แฟนฉันรูปหล่อ แฟนฉันกล้ามใหญ่ ดีกว่าไอ้หมอนั่นตั้งเยอะ
แฟนผมสวยจึ้ง ไม่ขี้หึง ไม่เอาแต่ใจ ไม่เหมือนยัยตัวดีที่ผ่านมา
เคยเป็นแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า อยากจะบอกเล่าความภูมิใจที่ได้เธอคนนี้มาเป็นแฟน คะแนนเต็ม 100 อย่างน้อยต้องได้ 99 แต่เอ๊าาาาา ชมคนรักใหม่อยู่ดีๆ มันเผลอแวบกลับไปนึกถึงคนเก่า เรื่องราวเจ็บจี๊ดมันจุกอกขึ้นมา จากที่ชมคนใหม่เฉยๆ ก็ขอเลี้ยวไปจิกคนเก่าเสียหน่อย ข้อหาดีไม่เท่าคนใหม่ ตอนนั้นคบไปได้ยังไงนะ
อาการชมคนใหม่ได้ไม่ทันไร ก็เผลอเอาคนเก่าเข้ามามีเอี่ยวในสมการนี้เสมอ มักจะตามมาด้วยประโยคเปรียบเทียบกันซึ่งหน้า “ไม่เหมือน..หรอกนะ” “ดีกว่า..ตั้งเยอะ” หรือสารพัดข้อเปรียบเทียบที่จะบอกว่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมานั้นทำเอาเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหน พูดไปพูดมามันแทบจะกลายเป็นว่า เรากำลังชื่นชมคนใหม่ ด้วยการกดคนเก่าให้แย่ลงอยู่หรือเปล่านะ
ในมุมหนึ่งเราอาจรู้สึกว่า คนเก่านั้นก็สมควรโดนสาปส่งแล้ว ทำไว้เจ็บแสบขนาดนี้ เสียน้ำตาไปหลายลิตรกว่าจะกลับมายิ้มได้ ก็ขอก่นด่าจนกว่าจะสาแก่ใจหน่อยเถอะ ถามว่าทำได้ไหม ได้แน่นอน ทุกคนต่างมีวิธีสะสางเรื่องในใจต่างกันไป นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งวิธีนั้น แต่เราลองนึกถึงว่าเราเป็นแฟนใหม่ เป็นคนที่ถูกชมดูบ้าง จะพอใจในคำชมนี้หรือเปล่า
“เธอเข้าใจเรามากเลย ไม่เหมือนแฟนเก่าเรานะ ทะเลาะกันเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบ”
“ขอบคุณมากนะที่สนับสนุนกันขนาดนี้ แฟนเก่าเราไม่เคยคิดจะช่วยเหลือแบบนี้หรอก”
เมื่อประโยคเปรียบเทียบจบลง ตามมาด้วยวีรกรรมช้ำทรวงในอดีต เหมือนเป็นแพ็กเกจคู่กัน ที่เริ่มชมเมื่อไหร่ จะต้องย้อนไปด่าแฟนเก่าสักหน่อย หากเราเป็นแฟนใหม่ที่ได้รับคำชมนี้ แล้วต้องมานั่งฟังเรื่องราวในอดีตซ้ำไปมา ในมุมหนึ่งเราอาจรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วย แต่ในมุมหนึ่งอาจชวนให้รู้สึกว่า นี่เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับอดีตมากไปหรือเปล่า
ทั้งที่เขาจะพูดชมเราเฉยๆ ก็ได้นี่นะ ชอบเราเรื่องไหน พอใจเราเรื่องเปรียบเทียบไหน ก็โฟกัสอยู่ที่ตัวเราก็ได้ หากมันจะต้องมีการเปรียบเทียบพ่วงด้วยเสมอ นั่นแปลว่าต้องเปิดลิ้นชักความทรงจำ ขุดทุกเรื่องราวในอดีตที่พอจำได้เพื่อมาเปรียบเทียบกันงั้นเหรอ ขั้นนี้แล้วก็เริ่มเกาหัว ตกลงแกลืมคนเก่าแล้วจริงเปล่าเนี่ย
ฝั่งที่ชอบเปรียบเทียบก็รีบโบกมือ ไม่มีอะไรเล๊ย แค่อยากให้รู้ว่าเธอน่ะสุดยอดขนาดไหน แบบที่ไม่มีคนเก่าคนไหนเทียบได้ ฝั่งแฟนใหม่ก็งง ตกลงจะชมหรือหาเรื่องด่าคนเก่ากันแน่ แล้วจำได้ละเอียดขนาดนี้ มีคนเก่าอยู่ในทุกห้วงความจำเลยเปล่าเนี่ย หน็อย เรื่องชักจะไปกันใหญ่ ทั้งที่เริ่มต้นด้วยเจตนาดี
มันก็มีทั้งตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง ใช่ว่าจะอยากเปรียบเทียบทุกครั้งไป ว่าแต่ มันแปลกไหมนะที่เรามักจะหาเรื่องเปรียบเทียบอยู่เสมอ?
