“ออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ดีสุดๆ ใครๆ ก็ทำกัน”
“หนังเรื่องนี้สนุกมาก ใครๆ ก็รู้”
ถ้าเป็นเรื่องกฎธรรมชาติ อย่าง พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก หรือน้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ เราก็น่าจะคาดหวังให้คนอื่นรู้เหมือนกันได้ แต่พอเป็นเรื่องซับซ้อนขึ้น มีความเห็นจากหลายมุมมอง อย่างการใช้ชีวิตที่พูดคุยในชีวิตประจำวัน หรือประเด็นใหญ่ๆ ในสังคม จากเรื่องที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็น่าจะรู้ กลายเป็นว่าอีกฝ่ายเขาไม่ได้คิดแบบเราเลยสักนิด แถมเรื่องที่เราเคยคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ กลับเป็นเรื่องเล็กจ้อยสำหรับอีกฝ่าย
อะไรที่ทำให้เราที่อยู่ในสังคมเดียวกัน พื้นที่ไม่ห่างไกลกันมากนักถึงมองโลกต่างกันขนาดนี้นะ แล้วที่มาของความเชื่อว่าทุกคนต้องรู้เหมือนเรามาจากไหน ทำไมเราจึงไม่ควรคาดหวังให้คนอื่นเห็นเหมือนเรา แล้วจะรับมือกับความเห็นของคนอื่นที่ไม่เหมือนกับเรายังไงได้บ้าง?

เหตุผลที่เราเชื่อว่าคนอื่นก็คิดเหมือนกัน
สมองมีการทำงานซับซ้อน บางทีก็ไม่ได้ตีความตามตรรกะแบบตรงไปตรงมาเสมอไป แต่มนุษย์เรายังเต็มไปด้วย bias หรืออคติซึ่งคอยบิดเบือนความคิด ความเชื่อ และการตัดสินใจของเราในแต่ละวัน โดยหนึ่งในอคติที่ทำให้เราเข้าใจว่าคนอื่นต้องมีความคิด ความสนใจ ความเชื่อ หรือพฤติกรรมเหมือนกับเรา เรียกว่า ‘False consensus effect’ หรือผลกระทบที่เกิดข้อสรุปที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเรามักคิดว่าคนส่วนใหญ่คิดเหมือนกันกับเรา
ที่มาของอคติจากข้อสรุปที่ไม่เป็นความจริง หรือ false consensus effect ถูกตั้งชื่อและอธิบายเป็นครั้งแรกในช่วงปลายทศวรรษปี 1970 โดยนักวิจัยด้านจิตวิทยา ลี รอสส์ (Lee Ross) และคณะ โดยให้ผู้เข้าร่วมอ่านข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้ง และวิธีจัดการต่อความขัดแย้งสองวิธีที่แตกต่างกัน จากนั้น ผู้เข้าร่วมจะถูกขอให้ตัดสินใจว่าจะเลือกตัวเลือกใดจากสองตัวเลือกนี้ และลองเดาดูว่าคนอื่นน่าจะเลือกตัวเลือกไหน รวมทั้งให้เขียนอธิบายถึงคนที่เลือกตัวเลือกอื่นที่ต่างไปจากของตัวเอง
ผลสรุปพบว่าไม่ว่าผู้เข้าร่วมจะเลือกตัวเลือกไหน พวกเขาก็มักจะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกตัวเลือกแบบตัวเอง นอกจากนี้ยังพบว่าผู้เข้าร่วมมักให้เหตุผลถึงคนที่เลือกตัวเลือกอื่นแบบรุนแรงด้วย
อคติที่บิดเบือนนี้มักทำให้เราเชื่อว่าความคิดของตัวเองถูกยอมรับอย่างกว้างขวางเกินความเป็นจริง ทั้งที่จริงแล้วอาจเป็นเพียงความคิดของกลุ่มเล็กๆ ที่เราอยู่ เช่น เราอาจเข้าใจว่าศิลปินที่ชื่นชอบ ติดตามมาหลายปี ผลงานก็ไม่น้อย น่าจะเป็นที่รู้จักในกลุ่มเพื่อนร่วมงานหรือคนแถวบ้านแน่ๆ แต่พอได้คุยด้วยจริงๆ กลับไม่รู้จักซะงั้น แถมยังบอกให้เจ็บใจเล่นๆ ด้วยว่าเพิ่งเคยได้ยินชื่อเป็นครั้งแรกนี่แหละ

