“ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก”
คำชมจากผู้อื่นนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความรู้สึกแง่บวกกับเรา ความรู้สึกแง่บวกก็น่าจะนำไปสู่การแสดงออกแง่บวกกลับไปหาคำชมนั้นๆ แต่บ่อยครั้งสิ่งที่เราพูดตอบออกไปกลับเป็นอะไรที่ค่อนข้างลบ ราวกับเราไม่เชื่อว่าตัวเองเหมาะควรกับคำชมเหล่านั้นไปเสียอย่างนั้น “ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก” “บ้า เราห่วยจะตาย” “ฟลุกทั้งนั้นแหละ” ฯลฯ ทำไมเราใจร้ายกับตัวเองจัง?
บ่อยครั้งที่ความใจร้ายต่อตัวเองของเราก็ไปไกลยิ่งกว่าการพูดปัดๆ เพื่อตอบคำยกย่องจากผู้อื่น บางครั้งความคิดรูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อเรามองไปยังสิ่งที่เราทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เกิดขึ้นเมื่อเราต้องคุยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวเอง เกิดขึ้นเมื่อเรามองไปยังอนาคตของเรา หรือบางครั้งก็เกิดขึ้นแม้แต่ตอนที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตน่าสงสัย เราเป็นคนที่อยู่กับตัวเราตลอดเวลา แต่เสียงในหัวของเรากลับเป็นรูมเมทที่หยาบคายเสียจริงๆ
การแสดงความใจร้ายต่อตัวเองของเรามีหลากหลายรูปแบบ เราอาจจะแสดงออกมาตรงๆ เมื่อได้ระบายสิ่งที่อยู่ภายในของเราให้ใครฟัง เราอาจชิงพูดมันก่อนด้วยโทนติดตลกให้มันดูไม่เศร้ามาก และในปีปัจจุบันที่มีโซเชียลมีเดียแล้ว เราอาจแสดงมันออกมาผ่านการแบ่งปันมีมตลกร้ายเกี่ยวกับความน่าหดหู่ของความเป็นเรา ทั้งยังอาจทวีคูณจากการกดตัวเอง ไปสู่การก่นด่าตัวเองเลยก็ได้ แต่จากสายตาคนนอก พวกเขาอาจคิดในใจว่า “ไอ้นี่มันพูดจริงหรือพูดเล่น?” ซึ่งถ้าจะเอาคำตอบละก็ บางทีเรายังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ
มุกตลกล้อเลียนตัวเองรูปแบบนี้เรียกว่า Self-Deprecating Humor หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ‘การเล่นตัวเอง’ มนุษย์ใช้มุกตลกลักษณะนี้มาอย่างยาวนานด้วยจุดประสงค์ต่างๆ ทั้งเพื่อสร้างอารมณ์ขันในสถานการณ์ที่ฉิบหาย เพื่อหาแสงสว่างเล็กๆ ในความมืด กระทั่งเพื่อการรักษาแผลบางอย่างที่เจ็บเกินกว่าจะมองมันอย่างตรงไปตรงมา แต่ว่าเราจะหายจากแผลผ่านการขยี้มันได้จริงๆ หรือเปล่า? ถ้าใจเราเจ็บ การจี้ใจดำของเรามันจะคลายความเจ็บปวดนั้นแน่หรือไม่? ไปลองดูมิติของการเล่นตัวเองกัน
ขยี้แผลแล้วจะหายเจ็บจริงหรือเปล่า? เวลาเราเล่นตัวเอง ส่วนมากเรามักไม่ได้ต้องการจะทำร้ายตัวเอง แต่มันคือการที่เราต้องการหาอะไรสักอย่างมาบรรเทาความเจ็บปวดข้างใน และเราแต่ละคนต่างบรรเทาความทุกข์แตกต่างกัน หนึ่งในงานวิจัยที่พูดถึงการใช้มุกตลกมาเล่นตัวเอง เพื่อทำให้อารมณ์ของเราเป็นบวกมากขึ้นคือ Is the use of humor associated with anger management? The assessment of individual differences in humor styles in Spain โดยฆอร์เฆ มาริน (Jorge Marín) นักวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยกรานาดา
