ทั้งที่มีเวลาอยู่ด้วยกัน วันนั้นน่าจะใช้เวลาร่วมกันให้มากกว่านี้
เวลาเดินผ่านถนนเส้นนี้ต้องนึกถึงเขาตลอด เห็นอะไรตลกๆ ก็อยากส่งให้เขาดู วันที่เราประสบความสำเร็จก็อยากให้เขาอยู่เคียงข้าง แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับบางคนมันคงเป็นไปไม่ได้เลย หากคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ในวันที่คนที่เรารักต้องจากไปแบบไม่มีวันหวนกลับ บางครั้งสิ่งที่เจืออยู่ในคราบน้ำตาอาจไม่ได้มีเพียงความเสียใจอย่างเดียว แต่ยังมีความรู้สึกเสียดายอยู่ด้วย ภาพที่ผุดขึ้นมาซ้อนทับกับความทรงจำดีๆ อาจเป็นเพียงคำตอบห้วนๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันใหม่ ทั้งที่จริงวันนั้นอาจไม่เคยมาถึง จนกลายเป็นความรู้สึกผิดที่เราไม่ได้ใช้เวลากับคนที่รักให้คุ้มค่ากว่านี้
เพราะการจากลาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พูดคุยกันหรือเปล่า นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกเสียดายทุกครั้งเมื่อคนที่รักจากไป พร้อมคำถามประเภท ‘น่าจะ..’ หรือ ‘ควรจะ..’ วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราไม่สามารถก้าวผ่านความเศร้าไปได้
ในวันที่ความเศร้ากัดกินใจจะมีทางไหนที่ช่วยเยียวยาบาดแผลนี้ได้บ้างนะ
Guilt in Grief ความเสียใจที่มาพร้อมความรู้สึกผิด
ในยามที่คนรักจากไป ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติผู้ใหญ่ คำถามที่มักวนเวียนอยู่ในหัวเป็นอันดับแรกๆ คงเป็น ‘เราทำหน้าที่ได้ดีพอแล้วหรือยัง’
หากที่ผ่านมาเราพยายามอย่างเต็มที่ มีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน ก็คงทำให้ความรู้สึกติดค้างเบาบางลง แต่สำหรับบางคนที่เผลอหลงลืมคนข้างๆ ไป ในวาระสุดท้าย เราอาจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ที่ตีคู่สูสีมากับความเสียใจ
ความรู้สึกผิดเมื่อคนที่รักจากไป มักทำให้เรารู้สึกเศร้าเป็นพิเศษ เพราะนอกจากต้องแบกรับความจริงที่ว่าเขาจากไปแล้ว ยังเหมือนมีพันธนาการที่คอยเหนี่ยวรั้งเราไว้ จากการโทษตัวเองซ้ำๆ ว่าหากเราไม่ทำแบบนั้น หากเราไม่พูดแบบนี้ สิ่งต่างๆ อาจจะดีขึ้น อย่างน้อยเราคงไม่ต้องรู้สึกเสียดายเมื่อเขาจากไปแบบนี้
มองผิวเผินอาจดูเหมือนจะเป็นเรื่องสมควรที่เราจะโทษตัวเอง ในยามที่มีโอกาส เราควรใช้เวลากับคนรักให้คุ้มค่ากว่านี้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การตัดสินใจในช่วงเวลานั้นก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเราแล้วก็ได้ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลเสมอไป หากเราจะแบกรับความรู้สึกผิดนั้นไว้คนเดียว
เดวิด เคสเลอร์ (David Kessler) ผู้เชี่ยวชาญด้านความเศร้าโศกกล่าวว่า ไม่มีใครสามารถห้ามความตายได้จริงหรอก หรือหากมี คนนั้นก็คงกลายเป็นคนมีชื่อเสียง และใครๆ ก็คงต้องการตัวไปแล้ว แต่ความจริงไม่มีใครที่ทำได้แบบนั้น ความรู้สึกผิดเป็นเพียงแค่สิ่งที่สมองสร้างขึ้น เพื่อปกป้องเราจากความเจ็บปวดเท่านั้นเอง
Choosing therapy เว็บไซต์แหล่งข้อมูลด้านสุขภาพจิต อธิบายถึงเหตุผลที่เรารู้สึกเสียดายเมื่อคนรักจากไปว่าอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น หมกมุ่นอยู่กับการกลับไปแก้ไขอดีต โทษตัวเองเพราะเป็นกลไกป้องกันตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะบางคนยังมีเรื่องค้างคาอยู่จริงๆ

