เรื่องจบไปแล้ว ความสัมพันธ์มันยุติไปแล้ว แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรือใจมันอดไม่ไหวที่เราจะแอบย่องเข้าไปในไทม์ไลน์
แล้วเป็นยังไง ไถไปไถมาก็ไปเจอร่องรอยของใครอีกคน ตรงที่ๆ ดูเหมือนจะเป็นที่ของเรา นอกจากจะเจ็บจี๊ดๆ ในใจแล้ว ร้ายกว่านั้นเราเองก็อาจจะอดใจแอบส่องไปที่คนใหม่ของเขาไม่ไหว ดูหน่อยสิเป็นยังไงบ้าง เจอเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า เราดูดีกว่า สวยกว่า เก๋กว่าตั้งเยอะ นอกจากจะยิ้มอย่างภูมิใจแล้ว ในใจมันก็คันยุกยิกอยู่บ้าง
ทำไมเราถึงยังกลับไปสนใจว่าคนรักใหม่ของแฟนเก่าเราจะเป็นยังไง แล้วไอ้การที่เราทั้งส่อง และทั้งเอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบ มันดีรึเปล่า เบื้องต้นก็เหมือนว่าจะเป็นการที่แอบปลอบใจตัวเองแหละว่า เฮ้ย จบจากเราไปก็ไม่ได้จะหาอะไรดีเด่นนี่นา ชีวิตก็งั้นๆ
แต่อีกที การสร้างความสบายใจด้วยการแอบส่อง และเอาตัวเองไปเทียบ โดยลักษณะแล้วก็ไม่น่าจะใช่พฤติกรรมที่ดีกับความรู้สึกนัก คือแน่นอนการไปเทียบกับคนอื่นแล้วบอกว่าตัวเราเองดีกว่ามันไม่ดีแน่ๆ แล้วในอีกด้านก็เป็นสัญญาณว่าเราเองอาจจะรู้สึกไม่มั่นคง และที่สำคัญ คือ เราอาจจะยังไม่ก้าวพ้นความสัมพันธ์ที่เพิ่งจบไป
เราส่องแฟนเก่ากันมากกว่าที่คิด และส่องไปถึงแฟนใหม่เขา
ฟังดูแย่มาก แต่เป็นเรื่องแย่ที่เราเองก็ทำ และรู้ว่ามันแย่ ไอ้การแอบส่องเฟซบุ๊กส่องไอจีแฟนเก่าในฐานะกิจกรรมยามว่าง ประเด็นการเลิกร้างกันแล้วเรามีพฤติกรรมยังไง โดยเฉพาะการแอบส่อง ที่มหาวิทยาลัย Western University ในแคนาดามีงานศึกษาระดับปริญญาโท(ที่น่ารับรางวัลโนเบล) ชื่อ ‘It’s Complicated: Romantic Breakups and Their Aftermath on Facebook’ งานวิจัยนี้ก็ตามชื่อเลยคือดูว่าคนมีพฤติกรรมบนเฟซบุ๊กยังไงหลังเลิกกันไปแล้ว
ผลการศึกษาพบว่า 88% ของกลุ่มตัวอย่าง (อายุ 18-35 ปี) ยอมรับว่าแอบส่องและติดตามเฟซบุ๊กส่วนตัวของแฟนเก่า และที่น่าตกใจแต่พอจะคาดการณ์ได้คือ 80% ของทั้งหมดรายงานว่า ตัวเองส่องและติดตามต่อเนื่องไปจนถึงแฟนใหม่ของแฟนเก่าด้วย—ไม่ดีเลยนะตัวเอง
ทีนี้เราอาจรู้สึกว่า แอบส่องนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่เชื่อเลยว่า พอเราส่องแล้ว บางทีเราส่องคนเดียวไม่พอ เราสะกิดๆ เพื่อนข้างๆ ให้ดูด้วย ดูไปก็แอบด่าไป บางทีแคปรูปส่งไปแบบมึงๆ ดูนี่สิ แล้วก็แอบขำ ถ้ามานึกจริงๆ เราอาจจะรู้สึกว่า อันที่จริง แฟนเก่าเราจะมีคนใหม่ยังไงก็เรื่องของเขาเนอะ แล้วผู้หญิงหรือหนุ่มคนใหม่ก็ไม่ใช่คนที่เรารู้จักด้วยซ้ำ เราจะไปแข่งขัน ไปเกลียด ไปเหยียดหยามกันทำไม
ความไม่มั่นคง และการอยากจะเป็นที่หนึ่ง
อันที่จริง นอกจากการขำกลบเกลื่อน หรือคำพูดร้ายๆ ต่างๆ เวลาเห็นแฟนใหม่ของแฟนเก่า ลึกๆ แล้วเราเองก็ยังแอบรู้สึกว่าที่ตรงนั้นเรากำลังถูกแทนที่ และโดยทั่วไปเราเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเปรียบเทียบและแข่งขัน ในการหาคู่ก็ดูจะเป็นพฤติกรรมพื้นฐาน การเทียบและหาคำอธิบายว่าเรานั้นดีกว่าแค่ไหนก็เลยเป็นพฤติกรรมธรรมดาอย่างหนึ่ง
