เวลาในอุดมคติของเราทุกคน ย่อมเป็นเวลาจากนาฬิกาอันเที่ยงตรงจึงนับว่าใช้ได้ แต่เวลาเลื่อนลอยจากนาฬิกาหลอมเหลว กลับเป็นนาฬิกาที่ผู้คนต่างนิยมชมชอบ จนกลายเป็นคลื่นแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ให้กับวงการ surrealism
นาฬิกาหลอมเหลวราวกับจะละลายแนบไปกับวัตถุอื่น ไม่เพียงแต่สร้างความตะลึงพรึงเพริดในรูปแบบของงานจิตรกรรมเท่านั้น แต่เป็นแรงบันดาลใจให้งานชิ้นอื่นอีกมากมาย รวมทั้งนาฬิกาจริง ของแต่งบ้าน วัตถุต่างๆ เครื่องบอกเวลาหน้าตาพิลึกพิลั่นนี้มาจากมันสมองและสองมือของ ซัลบาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) จิตรกรชาวสเปน ตัวพ่อวงการ surrealism ผู้ไม่เคยหมดสิ้นไอเดียในการสร้างสรรค์งานเหนือจริง เพราะเขาไม่ได้เป็นศิลปินแต่เขากล่าวว่า “I am Surrealism.”
ผลงานหลายชิ้นของเขา ไม่ได้หยุดอยู่แค่การหยิบสิ่งที่ไม่น่าอยู่ด้วยกันมาเคียงคู่กัน อย่างที่เราเคยเห็นในงานเหนือจริงอื่นๆ แปะนั่นนิด แปะนี่หน่อย แต่งานของเขาโดดเด่นด้วยวิชวลชวนฝัน วัตถุล่องลอย บิดเบี้ยว ราวกับอยู่ในความฝันที่ทุกสิ่งเป็นไปได้ วัตถุสุ่มๆ สักชิ้น อาจร่วงหล่นไปสู่สถานที่ที่ไม่คุ้นตา ไม่ว่าวัตถุในภาพนั้นจะมากมายแค่ไหน แต่ไม่มีเลยสักชิ้นที่ถูกข้ามรายละเอียดปลีกย่อยไป แสง เงา พื้นผิว ยังคงสรรสร้างอย่างตั้งใจ
เช่นเดียวกับ The Persistence of Memory (1931) หนึ่งในภาพวาดสีน้ำมันที่โด่งดังที่สุด
วัตถุที่ควรเป็นของแข็งกลับอ่อนปวกเปียก โลหะแข็งกร้าวกลับดึงดูดมดแมลงเหมือนกับเนื้อเน่าเปื่อย เบื้องหลังเป็นเส้นขอบฟ้าทาบทับพื้นที่เวิ้งว้างราว อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดอันวิจิตรบรรจง หากนี่เป็นความฝัน คงจะเป็นฝันอันหดหู่และไม่มีวันสิ้นสุด
แล้วนาฬิกาบิดเบี้ยวนี้กำลังบอกอะไรเรา?

The Camembert of Time
ท้องฟ้ายามสนธยา สว่างเกินกว่าจะเป็นกลางคืน มืดครึ้มเกินกว่าจะเป็นกลางวัน รอยต่อแห่งวันคืนฉายชัดอยู่เบื้องหลังภาพนี้ กล่าวกันว่าเป็นชายหาดทางตอนเหนือของแคว้นคาตาลูญญา บ้านเกิดของดาลี กลายเป็นเส้นแบ่งของความทรงจำและความเป็นจริง
เครื่องบอกเวลาไหลเยิ้ม พาให้ผู้คนตีความกันไปต่างๆ นานา ว่าอาจเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพบ้าง ความบิดเบี้ยวของเส้นเวลาบ้าง เพราะเป็นช่วงที่เขาอินกับวิทยาศาสตร์พอสมควร เลยอนุมานเขาจะหยิบกิมมิกเหล่านี้มาใส่ใจงานเป็นแน่ แต่ไอเดียแรกเริ่มของมันนั้นมาจาก วันที่เงียบสงบ สงบเสียจนเป็นห้วงเวลาประหลาด เขานั่งในห้องครัวเงียบเชียบ สังเกตเห็นชีสคามองแบร์กำลังละลายในจานตรงหน้า เขาไม่ได้คิดว่าจะต้องกวาดกินเสียให้หมด แต่เขากลับรู้ว่านี่คือเวลาของ paranoiac-critical method เทคนิคในการสร้างสรรค์งานเหนือจริง ด้วยการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในภวังค์ สร้างภาพที่ซ่อนในจิตใต้สำนึกให้เกิดขึ้นจริง โดยไม่คำนึงถึงความสมเหตุสมผล เราเลยได้เห็นนาฬิกาแข็งแกร่งกลับเยิ้มไหลเช่นเดียกับชีสในจาน
นาฬิกา 3 เรือนที่อ่อนนุ่มเป็นสัญลักษณ์ของเวลา อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนอยู่ร่วมกันและทำงานประสานกัน นาฬิกาแต่ละเรือนวางอยู่บนพื้นผิวที่แตกต่างกัน และเป็นตัวแทนของกาลเวลาทั้ง 3 นี้
มีเรือนหนึ่งที่ไม่ไหลไปเช่นเรือนอื่น กลับพลิกคว่ำและถูกฝูงมดรุมปีนป่าย อาจหมายถึงความตายที่เป็นสิ่งแน่นอน ไม่ยืดหยุ่น ไม่โอนอ่อนผ่อนผันให้ใคร เมื่อถึงเวลาแล้วเราต่างถูกฝูงมดเข้ามากัดกินไม่ต่างกัน
ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยซ่อนไว้ราวกับเล่นซ่อนหา ต้นมะกอก สัญลักษณ์แห่งปัญญา กิ่งใบแห้งแล้ง ยืนต้นตายอาจหมายถึงอดีต ไข่ถูกทิ้งไว้ริมชายหาด อาจหมายถึงการเกิดและการเริ่มใหม่อีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวกลางภาพนั้นก็เป็นใบหน้าของเขาเองที่มักจะซ่อนอยู่ในงานหลายชิ้นเช่นกัน

ผลงานของเขาเป็นเอกลักษณ์อย่างหาตัวจับยาก ความสนใจในหัวข้อที่หลากหลาย พาให้เขาได้พบปะกับซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ ในลอนดอน ฝากผลงานเป็นภาพเหมือนของฟรอยด์ หลังจากนั้นดาลีละทิ้งความหลงใหลในจิตวิเคราะห์ หันมาสำรวจแวดวงฟิสิกส์นิวเคลียร์และศาสนา จาก แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heisenberg) ผู้ซึ่งถูกเรียกว่าบิดาคนใหม่ ผู้เป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งในผลงานของเขา จนเราได้ยลผลงาน Galatea of the spheres (1952) เลียนรูปร่างโครงสร้างอะตอม
ไม่ว่าเขาจะหันเหไปสู่ความสนใจใหม่เท่าไหร่ ดาลียังคงชอบสิ่งต่างๆ ในสภาวะที่ไม่สมบูรณ์ อยู่ผิดที่ผิดทาง ผิดรูปร่าง แต่ประกอบกันออกมาแล้วคงความงดงามเสมอ
The Persistence of Memory ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์ศิลปะ จนอาจกล่าวได้ว่า ผลงานนี้เป็นชิ้นที่ไม่มีใครลืมมันได้หลังจากได้เห็น
อ้างอิงจาก