เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เกิดข่าวใหญ่สะเทือนวงการศิลปะ เมื่อพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ต้องปิดทำการเพื่อให้ตำรวจเข้าสืบสวน หลังมีกลุ่มผู้บุกรุกกลุ่มเข้าไปขโมยเครื่องประดับ 8 ชิ้นก่อนหลบหนีไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ถูกโจรกรรม หากย้อนไปเมื่อกว่า 70 ปีที่ผ่านมา มีคนเข้าไปขโมยงานศิลปะซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักอย่าง ‘โมนา ลิซ่า’ ก่อนจะสามารถกู้คืนได้ในอีก 2 ปีถัดมา
เมื่อ 21 สิงหาคม 1911 ภาพหญิงคนหนึ่งนำมือประสานเท้าแขนบนเก้าอี้ พร้อมใบหน้าและรอยยิ้มปริศนา วาดด้วยสีน้ำมันบนแผ่นกระดาษลอมบาร์ดีสีขาว โดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ถูกโจรกรรมจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ โดยชาวอิตาลีที่ทำงานเป็นช่างติดตั้งกระจกนิรภัยงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์
วินเชนโซ เปรูจา (Vincenzo Peruggia) สวมเสื้อคลุมหลวมสีขาวเหมือนเสื้อพนักงานพิพิธภัณฑ์ ก่อนซ่อนตัวอยู่ในพิพิธภัณฑ์ และใช้เวลาช่วงที่พิพิธภัณฑ์ปิดเพื่องัดแงะเอาภาพออกจากกรอบ แล้วซ่อนไว้ในเสื้อของเขาพร้อมเดินออกจากประตูตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เนื่องจากเป็นวันที่พิพิธภัณฑ์ปิดไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า เพราะเป็นวันทำความสะอาดจึงไม่มีใครสังเกตว่าภาพหายไป แม้จะไม่เห็นภาพแขวนอยู่ที่ผนัง คนดูแลก็ยังคิดว่าช่างภาพของพิพิธภัณฑ์ลืมเอามาคืนหรือไม่ เพราะมีหลายครั้งที่ภาพถูกเอาไปถ่ายในสตูดิโอเป็นวัน
เดิม โมนา ลิซ่า ถูกจัดเก็บไว้ในห้องจัดแสดงงานศิลปะจากอิตาลี (Salon Carré) ซึ่งเป็นห้องที่มีการขนย้ายภาพเข้าออกเป็นปกติ เพื่อนำภาพไปถ่ายสำหรับบันทึกผลงาน หรือมีศิลปินที่ต้องการศึกษางานศิลปะเหล่านี้ก็สามารถยกโต๊ะร่างแบบมาตั้งเพื่อเขียนงานของตัวเองได้
เมื่อเวลาผ่านไปจนเที่ยงวันถัดมา เจ้าหน้าที่ประจำห้องจัดแสดงเริ่มสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ถ่ายภาพยังไม่นำภาพมาคืน เขาจึงแจ้งกับผู้อำนวยการที่ดูแล และพบว่าไม่มีใครรู้ว่าภาพหญิงดังกล่าวอยู่ที่ไหน กระทั่งช่วงเย็นของวันดังกล่าวการโจรกรรมถูกประกาศสู่สาธารณะและกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งในเวลาต่อมา
จากรายงานของ New York Times ในขณะนั้น กล่าวว่า การโจรกรรมดังกล่าวทําให้เกิดความฮือฮาจนชาวปารีสลืมข่าวลือเกี่ยวกับสงครามไปชั่วครู่ และเมื่อพิพิธภัณฑ์ลูฟร์เปิดอีกครั้งในหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฝูงชนก็แห่กันไปที่กําแพงเปล่าที่โมนาลิซ่าเคยแขวนไว้ โดยผู้คนต่างนำดอกไม้ไปวางไว้ที่ฐานราวกับนี่เป็นการสูญเสียของเมืองปารีส