การหมกมุ่นอยู่กับอดีต มักเป็นเหตุผลแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกผิด หลายคนเชื่อว่าหากตัวเองได้ย้อนเวลากลับไป อาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงให้อะไรดีขึ้นได้ มักมีคำถามวนเวียนอยู่ในหัว เช่น ‘เราน่าจะอยู่ที่นั่น’ ‘เราน่าจะพูดอะไรดีๆ’ ‘เราน่าจะไปเยี่ยมเขาให้บ่อยกว่านี้’ อย่างไรก็ตาม ความคิดเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าที่ผ่านมาเราทำสิ่งที่ผิดต่อคนรักไปจริงๆ นักวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความโศกเศร้าอธิบายว่า ความรู้สึกผิดเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อเรามองตัวเองในแง่ลบ เช่น คิดว่าตัวเองทำเรื่องเลวร้ายลงไป จึงทำให้รู้สึกผิดเมื่อคนรักจากไป
นอกจากนี้ ความรู้สึกผิดอาจเป็นกลไกป้องกันตัวเอง เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์เรามักหาวิธีที่ทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด หากเราไม่สามารถกล่าวโทษสิ่งใดได้ ก็อาจหมายถึงการยอมรับว่าความตายของคนที่เรารักเป็นเรื่องที่สมควรเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่า ดังนั้น มนุษย์จึงมักเลือกที่จะโทษตัวเอง ถ้าเราทำแบบนั้นเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้น ว่าเราสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ หรือเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ แม้จะเป็นแค่ความคิดในหัวก็ตาม
หรือหลายคนอาจรู้สึกผิดเพราะทำเรื่องไม่ดีเอาไว้จริงๆ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำผิดพลาดได้เสมอ และบางครั้งความผิดพลาดนั้นก็อาจทิ้งบาดแผลไว้ ไม่ว่าจะเป็น การตัดสินใจผิดพลาด พูดจารุนแรงทิ้งไว้เป็นคำพูดสุดท้าย หรือไม่สามารถทำตามคำขอสุดท้ายได้ จึงทำให้เราต้องโทษตัวเองซ้ำๆ
แม้ความรู้สึกผิดในความเศร้าจะเกิดขึ้นได้ปกติในยามที่คนรักจากไป แต่บาดแผลเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะรักษาให้หายได้ด้วยกาลเวลา หากเราไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ ความเจ็บปวดนี้ก็จะยังคงติดอยู่ในใจเราไปอีกนานแสนนาน
เยียวยาตัวเองจากบาดแผลที่ไม่มีใครรักษาได้
แม้ว่าความรู้สึกเสียดายหลังการสูญเสียจะเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่บางครั้งความรู้สึกนี้ก็เหนี่ยวรั้งไม่ให้เรามีความสุข จากการต้องรู้สึกผิดซ้ำๆ ทุกครั้งที่นึกถึง
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเสียใจไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น แต่หลายคนก็ไม่อาจก้าวออกมาจากความรู้สึกผิดที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้ เพราะแง่หนึ่งมันก็เหมือนเป็นการชดเชยความรู้สึกเสียใจของตัวเอง หากไปมีความสุข ทั้งที่เคยทำเรื่องผิดพลาดไว้ในอดีต ก็อาจยิ่งตอกย้ำว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้เราไม่สามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ไปได้ง่ายๆ ทั้งที่จริงคนที่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้ก็มีแค่ตัวเองเท่านั้น
