พูดไปใครจะเชื่อว่าการขโมยเครื่องเพชรครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 10 นาที
นี่ไม่ใช่ฉากจากหนังแอ็กชั่นเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในลูฟวร์ หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ณ ใจกลางมหานครแห่งแฟชั่นอย่างปารีส หมุดหมายที่ใครต่อใครก็อยากมาเยือน ไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยว แต่รวมไปถึงหัวขโมยที่จ้องสมบัติอันล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์นี้ด้วย
ภายในพื้นที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร เต็มไปด้วยผลงานศิลปะตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงศตวรรษที่ 21 กว่า 35,000 ชิ้น แน่นอนว่าพิพิธภัณฑ์ระดับโลกย่อมมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา เพื่อปกป้องสิ่งของล้ำค่าวางเรียงรายอยู่ทั่วทั้งแกลเลอรี่ ทั้งสัญญาณเตือน การตรวจตราสิ่งของต้องห้าม เช่น ไขควง คีม ประแจ ค้อน หรือกรรไกร รวมถึงต้องวางสัมภาระก่อนเข้าห้องจัดแสดงด้วย
แม้จะมีความปลอดภัยหลายชั้น แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถรับมือกับฝูงชนนับพันคนที่มาเข้าชมได้อย่างทั่วถึง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดการโจรกรรมอย่างอุกอาจหลังเปิดทำการได้เพียงครึ่งชั่วโมง ในเช้าวันอาทิตย์ที่ดูเงียบสงบ เหล่าหัวขโมยได้ลักลอบบุกเข้าทางหน้าต่าง กวาดเครื่องเพชรในตู้โชว์ ก่อนหลบหนีด้วยสกูตเตอร์ ซึ่งใช้เวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้น
ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สามารถกวาดเครื่องประดับของราชวงศ์ฝรั่งเศสที่จัดแสดงไปได้ถึง 9 ชิ้น แม้จะนำกลับคืนมาได้ 1 ชิ้น แต่ก็ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าที่เหลือไปอยู่ที่ไหน แผนการปล้นครั้งนี้นอกจากถือว่าเป็นการปล้นที่อุกอาจที่สุดแล้ว ยังอาจเป็นการขโมยที่มีมูลค่าสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ด้วย
เครื่องประดับแต่ละชิ้นไม่เพียงแต่มีเพชรนับพันและอัญมณีล้ำค่า จากช่างฝีมือที่เก่งกาจเท่านั้น แต่ยังถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อันไม่สามารถประเมินค่าได้อีกด้วย
เครื่องเพชรล้ำค่าในห้อง Galerie d’Apollon
ภายในห้องโถงโอ่อ่า เจิดจรัสไปด้วยทองคำระยิบระยับ ประดับด้วยจิตรกรรมฝ้าเพดานขนาด 12 เมตรจากจิตรกรชั้นเอก ที่แห่งนี้คือ Galerie d’Apollon แกลเลอรี่เก็บรวบรวมเครื่องประดับและเพชรพลอยของราชวงศ์ฝรั่งเศส ที่ปัจจุบันกลายเป็นจุดเกิดเหตุจากการโจรกรรมเครื่องเพชรที่ผ่านมา
พื้นที่นี้ถือเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดด้านบนของ The Petite Galerie ปีกอาคารด้านหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่ติดอยู่กับแม่น้ำแซน โดยเป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งตั้งใจบูรณะอาคารให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ พระองค์มอบหมายศิลปินให้ออกแบบห้องนี้มีความหรูหราและอลังการที่สุด พร้อมตั้งชื่อห้องว่าอะพอลโล ตามความศรัทธาในเทพแห่งแสงสว่าง
อย่างไรก็ตาม ความหรูหราก็ไม่เพียงพอจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของชาติเอาไว้ได้ เพราะของทุกชิ้นที่ถูกขโมยล้วนอยู่ในห้องอะพอลโลทั้งสิ้น แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสมบัติทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของฝรั่งเศส ที่มีการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองครั้งใหญ่ จากความรุ่งโรจน์ จนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิ ส่วนชิ้นที่เคยเป็นประจักษ์พยานเหตุการณ์เหล่านี้มีอะไรที่ถูกขโมยไปบ้างเราชวนมารู้จักพร้อมกัน

