มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราเลิกกัน?
เมื่อความรักเริ่มจืดจางหลายคนอาจรับรู้ได้ด้วยสัญญาณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สายตาที่เรามองเขาแล้วไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนก่อน หรือคิดถึงอนาคตทีไรก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่ด้วย เราอาจทึกทักว่าต้นตอของอาการนี้เป็นเพราะเราหมดใจ แต่หากลองค้นลงไปอีกหน่อย เราอาจพบว่าเป็นเพราะเป้าหมายชีวิตก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้เราไปต่อกันไม่ได้
ลองนึกภาพดูสิว่าขณะที่คนหนึ่งอยากไล่ตามความฝัน แต่อีกคนอยากลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว เป้าหมายที่สวนทางกันคงสร้างความอึดอัดและความขัดแย้งไม่เว้นแต่ละวัน สุดท้ายการดึงดันเลือกทางใดทางหนึ่ง อาจหมายถึงการทำลายความฝันของอีกคนโดยไม่รู้ตัว
แม้ความรักที่ยั่งยืนต้องอาศัยการโอนอ่อนผ่อนตาม แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถคล้อยตามอีกฝ่ายได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับเป้าหมายในชีวิต การพยักหน้าส่งๆ แล้วพูดว่าตามใจเธอเลย อาจทำให้เราต้องเสียใจไปตลอดชีวิต หากรู้ว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่เราต้องการก็ได้
ทำไมเป้าหมายของเราและเขาถึงสำคัญกับความสัมพันธ์ได้ขนาดนี้นะ

เมื่อเป้าหมายไม่ตรงกันทำให้เจ็บปวด
ไม่ว่าใครก็คงมีเป้าหมายของตัวเอง บางคนอยากมีชีวิตเป็นอิสระ บางคนอยากรายล้อมไปด้วยคนที่รัก หรือบางคนอยากอยากใช้ชีวิตในต่างประเทศ จึงไม่แปลกเลยหากเรากับแฟนจะมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน เพราะสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมขึ้นมาจากประสบการณ์ที่เราพบเจอในชีวิตนี่นา
แล้วคน 2 คนเมื่ออยู่ด้วยกัน แม้จะเข้ากันได้ดีแค่ไหน แต่ก็ต้องมีบางเรื่องให้เราถกเถียงกันอยู่ดี และเป้าหมายที่ไม่ตรงกันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น แอนน์ โคเนียน (Anne-Marie Conlan) ที่ปรึกษาสุขภาพจิต อธิบายว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ เพราะเราต่างเติบโตมาไม่เหมือนกัน ทั้งการเลี้ยงดู ประสบการณ์วัยเด็ก วัฒนธรรม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างคาดหวังคู่ของตัวเองไปคนละแบบ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ บางคนอาจโตมาในบ้านที่แม่เป็นคนเลี้ยงดูลูกๆ จึงคาดหวังให้คู่รักของตัวเองทำแบบนั้นด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริง แม่ของแต่ละคนก็มีบทบาทไม่เหมือนกัน เมื่อเราต่างโตมาในคนละสภาพแวดล้อม ก็ย่อมมีความต่างของการใช้ชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา
ทั้งนี้ต้องขอบอกก่อนว่ามุมมองของแต่ละคนไม่มีใครผิดหรือถูก เพราะถ้าเป้าหมายของทั้งคู่ตรงกัน พูดคุยแล้วมองเห็นภาพอนาคตร่วมกัน ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่หากคู่รักที่มีเป้าหมายสวนทางกันมากๆ อาจถึงขั้นต้องเลิกรากันเลยก็ได้ แม้เรื่องอื่นๆ จะเข้ากันได้ตาม