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวศึกษาวิธีการที่มนุษย์ใช้อารมณ์ขันจัดการกับความโกรธของเรา ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้มุกตลกเล่นตัวเองที่น่าสนใจคือ แม้ว่ามันจะเป็นอารมณ์ขันที่เราแต่ละคนอาจมองเป็นแง่ลบ แต่มันก็มีข้อดีของมันอยู่ในระดับหนึ่ง โดยงานวิจัยพบว่าคนที่เล่นตัวเองเป็น มีลักษณะสุขภาวทางจิตดี เข้าสังคมได้ และมีความทนทานทางอารมณ์สูง อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยยังได้ระบุอีกว่า นี่อาจเป็นเพียงคนที่เล่นตัวเองในระดับที่ไม่เป็นภัย
อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของงานวิจัยชิ้นนี้ คือประเด็นของการจัดการอารมณ์โกรธ ซึ่งวาดภาพความแตกต่างในวิธีการที่มุกตลกแต่ละแบบกระทบกับใจเราอย่างชัดเจน นั่นคือในขณะที่มุกตลกแง่บวกนั้นจะเชื่อมโยงกับการลดลงของอารมณ์โกรธ และการหลีกเลี่ยงการแสดงออกด้วยความโมโห แต่มุกตลกแง่ลบ เช่น การประชดประชัน หรือการล้อเลียนตัวเอง มักเชื่อมโยงกับการแสดงความโกรธใส่ผู้อื่น รวมถึงการกระทำที่กดทับและการปรามความโกรธ หากจะเปรียบเทียบอาจเรียกได้ว่า การใช้มุกตลกในแง่บวกถือเป็นการรักษาแผลให้หาย ทว่าการใช้มุกตลกในแง่ลบจะคล้ายกับการพยายามปิดแผลนั้นๆ ไม่ให้ใครเห็นมากกว่า
อย่างไรก็ตาม มนุษย์มีความซับซ้อนหลากหลาย และนั่นอาจเป็นวิธีการเยียวยาบาดแผลบางอย่างที่เราใช้ได้ผลที่สุดก็ได้ มากไปกว่านั้นเวลาเราเล่นตัวเอง ก็ไม่ได้แปลว่าเราทำไปเพื่อรักษาแผลอะไรเสียอย่างเดียว
แต่ละพฤติกรรมของมนุษย์มีมิติที่หลากหลาย การกินอาหารเป็นทั้งเรื่องของการเอาชีวิตรอดและสุนทรียภาพ การทำงานเป็นทั้งการเติมเต็มความต้องการและการหาเลี้ยงชีพ การผูกมิตรมีทั้งคุณค่าหลากหลายทาง เช่นเดียวกันกับการเล่นมุกล้อเลียนตัวเองของเรานั้น ไม่อาจตีความตามเนื้อผ้าได้ว่ามันคือการแสดงออกถึงความเกลียดชังตัวเองเท่านั้น แต่มันยังทำได้หลายหน้าที่ และทำหลายหน้าที่พร้อมๆ กันได้
งานวิจัยชิ้นสำคัญเกี่ยวกับมุกล้อเลียนตัวเองชื่อว่า Reconsidering self-deprecation as a communication practice โดยซูซาน สเปียร์ (Susan Speer) จากสาขาจิตวิทยาและสุขภาพจิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เขาได้รวบรวมบทความและการศึกษาก่อนหน้าเกี่ยวกับประเด็นมุกล้อเลียนตัวเอง เพื่อวิพากษ์วิจารณ์และต่อยอดงานวิจัยเหล่านั้น ซึ่งส่วนที่เราจะหยิบขึ้นมาในหัวข้อนี้คือ ส่วนพื้นหลังการทดลอง ที่รวมมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมุกล้อเลียนตัวเองในหลายๆ แง่มุม เช่น
- การล้อเลียนตัวเองในอดีต เพื่อเสริมตัวตนของเราในปัจจุบัน
- คนที่มีสถานะทางสังคมสูงอาจล้อเลียนตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองดูเข้าถึงได้มากขึ้น