รัดเกล้าและเข็มกลัด — จักรพรรดินีเออเฌนี
เครื่องประดับที่หายไปของจักรพรรดินีเออเฌนี (Eugénie) จักรพรรดินีองค์สุดท้ายแห่งฝรั่งเศส และพระมเหสีของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 มีด้วยกัน 2 ชิ้น ได้แก่รัดเกล้าและเข็มกลัด ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี
ชิ้นแรกคือรัดเกล้า ถูกตกแต่งอย่างวิจิตร โดยรวมแล้วถูกประดับประดาด้วยไข่มุก 212 เม็ด (ในจำนวนนี้มี ไข่มุกทรงหยดน้ำ 17 เม็ด) รวมถึงเพชร ที่ตกแต่งเป็นลวดลายใบไม้ และเพชรทรงกุหลาบอย่างประณีต อีกเกือบ 2,000 เม็ด
แล้วจะมีของแทนใจชิ้นไหนมีน้ำหนักไปกว่ารัดเกล้าที่ประดับประดาไปด้วยเพชรเม็ดงามและไข่มุกเม็ดโตได้เล่า รัดเกล้านี้จึงถูกมอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงานโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 โดยรัดเกล้าชิ้นนี้เคยถูกสวมใส่สำหรับวาดภาพเหมือนของตัวเองในปีเดียวกัน และสวมใส่อีกครั้งในปี 1855 ที่ปราสาทวินด์เซอร์ ในพิธีที่สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นสมาชิกภาคีแห่งการ์เตอร์ หรือ กลุ่มอัศวินที่มีเกียรติสูงสุดในสหราชอาณาจักร
แต่หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศส เครื่องประดับชิ้นนี้ได้ผ่านมือมาหลายครั้ง ทั้งในช่วงลี้ภัย และตกทอดอยู่ในบรรดาทายาทขุนนาง ก่อนถูกนำมาขายอีกครั้งในงานประมูล ซึ่งต่อมาได้ถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่พิพิภัณฑ์ลูฟวร์ โดยสมาคมมิตรของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Société des Amis du Louvre) เมื่อปี 1992

Lemonnier, Alexandre-Gabriel, Musée du Louvre, Département des Objets d’art du Moyen Age, de la Renaissance et des temps modernes, OA 11369 – https://collections.louvre.fr/ark:/53355/cl010105008 – https://collections.louvre.fr/CGU
อีกชิ้นที่หัวขโมยหมายตาไว้คือ เข็มกลัดโบว์เพชร เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งบนเข็มขัดที่ประดับด้วยเพชรกว่า 4,000 เม็ด ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดแสดงร่วมกับเครื่องประดับอื่นๆ ในงานนิทรรศการโลกปี 1855 (Exposition universelle) แต่ต่อมาถูกออกแบบให้จักรพรรดินีเออเฌนีเป็นผู้สวมใส่
เครื่องประดับชิ้นนี้มีบันทึกว่าพระองค์ได้สวมใส่ 2 ครั้ง คือ งานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่พระราชวังแวร์ซายส์ เนื่องในโอกาสการมาเยือนของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ปี 1855 และ งานเลี้ยงในพิธีศีลล้างบาปของเจ้าชายรัชทายาท ปี 1856 จนกระทั่งกลางทศวรรษ 1860 จักรพรรดินีก็เลิกใช้เข็มขัดชิ้นเขื่อง แล้วเก็บไว้เพียงโบว์ชิ้นน้อยไว้เป็นเข็มกลัดประดับหน้าอกแทน
เข็มกลัดชิ้นนี้ยังสะท้อนถึงความรุ่งเรืองของฝรั่งเศสในอดีต ด้วยฝีมืออันประณีตและช่างที่ชำนาญเป็นพิเศษ เลยทำให้โบว์และพู่ที่ห้อยยาวลงมาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอ่อนช้อย และเปล่งประกายระยิบระยับทุกครั้งที่ขยับตัว

Kramer, François, Musée du Louvre, Département des Objets d’art du Moyen Age, de la Renaissance et des temps modernes, OA 12238 – https://collections.louvre.fr/ark:/53355/cl010114080 – https://collections.louvre.fr/CGU
