ลองนึกดูว่า ภาพของฉลามขนาด 4.3 เมตร ใหญ่พอที่จะกลืนมนุษย์เข้าไป ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่เพียงภาพถ่าย ไม่ได้เหลือเพียงโครงกระดูก แต่เห็นเป็นเนื้อหนังในสภาพเกือบจะสมบูรณ์ มันชวนให้ตะลึงพรึงเพริดขนาดไหน
ฉลามตัวที่ว่านั้น ไม่ได้จัดตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์ใดๆ แต่เป็นผลงานในชื่อ ‘The Physical Impossibility of Death in the Mind of Someone Living’ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘The Shark’ ของ ‘เดเมียน เฮิร์สต์’ (Damien Hirst) ศิลปินแนวคอนเซ็ปชวลชาวอังกฤษ เจ้าของรางวัลเทอร์เนอร์ไพรซ์ ในปี 1995 จากหอศิลป์เทตบริเตน ซึ่งเป็นรางวัลศิลปะร่วมสมัยชั้นนำของสหราชอาณาจักร
ผลงานหลายชิ้นของเฮิร์สต์ถือว่าจัดจ้านในด้านคอนเซ็ปชวล ไม่ได้มีเพียงฉลามเท่านั้นที่ถูกจัดวางในกล่องขนาดใหญ่กว่าตัว ยังมีแกะหลงฝูงในผลงานชื่อ ‘Away from the Flock’ และวัวแม่ลูก ‘Mother and Child, Divided’ ที่มีลักษณะคล้ายกับฉลามที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้
จะไม่พูดถึงได้อย่างไรกันล่ะ เมื่อปี 1991 โลกได้เห็นงานศิลปะที่ทำมาจากฉลามเสือตัวจริงเสียงจริง ฉลามตัวแรกนั้นถูกจับได้โดยชาวประมงที่อยู่นอกชายฝั่งอ่าวเฮอร์วีย์ รัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย ก่อนจะนำมาใส่ในตู้ใสยักษ์ขนาด 213 × 518 × 213 ซม. บรรจุฟอร์มาลีนไว้เต็มเปี่ยมกว่า 848 ลิตร จนปรากฏเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกเหมือนสัตว์ในห้องทดลอง

หากถามว่าทำไมถึงนำฉลามมาใส่ตู้ อาจต้องย้อนกลับไปถึงตอนที่เฮิร์สต์เริ่มทำผลงานชิ้นแรก ในวัย 26 ปี ตอนนั้นเขาเป็นผู้นำของกลุ่ม Young British Artists (YBA) ที่ได้รับการว่าจ้างจากนักธุรกิจให้ผลิตผลงานออกมาหนึ่งชิ้น โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ เขาเลยจัดแจงจ้างชาวประมงไปจับฉลามจากออสเตรเลีย และกู้เงินมาจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นค่าขนย้าย แต่ความสำเร็จจากผลงานชิ้นนี้อาจตอบได้ว่า เขาได้กำไรคืนมามากเพียงใด
เพราะผลงานนี้ของเขาไม่ได้นำเสนอเพียงภาพของความประหลาด ชวนขนลุกเท่านั้น หากย้อนไปตอนที่ฉลามตัวนั้นยังมีชีวิต ความเป็นไปได้ที่สุดที่เราจะได้เห็นฉลามสักตัว คือการพบเห็นมันทางทีวี สารคดีต่างๆ หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ผลงานชิ้นนี้นำฉลามมาอยู่ในบริบทที่ต่างออกไป ไม่ได้แหวกว่ายฉวัดเฉวียน แต่กลับนิ่งงันอยู่ตรงหน้าเรา เพื่อเขาได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเปราะบางของชีวิตและความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งนับว่าเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต
ฉลามในแทงก์ฟอร์มาลีนนี้ ถูกจัดแสดงครั้งแรกในปี 1992 ที่ Saatchi Gallery และต่อมางานถูกขายให้กับ สตีเฟน เอ. โคเฮ็น (Steven A. Cohen) ในปี 2004 ด้วยราคา 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ The Metropolitan Museum of Art พิพิธภัณฑ์ในมหานครนิวยอร์ก ยังได้ยืมผลงานชิ้นนี้มาจัดแสดง ตั้งแต่ปี 2007-2010

เมื่อเฮิร์สต์รู้ว่างานชิ้นนี้ถูกขายให้กับโคเฮ็น เขาจึงเสนอให้เปลี่ยนซากฉลามเป็นตัวใหม่ เพราะการเก็บรักษาที่ผิดพลาดในบางขั้นตอน ซากฉลามตัวเก่าเริ่มเสื่อมสภาพ ในคราวนี้ได้ โอลิเวอร์ คริมเมน (Oliver Crimmen) นักวิทยาศาสตร์และภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งลอนดอน มาช่วยดูแลในทุกขั้นตอน เพื่อคงสภาพให้ฉลามนั้นยังดูเป็นซากที่ใกล้เคียงกับตอนมีชีวิตมากที่สุด
เรื่องนี้กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นถกเถียงกันว่า หากเฮิร์สต์เปลี่ยนตัวฉลามที่เป็นหัวใจหลักของงานศิลปะชิ้นนี้แล้ว นั่นหมายถึง งานศิลปะชิ้นเดิมได้ถูกทำลายไปพร้อมกับซากฉลามตัวเก่าแล้วหรือเปล่า เรายังนับว่ามันเป็นผลงานชิ้นเดิมได้อยู่ไหม รวมถึงการนำซากสัตว์มาใช้ในงานศิลปะอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดข้อถกเถียงในด้านจริยธรรม จากการประเมินของ Artnet Worldwide Corporation คาดว่า เฮิร์สต์ใช้ซากสัตว์ในงานศิลปะไปประมาณ 913,450 ชนิด ตั้งแต่สัตว์ในฟาร์ม สัตว์ทะเล ผีเสื้อ และแมลง

Photograph by Francesco Guidicini / The Sunday Times / News Syndication / Redux
ข้อถกเถียงด้านจริยธรรมเหล่านั้น ไม่สามารถหยุดการสร้างสรรค์ผลงานจากซากสัตว์ของเฮิร์สต์ได้ เขาก็ยังคงใช้ฉลามมาเป็นงานศิลปะอีกหลายต่อหลายครั้ง โดยมีฉลามในตู้ฟอร์มาลีนตามมาอีกหลายตัว ได้แก่ The Immortal (2005), Wrath of God (2005), Death Explained (2007), Death Denied (2008), The Kingdom (2008) และ Leviathan (2010)
ไม่ได้มีเจ้าสมุทรขนาดยักษ์เท่านั้น แต่เขาได้สร้างสรรค์ผลงานเวอร์ชั่นจิ๋วของ The Shark เป็นปลาหางนกยูงในกล่องฟอร์มาลีนขนาด 10 × 3.5 × 5 ซม. และจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ของจิ๋วในเนเธอร์แลนด์
อย่างไรก็ตาม ผลงานของเฮิร์สต์ไม่ได้ถูกวิจารณ์ในด้านศีลธรรมเพียงเท่านั้น ยังมีเสียงค่อนแคะไปถึงความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ของเขาในฐานะศิลปินด้วย ในทำนองที่ว่า ถ้าเอาปลามาใส่ตู้แล้วเป็นงานศิลปะได้ ใครๆ ก็คงเป็นศิลปินได้ทั้งนั้น
แล้วทุกคนล่ะ คิดว่ามันง่ายดังว่าจริงไหม?
อ้างอิงจาก