ขณะที่เรากำลังพักผ่อนอยู่ในห้องตามลำพัง มองถัดจากผ้าม่านและหน้าต่างออกไปด้านนอกเริ่มมีลมพัดแรง ต้นไม้พริ้วไหวไปตามแรงลม ฝนเริ่มเทลงมาสร้างบรรยากาศเพลินๆ แต่ก็ต้องตกใจผวา เมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงดังกุกกักเหมือนใครเคาะหน้าต่างอยู่ ด้วยความกล้าที่ติดลบ เราจึงเลือกหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าเดินไปเปิดม่านออกดูว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่เสียงเป็นวัตถุดิบอย่างดีในการปรุงความหลอนให้ก่อตัวขึ้นในใจ เฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรากำลังเพลิดเพลินหรือจดจ่อกับอะไรบางอย่าง แต่ก็ดันเกิดเสียงดังกระทันหันจนทำเอาใจหล่นไปเกือบถึงตาตุ่ม
แม้ไม่เห็นกับตา ไม่ได้สัมผัสกับตัว แต่เรากลับรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น เหตุใดเสียงที่เดินทางเข้ามาหาเราผ่านทางหู จึงสามารถสร้างความกลัวให้แก่เราได้กัน
วิทยาศาสตร์กับเรื่องของเสียง
หลายครั้งเวลาได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เช่น เสียงของตกหรือของกระทบกัน เราก็มักรู้สึกตกใจและกลัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ในหัวก็เริ่มจินตนาการไปไกลลิบ เหมือนเวลาเสียงกุกกักที่ดังมาจากนอกหน้าต่าง ก่อนจะเปิดม่านดูต้นตอของเสียง เราก็มักคิดไปถึงไหนต่อไหน ทั้งที่จริงๆ แล้วเสียงนั่นอาจเป็นแค่กิ่งไม้ที่โดนลมพัดมาชนเฉยๆ ก็ได้
บางคนก็อาจนึกแย้งสงสัย แค่เสียงสามารถทำให้เรากลัวและคิดไปไกลได้ขนาดนั้นจริงหรือ?
คำตอบคือ เสียงสามารถทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกตกใจได้จริง เพราะสมองของเรามีวิวัฒนาการมาเพื่อรับรู้และประมวลผลเสียงได้ดีกว่าการมองเห็น โดยการได้ยินถือเป็นกลไกการป้องกันตัวเองจากอันตรายแรกๆ ที่ร่างกายมนุษย์เราพัฒนาขึ้นมา ดังนั้น เมื่อหูของเราได้ยินเสียงแปลกๆ ร่างกายของเราก็จะตอบสนองเสียงนั้นทันที ซึ่งหลายครั้งสมองของเราก็อาจยังไม่ทันได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าที่มาของเสียงนั้นมาจากไหน แต่ก็ได้สั่งการร่างกายให้ตอบรับไปด้วยความกลัวก่อนแล้ว

ทั้งนี้ กลไกการป้องกันตัวและตอบสนองของมนุษย์ ยังสามารถเรียกอีกชื่อได้ว่า acoustic startle reflex (ASR) คือปฏิกิริยาการตอบสนองอัตโนมัติและฉับพลันของร่างกายต่อเสียงดังหรือเสียงกระตุ้นที่รุนแรงอย่างกะทันหัน โดยร่างกายของมนุษย์เราทุกคนจะมีการพัฒนาระบบกลไกนี้มาตลอดตั้งแต่ยังเป็นทารก ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอันตรายคืออะไร
เหตุผลที่สมองของเราต้องพัฒนากลไกลการป้องกันตัวเองจากการได้ยินนั้น ลองนึกย้อนกลับไปในยุคสมัยที่บรรพบุรุษของเรายังต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนท่ามกลางธรรมชาติ การจะข่มตาหลับท่ามกลางสัตว์ป่าดุร้ายที่รายล้อมอยู่รอบตัวถือเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก ร่างกายจึงจำเป็นต้องวิวัฒนาการระบบการเฝ้าระวังภัยผ่านการได้ยิน เพื่อให้สามารถตอบโต้ต่อเสียงคำรามของสัตว์หรือเสียงแปลกปลอมขณะพักผ่อนได้นั่นเอง
แต่ก็ใช่ว่าทุกเสียงจะสร้างความกลัวให้แก่มนุษย์เสียเมื่อไหร่ เพราะถ้าเป็นเสียงดนตรีในสวนสนุกหรือเสียงเพลงจากกล่องดนตรี เราก็อาจไม่ได้มองว่ามันเป็นอันตราย โจดี้ ซาซากิ มิราเลีย (Jodi Sasaki-Miraglia) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตวิทยา ชี้ให้เห็นว่า เสียงประเภทที่เรียกว่า ‘เสียงที่ไม่เป็นเชิงเส้น หรือ non-linear sounds’ จะกระตุ้นความกลัวของมนุษย์เราได้ดีกว่าเสียงลักษณะอื่น โดย non-linear sounds หมายถึง เสียงประเภทที่มีความผิดปกติ หรือออกนอกขอบเขตเสียงโดยทั่วไป ทั้งมีความรุนแรงเกินไป หรือเปลี่ยนระดับเสียงแบบคาดเดาไม่ได้ ซึ่งสามารถเป็นได้ตั้งแต่ เสียงเพลงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน เสียงที่ฟังดูไม่เป็นระเบียบ เสียงที่สะท้อนความขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น เสียงคำรามของสัตว์ เสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ หรือกระทั่งเสียงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายเสียดสีกันอย่างรุนแรง