เข็มกลัดรีลิกเควรี (reliquary brooch) หรือเข็มกลัดบรรจุวัตถุมงคล
เข็มกลัดรีลิกเควรีชิ้นนี้เป็นของจักรพรรดินีเออเฌนีเช่นกัน โดยถูกมองว่าเป็นวัตถุมงคลทางศาสนา เนื่องจากพระองค์เป็นชาวโรมันคาทอลิกที่เคร่งครัด
เข็มกลัดนี้ถูกออกแบบโดยอิงมาจากประวัติศาสตร์ ตามคำกล่าวของ เจอแมง เบพสต์ (Germain Bapst) นักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านอัญมณี ที่ชี้ว่าเป็นเข็มกลัดที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศตวรรษที่ 18 ซึ่งสำนักยังคงเก็บรักษาไว้
แม้จะเป็นเข็มกลัดชิ้นกะทัดรัด แต่ก็โดดเด่นด้วยเพชรที่ประดับประดาไว้ถึง 94 เม็ด แต่ละชิ้นเจียระไนเป็นรูปทรงแตกต่างกันอย่างละเอียดลออ ตัวเรือนเงินชุบด้วยทอง ด้านหลังสลักลวดลายเถาวัลย์และใบไม้ รวมถึงคำว่ารีลิกเควรี
โดยปกติแล้ว ‘รีลิกเควรี’ มักหมายถึงกล่องเก็บวัตถุมงคล เช่น ชิ้นส่วนหรือเถ้ากระดูกของนักบุญ แต่ถึงอย่างนั้นเข็มกลัดนี้ก็ไม่ได้มีช่องสำหรับใส่พระบรมสารีริกธาตุของนักบุญแต่อย่างใด โดยนักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าจักรพรรดินีเออเฌนีผู้ทรงยึดมั่นในศาสนา อาจใช้เครื่องประดับชิ้นนี้เก็บวัตถุมงคลในช่องเล็กๆ ด้านหลังของอัญมณี ที่ถูกออกแบบมาให้ถอดออกง่ายแทน

Bapst, Paul-Alfred, Musée du Louvre, Département des Objets d’art du Moyen Age, de la Renaissance et des temps modernes, MV 1024 – https://collections.louvre.fr/ark:/53355/cl010103123 – https://collections.louvre.fr/CGU
สร้อยคอมรกตและต่างหูมรกตหนึ่งคู่ — จักรพรรดินีมารี หลุยส์
จักรพรรดินีมารี หลุยส์ (Marie-Louise) ทรงเป็นเจ้าหญิงออสเตรียในราชวงศ์ฮัมบวร์กก่อนที่จะทรงอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยชุดเครื่องประดับที่หายไป ประกอบไปด้วยสร้อยคอและต่างหูมรกต ซึ่งนโปเลียนที่ 1 ได้สั่งให้สำนักอัญมณี Nitot ผู้มีฝีมือสร้างเครื่องประดับสุดหรูเป็นพิเศษสองชุดไว้เป็นคอลเล็กชั่นส่วนพระองค์ของจักรพรรดินีองค์ใหม่ ชุดหนึ่งเป็น มรกตและเพชร และอีกชุดเป็น โอปอลและเพชร ก่อนมอบให้แก่จักรพรรดินีมารีในวันแต่งงาน เมื่อปี 1810
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สร้อยคอและต่างหูมรกตและเพชร ถูกขโมยไปไม่นานนี้ โดยสร้อยคอถูกสร้างอย่างงดงามด้วยมรกต 32 เม็ด แบ่งเป็นมรกตทรงหยดน้ำ 10 เม็ด และทรงเพชรอีก 10 เม็ด วางสลับกันระหว่างทรงรีและทรงเหลี่ยม ล้อมรอบด้วยเพชรอีก 1,138 เม็ด โดยมรกตเม็ดกลางที่ใหญ่ที่สุด มีน้ำหนัก ถึง 13.75 กะรัต
เครื่องประดับคอลเล็กชั่นนี้ถูกเก็บไว้กับจักรพรรดินีมารี หลุยส์ แม้กระทั่งในวันที่ต้องอพยพจากปารีส หลังจากที่นโปเลียนสละราชสมบัติ ในปี 1814 ก่อนจะส่งต่อให้ทายาทของพระองค์เก็บรักษาไว้ แม้ส่วนใหญ่เครื่องประดับที่มีค่ามักถูกขายให้กับร้านค้า และจำเป็นต้องแกะอัญมณีออกมาขายทีละเม็ด แต่สร้อยคอและต่างหูคู่นี้ กลับได้รับการรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ จนสุดท้ายก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในปี 2004

Nitot, François-Régnault, Musée du Louvre, OA 12155 – https://collections.louvre.fr/ark:/53355/cl010113263 – https://collections.louvre.fr/CGU
รัดเกล้า สร้อยคอ และต่างหูข้างหนึ่งจากชุดเครื่องเพชรแซฟไฟร์ — สมเด็จพระราชินีมารี-อาเมลี และสมเด็จพระราชินีออร์ต็องส์
ชุดเครื่องประดับล้ำค่าสีน้ำเงินแวววาวถูกเปลี่ยนผู้สวมใส่ไปตามกาลเวลา ได้แก่ สมเด็จพระราชินีออร์ต็องส์ (Reine Hortense), สมเด็จพระราชินีมารี-อาเมลี (Reine Marie-Amélie) และ อิซาแบลแห่งออร์เลอ็อง (Isabelle d’Orléans) ตามลำดับ