สาเหตุที่เป้าหมายของเรามีความสำคัญกับชีวิตคู่มากขนาดนี้ เป็นเพราะสิ่งนี้ถือเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่แข็งแรง จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Marriage and Family ชี้ให้เห็นว่าคู่รักที่มีเป้าหมายร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ มุมมองต่อครอบครัว หรือพฤติกรรมด้านการเงินช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นได้ 30% ของคู่รักมักพึงพอใจในชีวิตคู่มากขึ้น เพราะเป้าหมายเดียวกันช่วยเสริมให้เรารู้สึกใกล้ชิดเหมือนเป็นทีมเดียวกัน และทำให้เรารู้สึกดีเมื่อมีคนคอยสนับสนุนความฝันเราอยู่ข้างๆ
ในทางตรงกันข้ามการอยู่ในความสัมพันธ์ที่เราไม่สามารถทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ อาจทำให้เรารู้สึกห่างเหินกันมากขึ้น จากงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของเป้าหมายในชีวิตคู่ที่ไม่สอดคล้องกัน เมื่อปี 2022 พบว่าคู่รักที่มีเป้าหมายไม่ตรงกัน มีแนวโน้มแสดงความรักน้อยลง สนับสนุนคนรักน้อยลง รวมถึงล้มเลิกความฝันของตัวเองไปด้วย
ดังนั้นแล้ว แม้เราจะรักอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่หากเราต้องฝืนใจจนต้องทิ้งความฝัน สุดท้ายรักครั้งนี้ก็อาจถึงจุดจบ เพราะสิ่งที่หลงเหลืออยู่อาจไม่ใช่ความรักอีกต่อไป หากแต่เป็นความยึดติดที่ไม่กล้าปล่อยให้อีกฝ่ายเติบโตอย่างอิสระ จนทำร้ายทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว
ทำอย่างไรในวันที่เป้าหมายเราไม่ตรงกัน
แม้จะเป็นเรื่องยากที่เราจะประคับประคองความสัมพันธ์ เมื่อแต่ละคนต่างมีเป้าหมายของตัวเอง แล้วยังอยากลองปรับเข้าหากันดูก่อน ในงานวิจัยชิ้นเดิมได้สรุปทิ้งท้ายเอาไว้ว่า สิ่งที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์นี้ให้ยั่งยืนต่อไป คือการเปิดใจพูดคุยและเรียนรู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้
สอดคล้องกับOur ritual แพลตฟอร์มการบำบัดคู่รักออนไลน์ ที่ให้คำแนะนำทางออกของสถานการณ์นี้ด้วยการสร้างเป้าหมายใหม่ที่มาจากความต้องการของทั้งคู่ เราอาจทำได้ด้วยวิธีดังนี้
จัดเวลาคุยอย่างตั้งใจ: การตั้งเป้าหมายร่วมกันถือเป็นเรื่องใหญ่ พยายามอย่าคุยแบบผ่านๆ แต่อาจลองหาที่เงียบๆ ที่สามารถใช้เวลาพูดคุยอย่างไม่รีบร้อน เพื่อหาว่าเรายังมีเป้าหมายอะไรร่วมกันอีกไหม เราจะสนับสนุนเป้าหมายของอีกฝ่ายได้อย่างไร มีทางไหนที่ทำให้เรามาเจอคนละครึ่งทางได้หรือเปล่า คำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราวางแผนเป้าหมายของตัวเองได้ดีขึ้น
ฝึกฟังอย่างตั้งใจ: การฟังอย่างตั้งใจ หรือ Active Listening จะช่วยให้เราเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะหลายครั้งความขัดแย้งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน คิดอะไรอยู่ หรืออะไรทำให้เขาคิดแบบนั้น การฟังอย่างตั้งใจจะช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้เราหาทางออกที่เหมาะสมในสถานการณ์นี้ได้

หาคุณค่าร่วมกัน: ลองดูว่านอกจากเป้าหมายที่ต่างกันแล้ว ยังมีอะไรที่เราให้ความสำคัญเหมือนกันอีกบ้าง เช่น ครอบครัว การเงิน การเติบโต ฯลฯ จากนั้นหาจุดร่วม เช่น คนหนึ่งชอบผจญภัย อีกคนชอบความมั่นคง จุดร่วมอาจเป็นการออกไปเที่ยว ออกไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ เมื่อมีโอกาส แต่ก็ยังต้องคงฐานะทางการเงินที่มั่นคงไว้ เช่น ช่วยกันเก็บเงิน หรือเลือกงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงไว้ก่อน แต่อย่าลืมว่าต้องเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง และทั้งคู่ยินยอมพร้อมใจกันนะ
ฉลองความสำเร็จไปด้วยกัน: การยอมรับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ช่วยเพิ่มแรงใจและทำให้ความสัมพันธ์อบอุ่นขึ้น หลังจากที่ปรับเป้าหมายร่วมกันแล้ว อย่าลืมสังเกตความเปลี่ยนแปลงด้วยนะ อาจจะเป็นเรื่องความสบายใจที่เพิ่มขึ้น หรือได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบมากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลว่าอีกคนจะรู้สึกไม่ดี การชื่นชมการเปลี่ยนแปลงทีละก้าวด้วยกันจะช่วยให้เรารู้สึกเหมือนเป็นทีมเดียวกันมากขึ้น
หากทำทุกทางแล้วเป้าหมายของเราทั้งคู่ไม่สามารถเป็นจริงได้ ยังไงก็ต้องมีใครคนหนึ่งเสียสละความฝันของตัวเอง การแยกทางก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี และไม่จำเป็นต้องมีใครแบกความรู้สึกผิดนี้ไว้คนเดียว เพราะแต่ละคนก็มีสิทธิเลือกที่ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
การแยกย้ายกันไปเพื่อให้แต่ละคนได้ทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อไม่ให้ใครต้องเจ็บปวดภายหลังก็ได้นะ
อ้างอิงจาก