ทำความเข้าใจเบื้องหลังการเปรียบเทียบ
ไม่ว่าจะเทียบตัวเองกับคนอื่น เทียบคนรักใหม่กับคนรักเก่า ดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะชื่นชอบการเปรียบเทียบแบบฝังลึกในสัญชาตญาณเลยล่ะ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง ไบรอัน ดอส (Brian Doss)ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา จาก University of Miami ก็บอกว่า การเปรียบเทียบมันเป็นเรื่องแสนจะปกติของมนุษย์เรา
และยังเสริมอีกว่า การเปรียบเทียบในความสัมพันธ์เกิดจาก การที่เราไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ในอุดมคติมันควรหน้าตาเป็นยังไง ควรเป็นแบบไหน เราเลยใช้ความสัมพันธ์ในอดีตมาเป็นเกณฑ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงรักครั้งเก่าอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงมิตรภาพกับเพื่อน ความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือบางครั้งก็เผลอหยิบเอาไอเดียจากคู่รักที่เราคิดว่าแจ่มมาเป็นตัวอย่าง กำหนดทิศทางความสัมพันธ์ของตัวเองด้วย
นั่นหมายถึง การเปรียบเทียบเชิงบวก เราอยากให้ความสัมพันธ์เราดี เราก็ไปมองหาต้นแบบดีๆ มาเทียบกับของเรา เพื่อให้ทำตามแล้วผลออกมาเป็นเชิงบวกเหมือนกัน แน่นอนว่า การเปรียบเทียบเชิงลบก็มีเหมือนกัน และนั่นก็คือการเปรียบเทียบกับอะไรสักอย่างที่แย่กว่าเพื่อให้เรารู้สึกดี สิ่งนี้มันเป็นเหมือนกลไกทางจิตใจของเราที่คอยรักษาความสุขให้ตัวเอง
ต่อให้เราบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ เมแกน ฮาซ (Megan Haase) ที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่ได้รับใบอนุญาต ย้ำเตือนว่า เมื่อคู่รักเปรียบเทียบความสัมพันธ์หรือคู่ของตนกับผู้อื่น สิ่งนี้มักจะนำไปสู่ความไม่พอใจ ความขุ่นเคือง จนอาจส่งผลให้มันกัดกร่อนความรู้สึกผูกพันและความมั่นคงในความสัมพันธ์
การเปรียบเทียบนั้นถ้ามันอยู่ในใจเฉยๆ เผลอเอ่ยมาบ้างครั้งคราวก็ไม่แย่เท่าไหร่ แต่หากมันโผล่มาบ่อยจนสร้างความเคยชิน (ที่ไม่ได้แปลว่ารับได้ ชินเฉยๆ) ว่าถ้าจะชมแฟนปัจจุบันต้องเลี้ยวด่าแฟนเก่าคนนั้นไปด้วย มันก็เริ่มจะมีกลิ่นแปลกๆ ชวนสร้างความขุ่นข้องหมองใจได้เหมือนกัน ว่าคนที่เอาแต่พูดถึงแฟนเก่าคนนั้น ก็คือคนที่ยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้นไม่ปล่อยหรือเปล่า
