หากบอกว่าผลงานของศิลปินคนหนึ่งมีมูลค่าสูงลิบดั่งทองคำ อาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับศิลปินเบอร์ใหญ่ที่ใครๆ ต่างหมายจะครอบครองผลงาน แต่ถ้างานชิ้นนั้น ไม่ใช่มาสเตอร์พีซที่แขวนผนังอวดใครได้ ไม่ใช่ประติมากรรมตั้งตระหง่าน แต่เป็นเพียงอาจมของศิลปินล่ะ เราจะมองผลงานนั้นด้วยสายตาแบบไหน หรือไม่อยากนับว่านั่นเป็นผลงานเสียด้วยซ้ำ?
เรื่องอาจมเป็นผลงานที่ว่า ไม่ได้เป็นเรื่องเปรียบเปรยแต่อย่างใด สิ่งนี้เกิดขึ้นจริง และยังมีผลงานจริงอยู่กับพิพิธภัณฑ์บางแห่ง เมื่อในปี 1961 วงการศิลปะต้องตื่นตะลึงกับ Artist’s Shit ผลงานของ ปิเอโร มานโซนี (Piero Manzoni) ศิลปินชาวอิตาลีที่เอาของเสียจากร่างกายอย่าง ‘อุนจิ’ มาบรรจุใส่กระป๋องขนาด 30 กรัม จำนวน 90 กระป๋อง ซึ่งบนฝาปิดมีหมายเลขกำกับตั้งแต่ 001 ถึง 090 และลงนามโดยศิลปิน
คอนเซ็ปต์ว่าอึ้งแล้ว หากพลิกป้ายราคาอาจจะต้องอึ้งซ้ำสอง เมื่อมานโซนีตั้งราคาผลงานชิ้นนี้ โดยคิดตามน้ำหนักเท่ากับมูลค่าทองคำในขณะนั้น ซึ่งกระป๋องเหล่านี้ทำจากเหล็ก ทำให้ไม่สามารถเอกซ์เรย์หรือสแกนดูข้างในได้ว่า ข้างในนั้นเป็นของเสียศิลปินจริงหรือเปล่า และไม่มีใครกล้าเปิดมันเช่นกัน ไม่ใช่เพราะกลัวความเน่าเหม็น แต่เกรงว่ามูลค่าของมันจะสูญหายไปทันทีด้วย
คิดว่าอุนจิศิลปินอัดกระป๋องจะขายได้ไหม? แม้ผลงานชุดนี้ มานโซนีได้ตั้งราคาเท่าทองคำอย่างที่เขาตั้งใจ และไม่มีบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าถูกขายไปจำนวนเท่าไหร่ในช่วงที่เขายังมีชีวิต แต่ในปี 2007 มีกระป๋องใบหนึ่งได้ถูกขายไปในราคา 124,000 ยูโร ที่ Sotheby’s บริษัทจัดการประมูลผลงานศิลปะสัญชาติอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายแห่งที่ยอมควักเงินมหาศาลเพื่อผลงานชิ้นนี้

Credit Tate Gallery
แล้วมานโซนีทำสิ่งนี้ไปทำไม?
ข้อมูลหลายแห่งอ้างถึงเหตุการณ์ที่พ่อของเขาดูถูกว่า ผลงานของเขานั้นห่วยเสียไม่มี อย่างกับขี้อย่างไงอย่างงั้น มานโซนีจึงประชดด้วยการเอาขี้จริงๆ มาเป็นผลงานเสียเลย
ความบางเบาของเหตุการณ์ที่ออกจะติดตลกเสียหน่อย เราอาจมองว่าเรื่องนี้เป็นเพียงมุกตลกจากปากคำใครสักคนเท่านั้น แต่อีกมุมหนึ่ง เหตุผลเบื้องหลังของกระป๋องอาจมนี้ อาจเป็นความตั้งใจที่อยากจะเสียดสีตลาดศิลปะและทุนนิยม โดยเฉพาะการเติบโตของบริโภคนิยม ระบบสังคมและเศรษฐกิจที่กล่อมเกลาให้ผู้คนครอบครองสินค้า และใช้บริการเกินกว่าสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต จนมันกำลังเปลี่ยนแปลงสังคมอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างการทำให้คนเรายอมซื้อแม้กระทั่งของเสียของศิลปิน อย่างที่เขากำลังทำอยู่
รวมทั้งยังเป็นการตั้งคำถามถึงขอบเขตของวัตถุศิลปะ เน้นย้ำถึงการทำให้ตัวตนของศิลปินกลายเป็นสินค้า ด้วยผลงานก่อนหน้าของเขาอย่าง Artist’s Breath ที่มีคอนเซ็ปต์คล้ายกัน นั่นคือการบรรจุลมหายใจของศิลปินอยู่ในลูกโป่งสีแดงสด ดังนั้น ด้วยเหตุผลของการตั้งคำถามต่อวงการศิลปะ และสังคมที่กำลังเปลี่ยนมุมมองต่อศิลปะให้กลายเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง จึงอาจเป็นที่มาที่เป็นไปได้มากกว่าคำเสียดสีจากพ่อของเขา
และอีกหนึ่งหลักฐานที่ยืนยันถึงแนวคิดเบื้องหลังผลงานนี้ของมานโซนี เป็นส่วนหนึ่งของจดหมายที่เขาพูดคุยกับเพื่อนศิลปินด้วยกัน โดยเนื้อหาพูดถึงเหล่านักสะสมที่อยากจะมีของส่วนตัวของศิลปินไว้ครอบครองเสียเต็มประดา แต่สิ่งที่ศิลปินมีนั้น ก็มีเพียงของส่วนตัวอย่างลายนิ้วมือ หรือสิ่งอื่นๆ ที่ติดตัวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากเรียกเสียงฮือฮาด้วยผลงานชุดนี้ เพียง 2 ปีให้หลัง มานโซนีก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 29 ปี ด้วยปัญหาด้านสุขภาพ
หากเขามีชีวิตอยู่ยืนยาวเสียหน่อย อาจทันได้เห็นผลงานของเขาเองจัดแสดงในสถาบันต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Musée d’art Moderne de Paris, Städel Museum, Museu de Arte Moderna de São Paulo และ Museum of Contemporary Art Los Angeles
แม้มานโซนีจะจากไปในวัยไม่ถึงครึ่งชีวิต แต่ศิลปะเชิงแนวคิดที่เขาได้ทิ้งไว้ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน ยังคงสร้างแรงกระเพื่อมและคอยตั้งคำถามกับวงการศิลปะอยู่เสมอ
เชื่อว่าความคิดแรกของหลายคนที่ได้รู้จักกับเจ้าอุนจิกระป๋องนี้ มักจะตั้งคำถามถึงความเป็นศิลปะของมัน ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าศิลปะได้ ศิลปะจะเป็นอะไรที่เขาบอกให้เป็นก็ได้อย่างนั้นหรือ? แล้วแวดวงตลาดศิลปะเล่า มันกำลังให้คุณค่ากับศิลปินมากกว่าตัวผลงานเอง จนศิลปะกลายเป็นสินค้าอย่างหนึ่งหรือเปล่า?
และนั่นอาจหมายความว่า ศิลปะเชิงแนวคิดที่เขาได้สร้างไว้ ยังคงทำงานในตัวมันเองได้ไม่เสื่อมคลาย
อ้างอิงจาก