ช่วงปลายปี เป็นช่วงเวลาที่เราควรจะมีความสุข เป็นเวลาที่เรารอวันหยุด รอวันแห่งการพักผ่อน และรอที่จะก้าวไปสู่สิ่งใหม่ๆ ในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง
แต่ช่วงรอคอยนี่แหละที่อาจทำให้เราเริ่มรู้สึกว่า ทำไมวันเวลามันช่างช้านัก เดือนธันวาคมช่างเป็นเดือนที่แสนยาวนาน ในจังหวะที่ต้นคริสมาสต์และแสงไฟสว่างไสว ลึกๆ ของเรากลับรู้สึกถึงความเศร้าเล็กๆ เกิดความสิ้นหวังหรือความผิดหวังขนาดย่อมๆ ก่อตัวขึ้นมาในใจ
ช่วงเวลาปลายปี เป็นช่วงเวลาที่เราเตรียมก้าวไปสู่ปีใหม่ก็จริง แต่อีกด้าน มันคือช่วงเวลาของการสิ้นสุดของรอบปีที่กำลังจะหมดไป เป็นช่วงเวลาที่ปณิธานปีใหม่ของปีนี้กำลังจะหมดอายุ เป็นจังหวะเลี่ยงไม่ได้ที่จะมองย้อนไปแล้วอาจพบว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา ในความเชื่อเรื่องความก้าวหน้า ชีวิตเราอาจไม่ได้มีอะไรก้าวไปข้างหน้านัก
กระทั่งสำหรับบางคนหรือกระทั่งเราเอง ถ้าปีที่ผ่านมาไม่ใช่ปีที่ดีนัก ความสุขของการส่งท้ายปีก็อาจจะกลายเป็นช่วงเวลาขมๆ ได้

อย่างแรกที่อยากบอกคือ การสิ้นสุดลงของรอบปี ด้านหนึ่งก็เป็นแค่จังหวะเวลาหนึ่งของปี ความสำคัญหนึ่งของการจบลงของรอบปีหมายถึงการก้าวไปจังหวะใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และเป็นเรื่องธรรมดาที่เรามองชีวิตเป็นเส้นตรง ที่เราเองจะมองย้อนไปข้างหลังและเรามีความคาดหวังบางอย่างกับตัวเอง
นอกจากความรู้สึกอันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะคาดหวังหรือย้อนกลับไปประเมินชีวิตและความก้าวหน้าแล้ว ด้วยหลายๆ เงื่อนไขของบรรยากาศปลายปีและบรรยากาศของงานเทศกาล ก็ร่วมทำให้เรารู้สึกเศร้าซึมในช่วงปลายปีได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเศร้า
จังหวะแรกสุดของความเศร้าซึมช่วงปลายปีคือความรู้สึกของเรานี่แหละ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่โลกบอกเราให้มีความสุข แต่เรากลับรู้สึกเศร้าขึ้นมาซะเฉยๆ ความรู้สึกแปลกแยกนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เรายิ่งรู้สึกเศร้าเข้าไปใหญ่
อันที่จริงภาวะเศร้าซึมช่วงปลายปีหรือช่วงเทศกาลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อย่างแรกเราต้องโทษภูมิอากาศ ซึ่งเราอาจรู้สึกว่าอ้าว โทษลมฟ้าอากาศอีกแล้ว แต่จริงๆ ภูมิอากาศเป็นสิ่งที่กระทบกับมนุษย์ตัวเล็กๆ ของเราได้ ภาวะร่วมอย่างนึ่งเรื่องบรรยากาศที่กระทบความรู้สึก เช่น New Year’s Blue หรือ Winter Blue
