ปัจจุบันการมีแฟนเป็นเรื่องน่าอาย จริงหรือ?
เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา British Vogue เผยแพร่บทความ ‘Is Having a Boyfriend Embarrassing Now?’ ซึ่งได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์พอสมควร โดยตัวเนื้อหาพูดถึงมุมมองต่อการมีคู่ที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เราจะอวดใครต่อใครว่ามีแฟนอย่างภาคภูมิใจ ทว่าปัจจุบันมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มไม่อยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมีแฟน หากจะโพสต์ถึงก็ใช้วิธีบอกใบ้ทางอ้อมมากกว่าจะประกาศโต้งๆ
ทั้งนี้ในบทความก็ได้อธิบายถึงสาเหตุเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ ว่าบางคนก็กลัวจะต้องมาเสียเวลาลบรูปหลังเลิกกัน บางคนก็มองว่าความโสดเป็นสถานะที่ดูมีพลังมากกว่ามีแฟนไปแล้ว รวมถึงการติดแฟนมากเกินไปกลายเป็นสิ่งที่เชยไปแล้วในปัจจุบัน
จากบทความของ British Vogue ทำให้เราเห็นว่าผู้คนในปัจจุบันกำลังให้ความสำคัญหรือคุณค่าต่อการมีคู่ครองแบบใด เช่นเดียวกับที่ในอดีตผู้คนเองก็ไม่ได้มองด้วยกรอบเดียวกันกับผู้คนยุคนี้ หากแต่มีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาตามกาลเวลาและบริบทของสังคม
The MATTER จึงอยากพาทุกคนไปย้อนเวลา สำรวจถึงนิยามความหมายของการมีคู่ของผู้คนในอดีตกันว่า พวกเขาให้คุณค่ากับสิ่งใดเป็นสำคัญในเรื่องของการมีคู่ แล้วมันสะท้อนบริบททางสังคมและความคิดในประวัติศาสตร์ยุคสมัยนั้นๆ อย่างไรบ้าง
เมื่อการมีคู่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างคนสองคน
สมัยนี้การจะคบหาดูใจกับใครสักคน ขอเพียงต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน ก็เพียงพอสำหรับการจับมือควงแขนออกเดต รอลั่นระฆังวิวาห์ได้แล้ว
กลับกันในอดีตการมีคู่หรือการแต่งงานกับใครสักคนอาจไม่ได้มีอิสระเท่าปัจจุบัน เพราะเรื่องรักใครไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่คนสองคนเท่านั้น ไมค์ โทธ (Mike Toth) นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านอารยธรรมกรีกและโรมัน ได้ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมการแต่งงานของสตรีในยุคกรีก พบว่า การแต่งงานเป็นข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างฝ่ายผู้ชายกับบิดาฝ่ายผู้หญิง ผู้หญิงในสังคมกรีกจึงไม่มีสิทธิที่จะเลือกแต่งหรือไม่แต่งกับใครได้ แต่พวกเธอต้องดำเนินตามข้อตกลงที่เหล่าผู้ชายตกลงเอาไว้

การมีคู่ครองหรือแต่งงานในยุคกรีกโบราณจึงมีหน้าที่ทางสังคมมากกว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้หญิงในสังคมกรีกจึงมีหน้าที่ทางสังคมคือ แต่งงานกับผู้ชายสักคน เพื่อสืบพันธุ์ และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ซึ่งถือเป็นสิ่งที่รัฐให้ความสำคัญและเข้ามาแทรกแซงสอดส่องให้ผู้หญิงทุกคนมีคู่และออกเรือนไปกับผู้ชายที่เหมาะสม
แม้แต่ในยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคที่ศาสนจักรมีบทบาทและอิทธิพลเหนือทุกสิ่งในดินแดนยุโรป รวมถึงมุมมองความคิดมีต่อเรื่องการมีคู่ครองด้วยเช่นกัน หากใครสักคนจะแต่งงานกันได้ ส่วนใหญ่แล้วมักไม่เกิดขึ้นจากความรัก เพราะในยุคที่สงครามและการสู้รบเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน การแต่งงานจึงถือเป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างครอบครัว ตลอดจนสร้างความผูกผันในหมู่คนในสังคมขึ้น
