หากคิดว่ากล้วยแปะเทปเป็นงานศิลปะที่ยียวนที่สุดแล้ว เชื่อเถอะว่า เมาริซิโอ คัตตาลัน (Maurizio Cattelan) ยังมีผลงานแสบสันรอเราเป็นหางว่าว หนึ่งในชิ้นที่แสบที่สุด คือชิ้นที่เราจะพูดถึงในวันนี้
ลองเอาชื่อของเขาแปะลงไปบนเสิร์ชเอ็นจิ้น เราคงได้เห็นตั้งแต่ม้าลอยฟ้า ช้างถูกคลุมด้วยผ้า ส้วมทองคำ หรือแม้แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างอุกกาบาตพุ่งชนพระสันตะปาปา เราก็ได้เห็นในผลงานชื่อ ‘La Nona Ora’ ในปี 1999 เป็นหุ่นขี้ผึ้งจำลองของพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 นอนแอ้งแม้งอยู่บนพรมแดง มีเศษกระจกกระจายอยู่รอบตัว ภาพที่ออกมานั้น อุกกาบาตไม่ได้ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต เพียงสร้างความบูดเบี้ยวปรากฎบนใบหน้าเท่านั้น
แล้วทำไมต้องโดนชนด้วย?

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1999 ช่วงนั้นคัตตาลันได้ผลิตหุ่นขี้ผึ้งจำลองของหลายบุคคล รวมถึงตัวเขาเองด้วย ในตอนแรก หุ่นของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ในชุดพิธีการเต็มรูปแบบก็สุขุมนุ่มลึกอยู่หรอก แต่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Sculpture ในปี 2005 ไว้ว่า
“พอผมสร้างเสร็จและยืนอยู่ตรงหน้านั้น ผมรู้เลยว่ามีบางอย่างขาดหายไป ชิ้นงานยังไม่สมบูรณ์ สิ่งที่มันต้องการนั้นเรียบง่ายมาก มันขาดความดราม่าและความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกที่พิเศษและทรงพลังไงล่ะ”
เขาเลยอันเชิญอุกกาบาตเข้ามาชาร์จถึงที่จนหุ่นพระสันตะปาปาล้มลงกับพื้น งานชิ้นนี้ดูเผินๆ เหมือนจะต้องการเรียกความโกรธขึ้ง ความเข้มข้นในอารมณ์ของผู้ชม นัยหนึ่งมันหมายความว่าเขากำลังดูหมิ่นศาสนาหรือเปล่า เหมือนกับเขากำลังข้ามเส้นความเหมาะสมอย่างชัดแจ้ง
ผลงานชิ้นนี้ถูกตีความไปในหลากหลายแง่มุม บางคนมองว่ามันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ชื่อเสียงของคริสตจักรคาทอลิกที่ปกปิดเรื่องอื้อฉาวไว้ใต้หน้าฉากเปี่ยมศีลธรรม มีการตีความไปถึงว่า อุกกาบาตอาจหมายถึงอำนาจบางอย่างที่อยู่เหนือศาสนาและย้ำเตือนถึงความเปราะบาง ว่าแม้แต่บุคคลผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในนิกายโรมันคาทอลิกก็อาจยังไม่ปลอดภัยจากเคราะห์ร้ายทั้งหลาย และสามารถล้มลงได้เพราะศาสนานั้นเปราะบางกว่าที่เห็น

แต่ในอีกฝั่งหนึ่งกลับมองว่า เขาไม่ได้มีความตั้งใจแบบนั้น เพียงแต่ต้องการจะแทรกอารมณ์ขัน ด้วยการเสียดสีเข้าไปในงานของเขาเหมือนกับชิ้นอื่นๆ จนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว หากกลับไปดูผลงานชิ้นอื่น เรามักจะเห็นเขาหยิบเอาสิ่งธรรมดาที่เราเคยเห็นในชีวิตประจำวัน มาอยู่ในพื้นที่ จังหวะเวลา หรือท่าทางที่แปลกออกไป จนกลายเป็นภาพพิศดารที่เราคงไม่ได้เห็นแบบนี้บ่อยๆ หรือไม่มีทางได้เห็นสักเพียงครั้งในชีวิตเลยก็ตาม เช่น หุ่นจำลองฮิตเลอร์คุกเข่า เงยหน้ามองฟ้า ราวกับอ้อนวอนขอให้ได้รับการให้อภัย ในผลงาน ‘Him’ (2001) ม้าแข่งลอยเคว้งกลางอากาศ ห้อยต่องแต่งจากเพดาน ในผลงาน ‘Novecento’ (1997) ปะติมากรรมมือชูนิ้วกลางขนาดยักษ์ ในผลงาน ‘L.O.V.E.’ (2011) และอื่นๆ อีกมากมาย นั่นหมายความว่า พระสันตะปาปาถูกอุกกาบาตชน ก็อาจเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ต้องการฉายภาพที่เราไม่มีวันได้เห็นเช่นเดียวกับผลงานอื่นๆ โดยไม่มีเจตนาเบื้องหลังใดๆ ก็เป็นได้
แม้เขายังคงมีผลงานที่เน้นสร้างคำถามมากกว่าตอบคำถามเสมอมา แต่จนแล้วจนรอด เขาเองก็ไม่เคยออกมาอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่างานชิ้นนี้ของเขามีความหมายเบื้องหลังเป็นอะไร
หรือการปล่อยไว้แบบนี้ต่างหาก จึงจะนับได้ว่าผลงานของเขาได้ทำงานด้วยคำถามแล้ว
อ้างอิงจาก