แต่เพราะความรู้สึกผิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง คนที่จะพาเราก้าวออกจากความมืดนี้ก็มีแต่แค่ตัวเราเท่านั้น ความเห็นอกเห็นใจ และให้อภัยตัวเอง ว่าเราก็สามารถทำผิดพลาดได้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราพบกับความสุขในชีวิต
แคเรน ซัตตัน (Karen Sutton) โค้ชที่ให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือกับหญิงหม้ายที่ผ่านการสูญเสียลูกและสามี ได้แนะนำวิธีก้าวผ่านความรู้สึกผิด เพื่อเยียวยาใจตัวเองได้ ดังนี้
ยอมรับความรู้สึกตัวเอง: เวลาที่เรารู้สึกเศร้า อาจจะมีคนพยายามปลอบใจทำนองว่า ‘อย่าคิดมากเลย ไม่ใช่ความผิดของเรา’ อันที่จริงคำพูดนี้ไม่ได้ผิดอะไร เพราะเป็นความหวังดีจากคนรอบข้างที่อยากช่วยเราจากความเศร้า แต่ยิ่งเราพยายามปฏิเสธและเก็บกดความเสียใจนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เราโดดเดี่ยวและสิ้นหวังมากเท่านั้น เพราะความรู้สึกของเรายังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม
ระบายให้ใครสักคนฟัง: ยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจเรา ลองแบ่งปันความรู้สึกกับคนที่พร้อมฟัง แม้จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวและทำได้ยาก แต่การพูดออกมาช่วยให้เราคลายความเศร้าและทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และการพูดคุยจะช่วยให้ปลดปล่อยเราจากพันธนาการของความรู้สึกผิด เพราะช่วยให้เรารู้สึกว่าเรากำลังแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น

หยุดตั้งคำถาม: ความคิดที่ว่าน่าจะทำแบบนั้น ควรจะทำแบบนี้ มักทำให้เราเชื่อว่าเรามีพลังแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่มันเป็นความอารมณ์ที่สมองสร้างขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริง เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แค่รู้ว่าเราทำได้ดีที่สุดแล้วด้วยความรู้และสิ่งที่มีในมือตอนนั้นก็เพียงพอแล้ว
ให้อภัยตัวเอง: บางครั้งเราอาจรู้สึกผิดเพราะทำผิดพลาดไปจริงๆ การให้อภัยตัวเองไม่ได้แปลว่าเราจะปัดความรับผิดชอบ แต่หมายถึงการยอมรับว่าเราเองก็เป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ หากเราไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาทำร้ายใคร เราเองก็สมควรได้รับการให้อภัยจากตัวเอง เพื่อปลดปล่อยจากความรู้สึกผิดเหมือนกันนะ
ปล่อยวาง: ความเจ็บปวดจากการโทษตัวเองซ้ำๆ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป แต่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เราพอจะยึดโยงกับคนที่จากไป เราอาจคิดว่าการปล่อยมือจากความเจ็บปวด อาจหมายถึงการปล่อยเราให้จากไปด้วย แต่บบางครั้งเราเพียงแค่ยึดติดกับอดีต และไม่กล้าเผชิญหน้ากับสูญเสียเท่านั้น เพราะการพาตัวเองออกจากความโศกเศร้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันหมายถึงการออกจากพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้ แต่โปรดอย่าลืมว่าตอนนี้เราคือคนที่ต้องใช้ชีวิตต่อไป การปล่อยวาง และพยายามตั้งใจใช้ชีวิตที่เหลืออย่างดี อาจเป็นวิธีที่เราระลึกถึงเขาได้ดีที่สุดก็ได้นะ
ไม่ผิดเลยที่เราจะรู้สึกผิดต่อคนที่จากไป เสียดายกับช่วงเวลาสุดท้ายที่มาถึง แต่อย่าลืมว่าคนที่จะพาเราก้าวออกจากความมืดนี้ก็มีแต่แค่ตัวเราเท่านั้น การยอมรับและให้อภัยตัวเองจะช่วยให้เราเป็นอิสระ และก้าวไปข้างหน้าได้นะ
อ้างอิงจาก
