ทีมเลิกแล้วยังเป็นเพื่อนกันได้ VS ทีมเลิกแล้วก็อย่าไปรู้จักมันเลย
“แกว่าเรากลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ป้ะวะ” เราถาม
“ได้ดิ ทุกวันนี้แฟนเก่าก็เป็นเพื่อนที่ฉันสนิทมากคนหนึ่งเลย” เพื่อนคนแรกตอบ
“บ้าเหรอ! เลิกกันแล้วนะ จะไปยุ่งอีกทำไม แกทำได้จริงดิ” เพื่อนอีกคนแทงสวน…
ความสัมพันธ์คือสิ่งซับซ้อน และว่ากันว่ายิ่งสายใยแห่งความผูกพันลึกซึ้งเท่าไหร่ ความซับซ้อนและเข้าใจยากของมันก็จะมากขึ้นเท่านั้น หากเป็นการทะเลาะกับเพื่อน ขอแค่มีง้อสักนิด พูดคุยสักหน่อย ไม่นานก็คงเลิกจ๋อยและกลับมาสนิทกันได้ แต่ถ้าเป็นการพลิกสถานะ จากคนเคยรักมาสู่คนรู้จัก คำถามคือเราจะกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาคนนั้นได้รึเปล่า และถ้าได้ เราสมควรทำมันจริงหรือไม่?
สำหรับบางคน การคบแฟนเก่าเป็นเพื่อนคือเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าการเลือกซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์ มากไปกว่านั้น จากที่เคยเถียงกันทุก 5 วินาทีตอนเป็นแฟน พอถอยออกมาเป็นเพื่อน กลายเป็นรู้สึกสนิทใจและเข้ากันได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีเราก็มีแฟนเก่าเป็นเพื่อนสนิทไปซะแล้ว
ตรงข้ามกับอีกกลุ่มที่กลัดกลุ้มและไม่เข้าใจพวกแรกเลยสักนิด เขาและเธอในกลุ่มนี้นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะกลับไปสู้หน้าแฟนเก่าได้ยังไง ไม่ใช่ว่าเราทำผิดหรือเขาทำพลาด แต่ในเมื่อเลิกกันแล้ว เราไม่รู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ เหรอที่จะกลับมาพบเจอกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คิดถึงภาพตอนที่เราบอกเลิกเขาสิ จินตนาการถึงวันที่เราไปดูหนังด้วยกันพร้อมสถานะคนคุย หรือนั่งอยู่ในรถที่มีเขาเป็นคนขับพร้อมกับถ่ายสตอรี่ที่ติดเขาแค่แขน เพราะงั้นมันคงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้งที่เราจะกลับมาเป็นคนสนิทกันโดยไม่มีภาพเก่าเหล่านั้นฉายซ้ำในห้วงความคิด เลิกมีปฏิสัมพันธ์โดยไม่จำเป็นดีกว่า ไม่งั้นก็มีแต่จะอึดอัดซะเปล่าๆ…
ถึงตรงนี้ เราอยากชวนคิดสักนิดว่า คุณกับแฟนเก่าอยู่ทีมไหนเหรอ ?
ทีม A: แกคือ ‘แฟนเก่า’ ที่กลายเป็น ‘เพื่อนคนโปรด’ ของเราเลยรู้ปะ ?
การเป็นเพื่อนหรือคบหากับแฟนเก่าต่อไปคือสิ่งที่รีเบ็คกา กริฟฟิธ (Rebecca Griffith) นักเขียนและนักศึกษาปริญญาโทด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคนซัส สหรัฐอเมริกา นิยามไว้ว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย’ เพราะจากแบบสำรวจที่เธอศึกษา พบว่าประมาณ 60% ของคนทั่วไปยังสามารถประคับประคองมิตรภาพของตัวเองกับคนที่เคยคบได้ แม้จะเลิกรากันไปแล้วก็ตาม
60 อาจจะไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ที่สูงอย่างมีนัยสำคัญก็จริง ทว่ามันก็มากพอต่อการตั้งคำถามว่า หลายคนหลงลืมความเศร้าโศกที่วันที่โดนบอกเลิกไปแล้ว หรือมีเหตุผลอะไรให้ต้องกลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าอีกครั้งทั้งที่จริงๆ ก็อาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้น
เขาเป็นหนึ่งคนที่เข้าใจเรามากกว่าใคร
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทั้งเราและเขา ไม่มีใครหรอกที่จำประโยคบอกเลิกหรือน้ำตาหยดแรกในคืนนั้นไม่ได้ แต่สุดท้าย เรื่องหนึ่งที่เราตระหนักได้ไม่นานหลังจากนั้น คือคนที่วันนี้ไม่เหลือสถานะระหว่างกันอีกแล้วนี่แหละที่เป็นมนุษย์โลกที่เข้าใจเรามากกว่าใคร หรืออย่างน้อยก็ ‘เคย’ รู้ใจเรามากกว่าคนอื่น
ดังนั้น เมื่อพบปัญหาเรื่องงานหรือตึงๆ กับที่บ้าน จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าแฟนเก่าคือที่ปรึกษาผู้ตอบโจทย์ เขารู้ว่ารายละเอียดเล็กๆ อะไรทำให้เราโกรธหรือโหมดไหนที่แนะนำแล้วเราจะใจเย็นลง
