองที่ชีวิตบนถนนน่าอยู่ ชีวิตบนถนนที่นี่คือรถเลย
ซันเต๋อ : หมาก็น่ารักทุกตัวเลย แล้วอย่างหลังบ้านเรามีแรคคูนอยู่เป็นครอบครัว คือเราไม่เคยเห็นแรคคูนอยู่บนบ้าน มันไม่ได้มีคนเลี้ยงด้วย เดินบนหลังคาบ้านเรา 4-5 ตัว
ปุ๊กปิ๊ก : อย่างเราเคยเห็นนกในเซ็นทรัลพาร์ค คือถ้าเป็นนกในไทยก็จะเป็นสีแบบนกกระจอก นกพิราบ แต่ที่นู่นเราเคยเห็นนกสีฟ้า สีแดง นกแบบในการ์ตูนอะ หรือผึ้งที่ดูฟูๆ เลย
แล้วด้วยความที่มันเป็นเมืองใหญ่ ทุกอย่างมันไปลงที่นั่น อีเวนท์อะไรใหญ่ๆ นิทรรศการศิละใหญ่ๆ มันไปที่นั่นก่อนเลย คือเดินออกจากบ้านบางทีไม่ต้องคิดเลย ออกไปเดี๋ยวก็เจออะไรสักอย่างแล้ว ลงซับเวย์ก็มีดนตรี มันเหมือนมีเพอร์ฟอร์แมนซ์อาร์ตให้ดูตลอดเวลา
Life MATTERs : Suntur Store เกิดมาจากความรู้สึกดาวน์ของพวกคุณ พอได้ทำแบรนด์จริงๆ แล้วหายดาวน์หรือยัง
ซันเต๋อ : มันหายเครียดเพราะมันมีอะไรต้องทำ แต่มันมาเครียดอีกแบบว่า เฮ้ย จะเสร็จมั้ย จะทันหรือเปล่า
ปุ๊กปิ๊ก : เออมันมาเครียดอีกแบบหนึ่ง แต่คืออย่างเราเป็นฟรีแลนซ์ บริษัทเราไม่ได้อยู่ในไทย เราจะไม่เจอคนเลยถ้าเกิดเราไม่มีอะไรทำที่ไทย ส่วนใหญ่เราจะอยู่หน้าคอมพ์ แล้วเวลาเข้างานเราก็จะเป็นเวลายุโรป ดังนั้นเราจะไม่ค่อยเจอเพื่อนเพราะว่าตอนเย็นบางทีเราต้องเข้าประชุมเราก็จะนัดเพื่อนไม่ค่อยได้ แต่การที่ทำโปรเจกต์นี้มันทำให้ได้เจอคนเยอะมาก และทำให้ไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป
Life MATTERs : หลังจากนี้ถ้าทุกคนกลับมาอยู่กรุงเทพฯ กันหมด คิดว่าทิศทางของแบรนด์จะเป็นยังไง
ปุ๊กปิ๊ก : ไม่รู้เลย มันตอบอะไรไม่ได้จริงๆ
ซันเต๋อ : (หัวเราะ) เพราะว่ายังไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่
ปุ๊กปิ๊ก : คือไม่ต้องกลับมาอยู่หรอก แค่มันกลับไปนิวยอร์กเนี่ยก็อาจจะเปลี่ยนแล้วก็ได้ คือผ่านไปเดือนหนึ่งไม่ต้องมีใครย้ายไปไหนก็อาจจะเปลี่ยนเหมือนกัน ก็เลยบอกว่ามันเป็น phase ที่หนึ่งปีมันฟังดูอาจจะนานก็ได้นะ แต่ว่าเอาจริงๆ เราว่าตั้งแต่ทำงานหรือโตมา มันไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเสร็จได้ภายในปีสองปี
คือมันอาจจะยังฟอร์มกันอยู่ เราก็เลยไม่รู้ว่าของเราจะโตไปยังไง ยังเป็นเบบี๋กันอยู่เลยกับการทำแบรนด์ แต่ข้อดีมันก็คือการทดลอง ก็จะเจออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อยากทำกับคนนั้น อยากลองอันนี้ ก็ลองไปให้หมด นี่ก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง ให้ลงได้เลยว่าเราไม่รู้ (หัวเราะ)
ซันเต๋อ : มันไม่ใช่จ็อบหลัก รายได้หลักด้วย เราว่าเราไม่อยากให้เครียด ก็คือทำไป ถ้ามันเครียดก็อย่าทำเลยดีกว่า เพราะฉะนั้นก็ทำไปเพราะอยากสนุก
ปุ๊กปิ๊ก : คือเหมือนเรามีโกลนะว่าเราอยากจะทำให้ได้อย่างนี้ คืออย่างน้อยเรารู้ว่าเราจะทำไม่ให้มันเจ๊งหรืออย่างน้อยเราจะต้องได้อะไรสักอย่าง ถึงจะไม่ใช่ด้านเงินทอง มันจะต้องเป็นประสบการณ์อะไรสักอย่างที่สามคนรู้สึกว่ามันคุ้ม
Life MATTERs : แล้วตอนนี้เท่าที่ทำไป คุ้มหรือยัง
ปุ๊กปิ๊ก : โดยส่วนตัวแล้วคุ้มนะ เพราะเราเหนื่อยมาก (เน้นเสียง) คือจริงๆ มันมีแบ่งงาน เขาก็พยายามช่วยแต่สุดท้ายมันก็ต้องมีคนที่ไทยทำ ไปดูของ ประสานงาน โทรศัพท์ ไปเจอคน สุดท้ายมันก็ต้องทำเอง
ซันเต๋อ : เพราะหมอดูบอกไว้แล้วว่าแกทำแล้วจะเหนื่อยที่สุด (หัวเราะ) แต่คิดว่าคุ้มแล้วแหละ
เราเอง พอได้คุยกันแล้วก็เชื่อว่า ‘คุ้ม’ ของเขาที่ว่านี้ ไม่มีไขว้นิ้วไว้ข้างหลังแน่ๆ.
Photos by Adidet Chaiwattanakul