ในเมื่อข้อเสียมันเหมือนจะมากกว่าข้อดี เราอาจจะต้องปรับมุมมองต่อการเปรียบเทียบเสียใหม่ หากเรารู้ตัวว่าชอบเปรียบเทียบแบบที่ว่ามา แบบตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แล้ววันนี้อยากเปลี่ยนวิธีบ้างแล้ว จะพอเริ่มต้นยังไงได้บ้าง ให้การชื่นชมคนปัจจุบัน ไม่ต้องเกี่ยวพันกับคนเก่า
- เก็บไว้ในลิ้นชักในใจ
บางครั้งมันก็เผลอไม่ได้ เมื่อมันต่างกันจนเราแปลกใจ แต่เมื่อการพูดเปรียบเทียบออกไปของเรา มันคือการย้ำเตือนในทางหนึ่งเหมือนกัน ว่าเราไม่ได้ลืมเรื่องราวรักครั้งเก่าที่เกิดขึ้นเลย ซ้ำร้ายยังมีอารมณ์ร่วม ยังรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ แปลว่ารักครั้งนั้นยังส่งผลในชีวิตของเรา วิธีจัดการก็คือเราไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างที่รู้สึกก็ได้ รับรู้ว่า 2 คนนี้ต่างกัน แล้วเก็บไว้ในใจแค่นั้นพอ - โฟกัสที่คนใหม่
เป็นข้อที่ง่ายและตรงประเด็นที่สุด อย่างการโฟกัสกับเรื่องราวดีๆ ในปัจจุบัน ทั้งตัวตนของเขา ทั้งความสัมพันธ์ เมื่อเรารู้สึกว่าเวลานี้มันดีแล้ว เราซาบซึ้งใจกับมันมาก เราก็โฟกัสอยู่แค่ตรงนี้ ชื่นชม ขอบคุณ ในสิ่งที่คนใหม่ทำได้ดี แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีส่วนขยายเป็นการว่าร้ายคนเก่าให้เขาฟังอยู่เรื่อยๆ เพราะต่อให้มันเป็นการชื่นชม และทับถมคนเก่า แต่ไม่ได้แปลว่าเขาอยากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาเสียหน่อย - จำไว้เสมอว่ามันจบไปแล้ว
ไม่ว่าจะจดจำว่ามันเป็นดั่งฝันร้าย เป็นหลุมดำดูดกลืนชีวิต หรือคำเปรียบใดๆ ที่พอจะเทียบให้สาสมกับความเจ็บช้ำที่ต้องเผชิญ อย่าลืมว่าเวลาที่เราอยู่ในตอนนี้ พื้นที่เราเหยียบ ตัวตนที่เรามีอยู่ มันผ่านพ้นจากเรื่องเหล่านั้นไปแล้ว ให้มันเป็นเพียงบทเรียนในใจ ที่เราจะเรียนรู้จากมัน เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบนั้นขึ้นอีก และหันมามีความสุข ให้ความสนใจกับชีวิตในวันนี้กับคนที่อยู่ตรงหน้าเราดีกว่า
ความสวยงามของรักครั้งนี้ มันเปล่งประกายในตัวมันเองได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลากเอาความทรงจำเจ็บช้ำมาเพื่อย้ำเตือนว่ามันต่างกันขนาดไหน สิ่งนี้ไม่ได้ปรับใช้ได้เพียงเรื่องความรักเท่านั้น ยังหมายถึงความสัมพันธ์อื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน เมื่อเรามีสิ่งที่ชอบ พึงพอใจอยู่ตรงหน้า เราจะไปควานหาสิ่งที่ไม่ชอบมาพูดถึงทำไมกันนะ
อ้างอิงจาก