“เก่งที่สุด คงมีแต่หนูเท่านั้นที่ทำได้แบบนี้”
“เป็นผู้หญิงแต่ทำได้ขนาดนี้ สุดยอดเลย”
“ผอมลงดีแล้ว สวยกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ”
เวลาเห็นใครทำอะไรสักอย่างก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงสักนิด ชมบ้างสักหน่อย ส่งสัญญาณให้รู้กลายๆ ว่าเรามองเห็นสิ่งที่เขาทำอยู่นะ แต่ เอ๊ะ ทำไมคนฟังต้องยิ้มเจื่อนๆ แบบนั้นด้วยละ
มองเผินๆ คำชมที่เราได้ยินบ่อยๆ ก็ดูไม่มีไรเสียหาย แต่สำหรับคนฟังแล้ว คำว่าเก่งที่สุด อาจกลายเป็นคำพูดที่ใช้กดดันตัวเอง หากวันหนึ่งเกิดทำไม่ได้ขึ้นมาจะกลายเป็นคนไม่ได้เรื่องหรือเปล่า หรือการเอาเพศ อายุ เชื้อชาติมาใส่พร้อมกับคำชม ฟังไปฟังมาก็ไม่แน่ใจว่าคุณพี่ชมหรือมีอคติอยู่กันแน่ รวมถึงการชมเรื่องรูปร่างหน้าตา ที่บางคนฟังอาจอยากสงวนไว้เป็นเรื่องส่วนตัวก็ได้
จริงอยู่ว่าคำพูดในแง่บวก อย่างการชมเชยเป็นคำที่ใครๆ ก็อยากได้ยิน แต่หลายครั้งคำพูดเหล่านี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคม ที่ต้องลุ้นว่าจะออกหัวหรือก้อย แม้แวบแรกดูเหมือนเป็นคำที่ช่วยเพิ่มกำลังใจกับคนฟัง แต่ถ้าสังเกตให้ดีคำชมบางประเภทก็ไม่ต่างจากน้ำผึ้งเคลือบยาพิษสักเท่าไหร่ นอกจากไม่ทำให้คนฟังรู้สึกดีแล้ว ยังอาจรู้สึกลำบากใจที่ต้องรับคำชมนั้นไว้ด้วย
เมื่อการชมยังเป็นสิ่งจำเป็นกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง ทำไมบางครั้งการชมถึงทำร้ายคนรอบข้าง แล้วเราจะมีวิธีไหนบ้างที่ให้พูดเหล่านั้นส่งไปถึงใจคนฟังโดยที่ยังมีความรู้สึกดีๆ อยู่
ทำไมการชมบางครั้งถึงทำร้ายคนฟัง
คำชมอาจไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีเสมอไป แต่บางทีถ้าสื่อสารไม่ถูกวิธีจากที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ทั้งวัน อาจเปลี่ยนเป็นปมในใจไปตลอดก็ได้ แล้วคำชมแบบไหนละที่เรียกว่าดีและไม่ดี?