แนวคิดดังกล่าว แทรกซึมไปสู่ผู้คนทุกชนชั้น เพราะการส่งตัวลูกสาวหรือลูกชายให้เข้าพิธีวิวาห์กับใครสักคนได้นั้น สามารถนำความมั่นคั่งและที่ดิน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนสมัยนั้นให้คุณค่า มาสู่ครอบครัวได้ แถมสมัยนั้นฝ่ายหญิงต้องเป็นผู้มอบสินสอดให้ฝ่ายชาย ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่จึงมักมองหาการแต่งงานที่เอื้อประโยชน์แก่ตนเองและลูก ยิ่งบ้านไหนมีลูกสาวที่พร้อมจะออกเรือน พวกเธอก็จะกลายเป็นสินค้าล้ำค่าที่ผู้คนต่างให้ความสนใจ
คุณค่าของการมีคู่ครองของผู้คนในโลกยุคโบราณเรื่อยมาจนถึงยุคกลางจึงผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ทางการเมือง ธุรกิจ และสังคม มากกว่าจะเป็นเรื่องของความรักหรือความผูกพันระหว่างคนสองคน ซึ่งแนวคิดในลักษณะนี้ได้เปลี่ยนแปลงให้ผู้หญิงกลายเป็นสินค้าที่ถูกส่งต่อไปมาระหว่างมือของผู้ชาย
เมื่อการมีคู่ไม่ใช่เรื่องของใคร แต่เป็นเรื่องของตัวเราเอง
ราวๆ ปลายศตวรรษที่ 17 ในยุคที่สังคมเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านแนวคิด หรือที่หลายคนเรียกว่ายุคตื่นรู้ทางปัญญา (Age of Enlightenment) ผู้คนในสังคมจำนวนไม่น้อยเริ่มยึดเอาหลักคิดบางประการมาเป็นสารัตถะในการดำเนินชีวิต แนวคิดทางปรัชญาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาเริ่มแพร่ขยายอิทธิพลไปด้านต่างๆ รวมถึงการเลือกคู่ครองด้วยเช่นเดียวกัน
สเตฟานี คูนซ์ (Stephanie Coontz) นักประวัติศาสตร์ผู้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การแต่งงาน ได้อธิบายภาพของการมีคู่ของผู้คนในช่วงหลังยุคตื่นรู้ทางปัญญา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป หรือที่เรียกว่ายุคโรแมนติก เอาไว้ว่า สังคมในสมัยนี้เริ่มสนับสนุนให้หนุ่มสาวเลือกคู่ครองโดยพิจารณาจากความผูกพันทางอารมณ์และความรัก มากกว่าจะมองที่ผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างจะได้รับ
กระแสทางความคิดนี้ นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคม จากเดิมที่ผู้คนให้คุณค่าและความสำคัญกับส่วนรวม การแต่งงานจะต้องเป็นเรื่องระหว่างครอบครัว ผู้คนเริ่มหันมาสนใจความรู้สึกส่วนตัวมากขึ้น ส่วนหนึ่งของมุมมองความคิดในลักษณะนี้ มีที่มาจากกระแสแนวคิดปัจเจกนิยม (Individualism) ที่เน้นให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจก มากกว่าความเป็นส่วนรวม ซึ่งได้กลายเป็นแนวคิดกระแสหลักของสังคมนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อความคิดของผู้คนในสังคมเปลี่ยน หลักปฏิบัติ ตลอดจนวัฒนธรรมบางอย่างของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เฉพาะอย่างยิ่งการเลือกคู่ครองของเหล่าหญิงชาย ผู้หญิงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกคู่ครอง ธรรมเนียมเกี่ยวกับการเกี้ยวพาราสีหลายอย่างก็เริ่มเกิดขึ้นมาในสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนจดหมายหรือบทกวีโต้ตอบระหว่างกัน การมีงานสังคมเพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวมาเจอกัน ฯลฯ
แม้การมีคู่ครองและแต่งงานเริ่มตั้งอยู่บนพื้นของความรักและความเป็นปัจเจก ดูเผินๆ แล้วทุกคนในสังคมจะมีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทว่าอีกด้านหนึ่ง แนวคิดลักษณะนี้กลับกลายเป็นสิ่งลดทอนคุณค่าความเป็นหญิงลง เพราะการแต่งงานเริ่มทำให้เป็นความสำเร็จสูงสุดของผู้หญิง สังคมเริ่มปลูกฝังว่าผู้หญิงคือช้างเท้าหลัง การเป็นภรรยาและแม่คือเป้าหมายที่ผู้หญิงพึงปราถานา ดังนั้น พวกเธอจึงมักถูกกีดกันจากกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ทำให้ไม่เหมาะแก่การแต่งงาน เช่น การเรียนในระดับสูงๆ การอ่านออกเขียนได้ หรือกระทั่งการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