เมื่อสมองของเรารับรู้เสียงเหล่านี้ ก็จะสั่งการให้ร่างกายตอบสนองต่อเสียงทันที ด้วยการหลั่งอะดรีนาลีนและคอร์ติโซล ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการเอาตัวรอดของมนุษย์เรา ร่างกายก็จะเริ่มแสดงออกด้วยปฏิกิริยาทางกายภาพของความกลัว ไม่ว่าจะเป็น ตัวสั่นเครือ หายใจถี่ขึ้น หรือแม้แต่มือเท้าเย็นลง แล้วยิ่งระดับอะดรีนาลีนพุ่งสูงขึ้นมากเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจก็จะเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้หลอดเลือดขยายตัวด้วยเช่นกัน
ด้วยวิวัฒนาการสำหรับเอาตัวรอดของมนุษย์ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แปลกเลยหากทุกวันนี้ แค่เสียงกึกกักเล็กน้อย ก็จะทำให้สมองเราสั่งเปิดโหมดเอาตัวรอด กระตุ้นให้ตัวเรารู้สึกกลัวทันที โดยไม่จำเป็นต้องเห็นต้นตอของเสียง
การใช้เสียงเพื่อสร้างความน่ากลัวในหนัง
เมื่อพูดถึงเสียงกับการสร้างความน่ากลัว เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยน่าจะนึกถึงเวลาเรานั่งดูหนัง เฉพาะอย่างยิ่งกับหนังประเภทสยองขวัญหรือระทึกขวัญ ซึ่งมักใช้เสียงเป็นองค์ประกอบสำคัญ สำหรับสร้างประสบการณ์สุดหลอนและลุ้นระทึกให้แก่ผู้ชมอย่างเรา
หากใครเป็นแฟนหนังสยองขวัญ คงพูดไปในทำนองเดียวกันว่า การที่หนังสักเรื่องจะสามารถพาผู้ชมอย่างเราดำดิ่งไปสู่โลกความหลอนและทำให้เรากลัวจนขนหัวลุกได้ ไม่เพียงแค่ ฉากสะดุ้ง (Jump Scare) เอฟเฟ็กต์สุดสยอง หรือบรรยากาศชวนหลอดเท่านั้น หากแต่หนังจำเป็นต้องเลือกใช้เสียงประกอบในการสร้างอารมณ์ให้ผู้ชมรู้สึกร่วมไปกับหนังด้วยเช่นกัน
หากถามว่า คนทำหนังหยิบเอาเทคนิคเรื่องเสียงกับสร้างอารมณ์มาใช้ในหนังขนาดไหนนั้น งานศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบทางอารมณ์จากการใช้เสียงดนตรีประกอบหนัง จาก Biological Letters ฉบับที่ 6 ซึ่งได้วิเคราะห์เสียงประกอบจากภาพยนตร์มากกว่า 100 เสียง ผ่านหนัง 4 ประเภท ได้แก่ ผจญภัย สยองขวัญ ดราม่า และสงคราม พบว่า ภาพยนตร์แทบทุกแนวมีการใช้เสียงแบบ non-linear sounds เพื่อกระตุ้นอารมณ์และเพิ่มความเข้มข้นของหนัง อย่างไรก็ตาม แนวหนังที่จะพบการใช้เสียงประเภทนี้มากที่สุด ก็คือหนังสยองขวัญ

ตัวอย่างหนังดังที่หยิบเอากลไกทางวิทยาศาสตร์นี้มาใช้เพื่อเพิ่มอรรถรสให้กับการรับชม ก็คือหนังแฟรนไชส์ไดโนเสาร์สุดคลาสสิกอย่าง Jurassic Park ที่เลือกผสมเสียงของช้าง เสือโคร่ง และจระเข้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเสียงคำรามของทีเร็กซ์ให้ดุดัน เกรี้ยวกราด และทรงพลังมากพอที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดกลัวทันทีที่ได้ยิน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่เพียงแค่เสียงเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นแค่บางฉากของหนังเท่านั้น แม้แต่เสียงประกอบหรือเสียงธีมหลักของภาพยนตร์ ก็มีการนำหลักการนี้มาใช้ด้วย ตัวอย่างเช่น เพลงธีมของ Jaws (1975) ซึ่งใช้เสียงที่ทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึกและตื่นเต้นราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา หรือแม้แต่ในหนังระทึกขวัญในตำนาน อย่าง Psycho (1960) ก็ได้นำเสียงไวโอลินมาสร้างเป็นเสียงประกอบอันแปลกประหลาด เพื่อเร้าอารมณ์และกระตุ้นให้ผู้ชมรับรู้ถึงความอันตรายบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ด้วยเหตุนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าหากหนังสยองขวัญไม่มีเสียงประกอบที่คอยช่วยสร้างความหลอนให้แก่ผู้ชม ความน่ากลัวก็คงลดลงไปไม่น้อย ลองนึกถึงฉากที่ฉลามกำลังพุ่งตัวเข้ามาจะทำร้ายคนใน Jaws หากไม่มีเสียงประกอบสุดระทึกอันเป็นเอกลักษณ์ การไล่ล่าก็คงไม่ตื่นเต้น ผู้ชมอย่างเราก็คงไม่ลุ้นไปกับตัวละครแน่นอน
แม้เราจะมองไม่เห็นภาพด้วยตา ทว่าการรับรู้ด้วยหูก็สามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกให้แก่เราได้ ฉะนั้นแล้ว การตื่นตัวทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่แปลกประหลาดและไม่คุ้นชิน จึงอาจช่วยให้เรารับรู้ว่ากลไกการป้องกันตัวในร่างกายยังคงพร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา
ถึงคราวไหนที่มีภัยอันตรายจริงๆ แม้จะแค่เพียงเสียง ก็จะช่วยให้เราปลอดภัยได้
อ้างอิงจาก