ก่อนอื่นเราอยากชวนทุกคนมารู้จักคำชมที่ดีกันก่อน ส่วนใหญ่เป็นคำชมที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น “อยู่กับเธอแล้วสนุกมากเลย” “เขาเป็นผู้ฟังที่ดีนะ” หรือ “เรารู้ว่าเธอต้องรับมือกับมันได้อยู่แล้ว” จากการศึกษาของ แอนโธนี แจ็ค (Anthony Jack) รองศาสตราจารย์ด้านปรัชญา จิตวิทยา ประสาทวิทยา และพฤติกรรมองค์กร ที่ Case Western Reserve University บอกว่าคำชมนอกจากช่วยเพิ่มความสุข ลดความเครียดแล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแข็งแกร่งขึ้นด้วย
ดังนั้นแล้วหากอีกคนฟังรู้สึกว่าคำชมช่วยเพิ่มความมั่นใจ รู้สึกขอบคุณ และทำให้มองเห็นคุณค่าในของตัวเอง ก็แปลว่าเรากำลังให้มอบเอเนอร์จี้บวกๆ ให้แก่คนรอบข้างอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่กลับกันถ้า ‘คำชม’ นั้นทำให้อีกฝ่ายต้องคิ้วขมวด ไม่แน่ใจว่าควรรับดีไหม ฟังแล้วเหมือนพลังบวกเชิงลบแปลกๆ บางทีคำเหล่านั้นอาจไม่ใช่คำชมที่ควรพูดกับคนอื่นก็ได้ ยังมีคำพูดบางประเภทที่ฟังดูแล้วเหมือนคำชม แต่ทำให้คนฟังรู้สึกแย่ได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างคำชมที่อาจส่งผลเสียต่อคนฟัง เช่น
คำชมที่เกินจริง: ส่วนใหญ่มักเป็นคำชมที่ใช้กับเด็ก เพื่อหวังสร้างกำลังใจ เช่น “เก่งมาก” “ฉลาดมาก” เอ็ดดี้ บรัมเมลแมน (Eddie Brummelman) นักวิจัยและอาจารย์ด้านพัฒนาการเด็กอธิบายว่า คำชมประเภทนี้อาจทำให้พวกเขามีความมั่นใจต่ำกว่าเดิม เนื่องจากเป็นคำชมที่ไม่เฉพาะเจาะจงว่า เก่ง ที่ว่าหมายถึงเก่งเรื่องอะไร หรือการชมว่าฉลาดอาจทำให้เขาไม่กล้าเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย เพราะกลัวว่าตัวเองจะล้มเหลว ดังนั้นอาจลองเปลี่ยนเป็นการพูดถึงความพยายาม หรือสิ่งที่พวกเขาควบคุมได้แทน เช่น “เก่งมากที่เตรียมตัวมาดีขนาดนี้” หรือ “ใจดีจังที่แบ่งขนมให้น้องด้วย”
คำชมที่เหมารวม: ไม่แปลกถ้าหากคนฟังจะไม่ได้รู้สึกดีด้วย ถ้าคำชมเป็นการเหมารวมจากอคติส่วนตัวของคนพูด เช่น “เป็นผู้หญิงแต่ขับรถเก่งเหมือนกันนะเนี่ย” หรือ “อายุเท่านี้เก่งกว่ารุ่นเดียวกันเยอะ” หรือ “เป็นคนเอเชียแต่พูดภาษาอังกฤษเก่งจัง” มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Group Processes & Intergroup Relations ปี 2006 พบว่าแม้จะเป็นคำพูดเชิงบวกก็ตาม แต่หากเป็นความเห็นโยงไปถึงกลุ่มสังคมของตัวเอง (เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติ) ก็มีแนวโน้มว่าผู้ฟังรู้สึกโกรธมากกว่าเมื่อเทียบกับการพูดถึงแบบรายบุคคล ซึ่งก็ชัดแล้วว่าถ้าอยากชมใครสักคน การชมที่ตัวคนนั้นเลย โดยไม่เปรียบเทียบใครเป็นการชมที่ดีที่สุด
การชมที่รูปลักษณ์ภายนอก: ไม่ใช่ทุกคนจะสบายใจกับคำชมที่พูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ การแต่งตัว จากงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Sexuality & Culture ปี 2022 เกี่ยวกับผลเสียของการชมรูปร่างผู้หญิงในที่ทำงาน พบว่าคำชมแบบนี้ดูดพลังงานของผู้หญิงได้มากเป็นพิเศษ เพราะยิ่งเป็นการย้ำให้พวกเธอต้องมีรูปร่างหรือบทบาทแบบผู้หญิงตามขนบ แม้อาจดูเหมือนไม่มีพิษไม่มีภัย เช่น “ผอมจัง” “ขาเรียวมาก” หรือ “ผิวขาวมีออร่า” แต่ก็ยิ่งทำให้ฟังรู้สึกกดดัน รวมถึงผู้หญิงคนอื่นๆ ต้องพยายามทำให้ถึงมาตรฐานเหล่านี้ จนไม่มีสมาธิไปคิดเรื่องอื่นๆ