จากแนวคิดดังกล่าว นำไปสู่การตีกรอบและจำกัดผู้หญิงไว้เพียงในบ้าน มีหน้าที่สำคัญเพียงการเป็นภรรยาและแม่บ้านที่ดี ผู้ชายมีหน้าที่หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ผู้หญิงก็คอยดูแลงานบ้านงานเรือน และเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม
ทั้งนี้ทั้งนั้น กระแสความคิดนี้ ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเริ่มหันมาให้คุณค่ากับความเป็นปัจเจกมากขึ้น แม้กระทั่งเรื่องการเลือกคู่ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเหมือนดาบสองคม ซึ่งค่อยๆ ผลักให้ผู้หญิงเข้าไปอยู่ในบ้าน และจำกัดบทบาทของพวกเธอให้อยู่ในพื้นที่ที่ถูกกำหนดไว้
ทัศนคติต่อเรื่องเพศสมัยใหม่กับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องการมีคู่
แม้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เรื่อยมาจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 ผู้คนจะมีอิสระในการเลือกคู่มากขึ้น แต่การมีคู่ก็ยังคงมีความเกี่ยวโยงกับการสืบสกุล เครื่องมือแสดงความสำเร็จ ตลอดจนการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้แนวคิดการมีคู่แบบสมัยเก่านี้สั่นสะเทือนได้มากที่สุด คือ ยุคแห่งการปฏิวัติทางเพศ (Sexual Revolution) หมายถึง ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ออกมาท้าทายจรรยาบรรณและขนบความคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแบบดั้งเดิม ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นไปทั่วโลกตะวันตกตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1950 ถึงต้นทศวรรษ 1970

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ตามมาภายหลังการปฏิวัติทางเพศ คือเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการมีคู่และการแต่งงานให้เป็นเพียงทางเลือก มากกว่าการทำตามความคาดหวังของสังคม ผู้คนไม่ต้องพยายามขวนขวายหาคู่ครอง เพื่อสร้างครอบครัว การเป็นโสดไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอีกต่อไป เราสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้อื่นได้ แม้จะไม่ได้แต่งงานกัน รวมถึงผู้ชายเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นช้างเท้าหน้าเสมอไป
นอกจากด้านแนวคิดในสังคมแล้ว ด้านวิทยาศาสตร์เองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนายาเม็ดคุมกำเนิดและการทำให้มันเป็นเรื่องถูกกฎหมายราวๆ ทศวรรษ 1960 ทำให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดที่ง่ายและปลอดภัย ผู้หญิงมีอิสระทางการตัดสินใจมากขึ้นตามไปด้วย การออกเดตหรือการมีคู่จึงไม่ได้มุ่งไปเป้าหมายเดียว อย่าง การแต่งงานและมีลูกอีกต่อไป หลายคนจึงสามารถมีความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องกังวล ว่าจะตั้งครรภ์และก้าวเข้าสู่พื้นที่ครอบครัวที่เคยถูกจำกัดเอาไว้ในช่วงยุคสมัยก่อนหน้า
เมื่อการแต่งงานและการมีครอบครัวไม่ใช่จุดสูงสุดของผู้คนในสังคม หลายคนก็เริ่มหันไปให้ความสำคัญและให้คุณค่ากับสิ่งอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การสร้างความมั่นคงทางการเงิน หรือแม้แต่การสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
จากอดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มุมมองต่อการมีคู่ของผู้คนมีความเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละยุคสมัย ขึ้นอยู่กับว่าบริบททางสังคมในช่วงเวลานั้นกำลังให้คุณค่าหรือความสำคัญต่อสิ่งใด การมีคู่จึงอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักของผู้คนอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้เรายังมีอีกหลายสิ่งที่พร้อมนำมาเป็นเป้าหมายสูงสุดในการดำรงชีวิต
แล้วทุกคนยังมองว่าการมีคู่เป็นหนึ่งในความสำเร็จในชีวิตของตัวเองอยู่ไหม?
อ้างอิงจาก