ขณะที่ตํารวจฝรั่งเศสได้เผยแพร่สําเนาภาพ โมนา ลิซ่า หลายพันฉบับบนถนนในเมือง ขณะที่หนังสือพิมพ์ทั่วโลกได้รวมภาพเหมือนไว้ในเรื่องราวของการโจรกรรม ทำให้ โมนา ลิซ่า อยู่ทุกหนทุกแห่ง คนที่ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นภาพเหมือนในชีวิตจริงก็ได้มีโอกาสเห็นภาพดังกล่าวจากข่าวประกาศเหล่านี้
ถึงกระนั้น กลุ่มที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยแรกคือ ‘แก๊งปิกัสโซ (la bande de Picasso)’ กลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ที่ต่อต้านงานศิลปะแบบเก่าที่จัดแสดงในลูฟวร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายคนสนิทของ ปาโบล ปีกัสโซ ศิลปินเอกชาวสเปน ซึ่งจากการสอบสวนพบว่า
แม้ปิกัสโซจะไม่ได้ขโมยภาพ โมนา ลิซ่า แต่ก็เปิดเผยว่าเขามีความสัมพันธ์กับการโจรกรรมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ก่อนหน้านี้ คือ เขาซื้อหัวรูปปั้นไอบีเรียโบราณคู่หนึ่งที่ถูกขโมยจากพิพิธภัณฑ์เมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้า และมอบมันให้กับตํารวจ เพราะกลัวว่าจะถูกดําเนินคดีระหว่างคดีโมนาลิซ่า
การตามหาภาพ โมนา ลิซ่า ใช้เวลาถึง 2 ปี โดยในปี 1913 นายหน้าค้างานศิลปะในฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีคนพยายามนำภาพ โมนา ลิซ่า มาขาย เจ้าหน้าที่จึงสามารถจับกุมคนร้ายไว้ได้
เปรูจาได้ซ่อนภาพวาดไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขาในปารีส พร้อมข้ออ้างที่ว่า เขาขโมยภาพวาดของดาวินชีเพื่อแสดงความรักชาติต่อประเทศอิตาลีบ้านเกิดของเขา แม้ว่าภาพวาดจะแล้วเสร็จในฝรั่งเศสและซื้อโดยพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ในปี 1518
ทั้งนี้ เปรูจาได้สารภาพผิดในข้อหาขโมยและรับโทษจําคุกเพียง 7 เดือน และเขากลับไปยังปารีสหลังได้รับการปล่อยตัวและเสียชีวิตในปี 1925
ถึงกระนั้น การโจรกรรมครั้งนี้ก็นำสู่การถกเถียงว่า ผลงานชิ้นเอกของศิลปินชาวอิตาลี ควรถูกจัดเก็บไว้ในการดูของใคร เนื่องจากผลงานชิ้นเอกในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการจํานวนมากไม่ได้อยู่ในอิตาลี ทั้งยังถูกเก็บในปารีสและอยู่ในลอนดอนเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนั้น ภาพ โมนา ลิซ่า ยังมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังภาพถูกขโมย คือ ช่วงที่มีการประกาศตามหาภาพดังกล่าว มีการคัดลอกภาพหญิงคนหนึ่งพร้อมใบหน้าปริศนาในสีขาวดำกระจายไปทั่วภูมิภาค จนกลายเป็นภาพวาดที่มีการทําซ้ำมากที่สุดในโลกและอาจเป็นงานศิลปะที่ทําซ้ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
สุดท้ายนี้ โมนา ลิซ่า ถูกนํากลับมาจัดแสดงต่อสาธารณะในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เมื่อ 4 มกราคม 1914 และทำให้ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินทางเข้ามาเพื่อรับชมภาพวาดดังกล่าว และทำให้พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์กลายเป็นที่นิยมถึงปัจจุบัน
.
.
.
อ้างอิงจาก