อย่างไรก็ตามการชมทั้ง 3 ประเภทที่เรายกตัวอย่างมา บางครั้งก็เกิดจากความเคยชินของคนพูด ไม่ได้เกิดจากเจตนาที่ไม่ดีเสมอไป แต่ก็มีคำชมอีกหนึ่งประเภทที่มีเจตนาร้ายกับคนฟังอย่างชัดเจน นั่นคือ backhanded compliment หรือการชมที่แอบแฝงไปด้วยการแซะแบบเนียนๆ
อย่าคิดว่ามีแค่ในละครนะคะคุณพี่ แต่ชีวิตจริงเราอาจเจอคนแบบนี้อยู่จริงๆ คนที่ชมให้เราดีใจได้แค่ 5 วิ หลังจากนั้นค่อยมาคิดกับตัวเองได้ว่า “นี่หลอกด่ากันใช่ปะ” เช่น “เธอสวยนะ ถ้าไม่ผมหยิกอะ” หรือ “โอ้โห ไม่คิดมาก่อนเลยนะเนี่ยว่าเธอจะรู้เรื่องนี้กับเขาด้วย” โดยการชม (?) ประเภทนี้จะมีคำตำหนิติเตียนแฝงมาเพื่อให้คนฟังรู้สึกไม่มั่นใจหรือตั้งใจล้อเลียนให้เสียเซลฟ์
นิโคล มัวร์ (Nicole Moore) ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์อธิบายเพิ่มว่าคนพูดมักทำไปเพราะรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า จึงอยากกดคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าคำชมที่มาจากตัวเองไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี หรือบูสต์ๆ เอเนอจี้ให้ใครได้ บางครั้งก็อาจต้องลองทบทวนดูว่าเรากำลังมีเจตนาไม่ดีแฝงไปกับคำพูดอีกหรือเปล่า เพราะบางทีคำพูดเราอาจทำร้ายใครโดยไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้
แล้วจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังชมแบบจริงใจดีละ? มีคำแนะนำจาก PSYCHOLOGS MAGAZINE สื่อด้านสุขภาพจากอินเดีย แนะนำไว้ดังนี้
- เข้าใจมุมมองของคนรับ: อันดับแรกเราอาจต้องลองมองในมุมของคนรับให้มากขึ้นอีกหน่อย คำพูดของเราทำให้เขาไม่สบายใจหรืออึดอัดหรือเปล่า ลองคิดว่าถ้าเราเป็นคนได้รับคำชมนั้นจะรู้สึกยังไง เรื่องที่เราพูดเป็นเรื่องที่เขาไม่มั่นใจ หรือเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปไหม เช่น ฐานะ รูปร่าง ความสัมพันธ์ แม้จะเป็นคำชมก็ตาม บางทีการเลี่ยงไม่พูดเรื่องเหล่านี้ แล้วเคารพพื้นฐานของอีกฝ่ายมากขึ้นก็อาจจะดีกว่าพูดออกไป
- จริงใจ: ความจริงใจเป็นสิ่งที่คนฟังสัมผัสได้ คนฟังมักดูออกว่าใครจริงใจ หรือใครเสแสร้ง พยายามพูดเรื่องที่เรารู้สึกชื่นชมเขาจริงๆ เช่น วิธีการทำงาน ทัศนคติ หรือความพยายาม ซึ่งการพูดในสิ่งที่เชื่อจะทำให้โทนเสียงและภาษากายเราเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- ใส่ใจและเจาะจง: ผู้คนมักจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีคนใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ลองชมเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เราสังเกตเห็นได้ เช่น “วันนั้นคุณมีน้ำใจมากที่ช่วยลงไปหยิบข้าวกล่องให้” หรือ “ชอบเชิ้ตตัวนี้นะ เธอใส่แล้วดูดีมาก” แค่นี้ก็ทำให้เป็นวันดีสำหรับคนฟังได้แล้ว
แต่ถ้ารู้สึกว่าการชมใครสักคนเป็นเรื่องยากหรือไม่ถนัดเอาซะเลย บางทีไม่พูดเลย แล้วชวนคุยเรื่องที่สนใจคล้ายกันก็อาจเป็นวิธีที่ดีกว่า เพื่อให้เราและเขาสนิทกันมากขึ้นก็ได้นะ
อ้างอิงจาก