แต่ อย่างที่เริ่มเกริ่นไป บางทีพฤติกรรมก็อาจจะเป็นพิษได้บ้าง และการที่เรายังส่อง และแอบรู้สึกอยู่บ้าง หรือถ้าอยู่ๆ เกิดแฟนใหม่ได้ดีขึ้นมา ลึกๆ แล้วเราอาจจะมีความรู้สึกหึงหวง อิจฉาในโชคชะตาขึ้นมาโดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันแล้ว ทีนี้ การเปรียบเทียบกับคนรักใหม่ของเขา ผิวเผินเหมือนเป็นการเยียวยาตัวเอง สร้างความมั่นใจและความเคารพตัวเอง แต่ในงานวิจัยฉบับเดียวกันยังให้รายละเอียดบางอย่างที่…ทำให้เห็นว่าการยังส่องอยู่ อาจถลำไปกว่าการส่องขำๆ สร้างความมั่นใจแบบไม่ทำร้ายใครโดยตรง
ตัวรายงานระบุรายละเอียดพฤติกรรมการแอบส่องแฟนเก่าและคนรักใหม่ของเขาหรือเธอ โดยระบุว่าในการส่องนั้น เกือบทั้งหมดคือ 70% มีความพยายามสูงมาก คือ ส่องด้วยการเอาเฟซบุ๊กเพื่อนไปส่องซ้ำ หรือกระทั่งยืมแอคเคาท์เพื่อนมาล็อกอินส่องกันเป็นเรื่องเป็นราว
และที่ฟังดูน่าจะไม่ค่อยดีกับตัวเองคือการที่ 47% ของนักส่องเฟซบุ๊กแฟนเก่ายอมรับว่าตัวเองไม่อยากให้อีกคนมีแฟนใหม่ และหนักกว่านั้น 31% ระบุว่าตัวเองมีพฤติกรรมการใช้เฟซบุ๊กที่หลายครั้ง ทำไปเพื่อให้แฟนเก่าเห็นและรู้สึกหึงหวง ซึ่งตรงนี้ฟังดูรักเอยทำร้ายคนดีๆ ในหลายระดับคืออาการประชด และการคาดว่าแฟนเก่าต้องมาส่องเราเหมือนกันด้วยแน่ๆ ฟังแล้วตกลงยิ่งส่อง ยิ่งทำ ยิ่งเจ็บ
รักนั้นช่างเป็นดั่งยาพิษเนอะ การเลิกรากันเป็นเรื่องเจ็บปวด บางทีการเลิกร้างอาจส่งผลกับความรู้สึก กับความมั่นใจในตัวเอง เราเองก็เลยตกบ่วงรัก—รักเก่า และทำให้เรากลายเป็นคนที่เทียบตัวเองกับคนอื่นเพื่อเรากลับมามั่นใจได้อีกครั้ง แต่ในระยะยาว หรือในระดับลงลึกลงไปในความรู้สึก พฤติกรรมการเทียบ การขุด การส่อง ก็เป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างเป็นพิษอยู่บ้าง
ซึ่งถ้าเราคิดกันจริงๆ พฤติกรรมการประชด การส่อง หรือกระทั่งคาดหวังให้อีกฝ่ายเห็น หึงหรืออะไรก็ตามในแบบเดียวกับที่เราเป็น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะดึงให้คนคนนั้นกลับมามามีความสัมพันธ์กับเราอีกครั้ง เหมือนเราทำไปเพื่อให้ตัวเราเองสบายใจ และในทางกลับกัน ความสบายใจของเรามันดันไปขึ้นกับคนอื่น ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
สุดท้ายเอาเป็นว่า การส่อง การเมาท์มอย ถ้าเลิกกันยังพอจี๊ดๆ อยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า สุดท้ายการคบกัน เลิกกัน มันคือการที่เราต่างคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง เราไม่เหมาะกับเขา ก็แค่ไม่เหมาะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดี ดีน้อยกว่า แล้วก็พาลไปดูว่าอีกคนมันดีกว่าเราตรงไหน ซึ่งสุดท้ายไอ้การไปนั่งคิดเรื่องอะไรดีไม่ดี มากกว่าน้อยกว่ายังไงก็เป็นเรื่องปวดหัวไปเปล่าๆ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ จบแล้วก็แล้วกัน ขอให้เจริญๆ จ้า
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Sutanya Phattansitubon