- การเล่นตัวเองอาจแสดงออกถึงความถ่อมตน
- การดูถูกตัวเองเพื่อต้องการให้ผู้อื่นแก้ปัญหาให้
ดูเหมือนว่าหลายๆ ครั้งที่เราเล่นตัวเอง เราไม่ได้เชื่อว่าเราต่ำต้อยเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เราอาจใช้มันเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายบางประการ ทั้งการเรียกร้องหาความช่วยเหลือ การเข้าสังคมที่อยู่นอกสถานะทางสังคมของเรา หรือการสร้างภาพจำบางอย่างให้แก่คนที่เราสื่อสารอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยยังเขียนเอาไว้ว่าวิธีการเช่นนี้ไม่ได้ใช้ได้สำหรับทุกคน และการเล่นตัวเองก็อาจนำไปสู่ความอึดอัดใจของผู้ฟังได้ เนื่องจากไม่ว่าผู้พูดจะต้องการหรือไม่ แต่สิ่งที่ผู้ฟังรู้สึกว่าต้องทำคือ ‘ปฏิเสธ’ การเล่นตัวเองนั้นๆ แล้วหาอะไรมาชมอีกฝ่าย ซึ่งอาจส่งผลกระทบแง่ลบต่อความสัมพันธ์ได้
เมื่อดำเนินมาถึงข้อเสนอหลักของงานวิจัยชิ้นดังกล่าว สเปียร์สังเกตเห็นว่าในการศึกษาที่ผ่านมา การล้อเลียนตัวเองมีมิติมากกว่าที่จะสามารถใช้ร่มใหญ่เดียวครอบได้ทั้งหมด เธอจึงใช้งานวิจัยชิ้นนี้เสนอว่า การศึกษาหลังจากนี้ควรแยกระหว่างการล้อเลียนตัวเอง (Self-Deprecation ━ SD) กับการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองผ่านการล้อเลียนตัวเอง (Self-Deprecatory Meta-Comments ━ SDMCs)
สเปียร์เล่าว่า การแยกย่อย SDMCs ออกมาจาก SD นั้นใช้การวิเคราะห์ผ่านบทสนทนา ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวคือการเสริมคำสั้นๆ ไปในประโยคที่ผู้พูดมองว่าอาจถูกตีความเป็นแง่ลบได้ เช่น
- ฉันพูดไปแบบดูไม่ยุติธรรมเลย
- ฉันเผลอเหยียดไป
- จะฟังดูไม่ดีแน่ๆ เลย แต่…
- ต้องฟังดูโอ้อวดแน่ๆ ไม่ได้ตั้งใจนะ ขอโทษที
- ต้องดูเอาแต่ใจสุดๆ แน่
- ดูสิเผลอพูดไปเรื่อยอีกแล้ว
ผลปรากฏว่า SDMCs ไม่นำมาซึ่งความอึดอัดแบบเดียวกันกับที่ SD ทำให้ผู้ฟังรู้สึก กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากรู้สึกปกติกับการเล่นตัวเองในลักษณะที่เราวิจารณ์ตัวเองไปด้วย ทั้งนี้ผู้ฟังยังมีโอกาสเข้าใจความผิดพลาดและตัวตนของผู้พูดมากขึ้น และงดการตำหนิเอาไว้ มากไปกว่านั้นผู้พูดเองก็มักชอบที่ตัวเองเป็นคนตำหนิและวิจารณ์สิ่งที่ตัวเองพูด มากกว่าได้รับการวิจารณ์จากผู้อื่น เช่นนั้นการเล่นตัวเองในระดับนี้ จึงสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่มีประโยชน์ได้
การเล่นตัวเองมีมิติ และไม่มีทางเลือกไหนที่จะเรียกได้ว่ามันผิด ซึ่งล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพราะการเล่นตัวเองในบางรูปแบบก็มีประโยชน์มากกว่าอีกรูปแบบหนึ่ง การคุยกับตัวเองเพื่อเข้าใจว่าเรากำลังทำในรูปแบบไหนอยู่ อาจช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังพูดอยู่มากขึ้น
และการรู้อยู่ว่าเราจะพูดอะไร อาจเป็นการอนุญาตให้เราสาวไปถึงสิ่งที่เรารู้สึกอยู่ข้างในจริงๆ ก็ได้
อ้างอิงจาก