เดิมทีชุดเครื่องประดับนี้ประกอบด้วยเครื่องประดับหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็น รัดเกล้า สร้อยคอ ต่างหูหนึ่งคู่ เข็มกลัดขนาดเล็ก 2 ชิ้นและขนาดใหญ่ 1 ชิ้น หวีหนึ่งชิ้น รวมถึงสร้อยข้อมือ 2 เส้น (ซึ่งไม่ได้อยู่ในคอลเล็กชั่นของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์) ทว่าปัจจุบันกลับถูกชิงไปถึง 3 ชิ้นด้วยกัน
ความพิเศษของเครื่องประดับชุดนี้นอกจากจะประดับประดาด้วยเพชรและไพลินแวววาวแล้ว ข้อเชื่อมแต่ละข้อของสร้อยคอสามารถขยับได้ แสดงให้เห็นถึงความประณีตทางเทคนิคขั้นสูงของเครื่องประดับชิ้นนี้ แถมไพลินยังถูกขับเน้นให้เปล่งประกายด้วยเพชรที่ล้อมรอบบนตัวเรือนทองคำ ทำให้ผู้สวมใส่โดดเด่นและเปล่งประกายยิ่งขึ้น
นอกจากเทคนิคชั้นสูงแล้ว ตัวอัญมณีก็พิเศษไม่แพ้กัน เพราะเป็นไพลินจากธรรมชาติ จากเกาะซีลอน ประเทศศรีลังกา ซึ่งไม่ได้ผ่านการเผาเพื่อปรับสี อย่างที่นิยมทำในปัจจุบัน
แม้ที่ผ่านมาจะมีภาพวาดและภาพถ่ายของสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สวมเครื่องประดับชุดนี้ แต่ไม่มีใครทราบว่าที่มาที่ไปของเครื่องประดับชุดนี้มาจากไหน ทั้งผู้สั่งทำและช่างผู้สร้างสรรค์ยังคงเป็นปริศนา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องประดับชุดนี้ถือเป็นหลักฐานอันล้ำค่าของศิลปะเครื่องประดับปารีสในยุคนั้น

Musée du Louvre, Département des Objets d’art du Moyen Age, de la Renaissance et des temps modernes, OA 11031 – https://collections.louvre.fr/ark:/53355/cl010104292 – https://collections.louvre.fr/CGU
แม้เครื่องประดับทุกชิ้นจะมีมูลค่าสูงลิ่ว เพราะคงไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้อีก เจ้าหน้าที่จึงต้องรีบติดตามนำกลับคืนมาให้เร็วที่สุด แต่อาร์เธอร์ แบรนด์ (Arthur Brand) นักสืบผลงานศิลปะจากเนเธอร์แลนด์ ผู้ที่เคยกู้คืนศิลปะจากตลาดมืดกลับมาได้กว่า 200 ชิ้น ก็ได้วิเคราะห์ว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถนำกลับคืนมาในสภาพสมบูรณ์ เพราะเครื่องเพชรเหล่านี้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดี จึงไม่สามารถนำไปขายได้ทั้งชิ้น ผู้ก่อเหตุจึงต้องพยายามแยกชิ้น แบ่งส่วนก่อนนำไปขาย เพื่อหลีกหนีการจับกุม
เบื้องหลังของเครื่องประดับแต่ละชิ้น ไม่ใช่แค่แร่หินที่มีมูลค่านับล้านเท่านั้น แต่ยังเป็นประจักษ์พยานที่คอยเฝ้ามองฝรั่งเศส ตั้งแต่ยุคแห่งความรุ่งเรืองและการเสวยสุขบนความทุกข์ยากของประชาชน ที่สะท้อนผ่านความหรูหราและเทคนิคชั้นสูงผ่านชิ้นงานแต่ละชิ้น ไปจนถึงช่วงเวลาแห่งความโกลาหล อย่างการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเหล่าเครื่องเพชรต้องถูกขายและกระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ เครื่องเพชรเหล่านี้ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว เปลี่ยนเจ้าของครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านกาลเวลามานับร้อยปี ก่อนนำมาจัดแสดงเพื่อให้คนทั่วไปรับชมถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญนี้
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย หากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เหล่านี้หายไปอย่างไม่มีวันกลับคืน และอาจต้องเหลือเพียงแค่เรื่องเล่าและรูปถ่ายให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเท่านั้น
อ้างอิงจาก
collections.louvre.fr 1, 2, 3, 4, 5