ความรู้สึกหน่วงๆ ซึมๆ ช่วงปลายปี ช่วงใกล้หรือหลังปีใหม่สัมพันธ์ทั้งกับภูมิอากาศที่แสงแดดน้อยลง อากาศเย็น ฟ้ามืดไว รวมทั้งการมาถึงของบรรยากาศซึมเซาช่วงปลายปีที่ทุกๆ คนอยู่ในภาวะพักหรือรอ รอการมาถึงของปีถัดไป การงานต่างๆ เริ่มหยุด พัก และเปลี่ยนจากภาวะปกติไปสู่ห้วงเวลาส่งท้ายปี
เราอาจจะใจร้ายกับตัวเอง
การส่งท้ายปีเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์อย่างเราๆ จะเกิดภาวะทบทวนตัวเอง คือนอกจากเราจะมองไปยังปีถัดไปซึ่งมักจะเกิดในช่วงวันที่ 30-1 คือนับหนึ่งในวันปีใหม่ ในช่วงปลายปี เราเองก็มักจะต้องกลับทบทวนปีที่ผ่านมา และหลายครั้งเวลาที่เราประเมินชีวิตและความก้าวหน้า เราก็มักจะประเมินตัวเองอย่างไม่ค่อยใจดีเท่าไหร่
จริงๆ เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญที่เรามักลืมไป การมองย้อนไปในปีที่ผ่านมา ความคืบหน้าทางเศรษฐกิจของเรานี่แหละที่มักทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยไปไหน เราทำงานและใช้ชีวิต เอาตัวรอดไปจนครบหนึ่งปี ทุกอย่างเหมือนเดิมเป็นอย่างยิ่ง
อีกแง่ทางเศรษฐกิจคือความรู้สึกตึงเครียดทางการเงิน ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่เราใช้เงินไปกับหลายๆ อย่าง การจับจ่ายเพื่อครอบครัว เพื่อคนที่รัก เพื่อตัวเอง แถมช่วงวันหยุดยังมีรายจ่ายมากมายที่รอเราอยู่ ความตึงเครียดเรื่องการจับจ่ายเป็นอีกหนึ่งความคาดหวังที่ทำให้เรารู้สึกตึงขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งความคาดหวังคือการที่เราอาจจะอยากจับจ่ายเพื่อเฉลิมฉลองได้ตามที่คาดหวัง แต่งบประมาณไม่อำนวย

นอกจากบรรยากาศทั้งหมดที่บังคับให้เรามีความสุข แต่คิดจริงๆ แล้วอาจจะมีความกังวลใจอยู่ลึกๆ ช่วงรอยต่อ คือรอยต่อสู่วันคริสมาสต์ รอยต่อสู่ปีต่อไป ช่วงเวลาที่รอคอยหรือ ‘ในระหว่าง’ นี้แหละที่เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจ
สุดท้ายขอยืนยันว่าความเศร้าซึมช่วงปลายปีเป็นเรื่องธรรมดา ภาระและชีวิตที่แบกรับมาทั้งปี และอย่าประเมินตัวเองอย่างใจร้ายเกินไป และต้องอย่าลืมว่า เราก้าวสู่ปลายปีเพื่อดำเนินไปสู่ปีใหม่ๆ มองในแง่หนึ่งก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของปี
สำหรับการแก้ความซึมของปลายปี บางข้อคิดที่ไม่ได้เน้นเชิงปรัชญาแบบปีใหม่เป็นแค่ห้วงเวลาที่เหมือนกับทุกๆ ปี บ้างก็บอกว่าเราทำให้วันปีใหม่เป็นงานเฉลิมฉลองที่เราตั้งตารอ คือไปทางเฉลิมฉลองให้เต็มที่ ให้ถึงวันนั้นให้น่าจดจำไปเลย
และอย่าลืมว่า อีกไม่กี่วันก็คริสต์มาส อีกไม่นานก็ปีใหม่ แล้วทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป ชีวิตคือการเริ่มต้นใหม่เสมอ และปีใหม่คือช่วงเวลาของการเริ่มใหม่
อย่าใจร้ายกับตัวเองจนเกินไปนัก
อ้างอิงจาก