ถ้าเกิดเราเข้าใจผิดไปเองแล้วจบก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ของสมองเรา แต่หากพกความมั่นใจไปเต็มหลอด แล้วพบว่า อ้าว เขาไม่ได้คิดแบบเดียวกับเรานี่นา เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องเถียงกลับไปให้รู้กันไปเลยว่าเราถูก ก็ใครๆ ก็คิดแบบนี้ทั้งนั้น (ทั้งที่จริงอาจไม่ใช่ก็ได้) จากเรื่องเล็กๆ ก็อาจไปสู่ความขัดแย้งได้ นอกจากนี้หากเป็นเรื่องที่ต้องตัดสิน แล้วคิดไปว่าใครๆ ก็ต้องการแบบนี้โดยไม่ถามก่อน สุดท้ายก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด
แล้วอะไรที่ทำให้อคติประเภทนี้ยังคงอยู่นะ? สิ่งที่ทำให้อคติจากข้อสรุปที่ไม่จริงแข็งแรงขึ้น คือการรับข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อของเราซ้ำๆ โดยไม่เห็นมุมมองด้านอื่น มีตัวอย่างจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cyberpsychology: Journal of Psychosocial Research on Cyberspace ปี 2021 พบว่าการอ่านบทความข่าวหรือข้อความที่สอดคล้องกับความเชื่อของตัวเอง อาจทำให้เกิด false consensus effect ที่รุนแรงกว่าการรับชมฟีดข่าวออนไลน์ เนื่องจากการอ่านบทความข่าวอย่างเดียวมักไม่ได้เห็นมุมมองอื่น ในขณะที่ฟีดข่าวออนไลน์จะได้เห็นความคิดเห็นที่หลากหลายมากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นทุกวันนี้เราอาจไม่ได้เห็นความคิดที่หลากหลายจากโลกออนไลน์เสมอไป เพราะการทำงานของอัลกอริทึมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มักเลือกเนื้อหาที่เราชื่อชอบขึ้นมาให้เราเห็นบ่อยๆ เพื่อดึงความสนใจให้เราใช้เวลาอยู่กับแอปพลิเคชั่นได้นานขึ้น สิ่งนี้ยิ่งทำให้เราพบความเห็นอื่น ความสนใจอื่น หรือข้อมูลอื่นได้น้อยลง ในขณะเดียวกันเรากลับยิ่งเจอข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อซ้ำๆ มากขึ้น จนอาจเชื่อไปว่านี่เป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ไปด้วย
นอกจากนี้ในงานวิจัยชิ้นเดิมยังบอกว่า ยิ่งคนที่เชื่อว่าคนอื่นมีความเห็นแบบเดียวกับตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงความเห็นแบบสุดโต่งออกมามากเท่านั้น จนอาจทำให้ความเห็นอื่นๆ ถูกดันให้หายไปจากหน้าฟีด จนกลายเป็นว่าทุกวันนี้แม้เราจะเหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลข้อมูลขนาดใหญ่ แต่ก็อาจพบว่าแทบไม่มีสิ่งที่เราไม่ชอบใจหลุดรอดเข้ามาได้เลย

แม้อคติจากข้อสรุปที่ไม่เป็นจริงอาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ผลที่ตามมา หากเราเชื่อว่าข้อสรุปนั้นเป็นความจริง (ทั้งที่จริงไม่ใช่) ก็อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์และสุขภาพจิต ที่ต้องใช้ไปกับการถกเถียงกับคนอื่นๆ ได้ วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบจาก false consensus จาก The Decision Lab ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ก็ได้ให้คำแนะนำไว้ดังนี้
ปรับการรับข้อมูลข่าวสาร: วิธีนี้เราอาจลองปรับอัลกอริทึมให้หลากหลายมากขึ้น เช่นหากชอบติดตามเรื่องอะไร แทนที่จะติดตามข่าวจากอินฟลูคนนั้นคนเดียว เพจข่าวเพจเดียว ก็อาจลองหาคนที่พูดเรื่องคล้ายๆ ไปด้วย เช่น หากชอบเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็อาจกดติดตามคนที่พูดเรื่องสิ่งแวดล้อมแบบชิลล์ๆ นำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันก็ติดตามคนที่พูดเรื่องนี้แบบจริงจังถึงระดับโครงสร้างไปด้วย รวมทั้งแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถืออื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้าน
นักวิจัยจาก IISER Pune หรือสถาบันการศึกษาวิทยาศาสตร์และการวิจัยแห่งอินเดีย อธิบายว่า วิธีนี้ไม่ได้บังคับให้ผู้คนเห็นข้อมูลที่ไม่อยากเห็น แต่กระตุ้นให้ค่อยๆ เปิดรับข้อมูลที่ต่างออกไป เพราะการได้รับข้อมูลจากแหล่งที่หลากหลายมากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความคิดของพวกเขาจะแบ่งขั้วน้อยลง
เรียนรู้ในการฟังความเห็นอื่นๆ: กลับมาที่ตัวเราซึ่งเป็นผู้รับข้อมูล อาจจะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลทุกครั้งว่าเชื่อถือได้หรือไม่ รวมถึงถ้าต้องมีการแลกเปลี่ยนความเห็นก็อาจจะต้องโฟกัสไปที่ข้อเท็จจริง ไม่ใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไป ไม่คาดเดาไปเองว่าเพราะเขาเป็นแบบนี้เลยคิดแบบนี้ รวมถึงต้องเรียนรู้ว่าบางครั้งเราอาจคิดผิดก็ได้ แล้วไม่เป็นไรเลยถ้าจะเปลี่ยนความคิดตัวเอง เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เข้าใจเรื่องราวอีกด้านมากขึ้นจากการพูดคุยครั้งนี้
ในโลกที่เราถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูลที่ตรงกับความสนใจ อย่าลืมเผื่อพื้นที่ให้กับมุมมองที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน เพราะบางทีอาจทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นก็ได้
อ้างอิงจาก