ยิ่งไปกว่านั้นก็มีหลายคนที่เลือกระบายปัญหาความรักครั้งใหม่กับคนรักเก่า เพราะเพื่อนสนิทอาจจะรู้ว่าเราทำได้ดีแค่ไหนในฐานะเพื่อน แต่เพื่อนไม่มีทางรู้เท่าแฟนเก่าว่าตัวเราในบทบาทแฟนมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง ซึ่งถ้าหากอยากมีความรักครั้งใหม่ที่สดใสกว่าเดิม การรับฟังคำแนะนำที่ตรงไปตรงมาจากคนที่เคยมีประสบการณ์ร่วมก็คงมีส่วนช่วยไม่มากก็น้อย เพราะอันที่จริง มันก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีตจากมุมที่เรามองไม่เห็นหรือไม่รู้ตัวในวันที่ยังคบกัน
ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกคบ
เจอมีมตลกก็ส่งให้เขาตลอด อยากกินร้านนั้นก็ชวนเขาไปในทันที ไม่ชอบสิ่งนี้ก็เล่าให้เขาฟังเป็นคนแรก จนเรียกว่าขีวิตครึ่งหนึ่งของเรา (หรืออาจจะทั้งหมด) เกือบจะมีแค่เขาเพียงคนเดียวตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จริงอยู่ที่ว่า ณ จุดสิ้นสุดความรัก ความสงสัย โศกเศร้า โกรธ เหนื่อยล้า อาจทำให้เราต้องเสียน้ำตา กินข้าวไม่ลง หรือกระทั่งไม่มีกระจิตกระใจจะใช้ชีวิต แต่เมื่อได้สติและมูฟออนได้ เราก็รู้ดีแก่ใจว่าอยากกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาอีกครั้ง ในเมื่อไม่มีเรื่องขัดแย้งและไม่ได้มีใครคนหนึ่งทรยศอีกคน
เพราะงั้นก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ และลึกๆ เราก็ยอมรับกับตัวเองว่า เขาคือคนที่ดีคนหนึ่งที่อุตส่าห์ผ่านเข้ามาในชีวิต ความทรงจำที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการส่งมีม ชวนกินข้าว หรือระบายเรื่องราวสารพัด ต่างก็เคยเกิดขึ้นจริง แม้ไม่คงอยู่ตลอดไป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งไร้ค่า เงื่อนไขและวันเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเราทั้งคู่ไม่เหมาะที่จะเป็นแฟนกัน แต่ก็ใช่ว่าเราจะเป็นเพื่อนที่หวังดีต่อกันไม่ได้
ทีม B: ฉันคงทำไม่ไหว ให้เป็นเพื่อนกับแฟนเก่า
ทีมนี้คงอยากตะโกนดังๆ ว่า หยุดมองโลกในแง่ดีสักที และที่สำคัญ เลิกฝืนทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นเถอะนะ ถามจริงมันเป็นเรื่องที่ ‘ต้องทำ’ ขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้การพยายามกลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าเนี่ย! ตอนเลิกกันก็ไม่ได้เลิกด้วยดีขนาดนั้น วันก่อนเขาอาจเป็นคนสำคัญ แต่วันนี้ก็สำคัญน้อยลงได้ และในนามของหัวหน้าทีม B ขอเปิดอกพูดตรงนี้เลยนะว่า ‘การไม่ทำตัวสนิทกับแฟนเก่าคือการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าเรามีแฟนใหม่ด้วย’ รู้ไว้ซะ
เพราะการตัดใจไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้เวลาจะช่วยเยียวยาบาดแผล แต่ระยะที่แต่ละคนใช้ก็อาจไม่เท่ากัน เวลาเพียง 3 วันอาจฟื้นฟูจนคนหนึ่งกลับมาแจ่มใส ในขณะที่บางคนใช้คำว่า ‘ตลอดไป’ ก็ไม่พอให้กลับมามีความสุขแบบเดิม เมื่อเป็นเช่นนั้น การบล็อคไลน์ เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่ใช่ว่าเราจะอยากทำนะ แต่ถ้ามันเป็นหนทางที่ช่วยให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ เราก็คงต้องทำมันอย่างปฏิเสธไม่ได้ไม่ใช่หรือ
ดังนั้น ไม่ต้องมองไกลขนาดจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเลย เพราะแค่มองหน้าเขา เรายังทำไม่ได้เลย…
ไม่ใช่เพื่อนกันตั้งแต่แรก
หลายคู่พัฒนาจากเพื่อนมาเป็นแฟน แต่บางคนก็เริ่มต้นที่สถานะคนคุยโดยไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน ยิ่งเป็นยุคนี้ที่แอปพลิเคชั่นต่างๆ กลายเป็นทางเข้าของความสัมพันธ์ก็ยิ่งส่งเสริมให้การเป็นแฟนกันไม่ได้แปรสภาพมาจากการเป็นเพื่อน แล้วในเมื่อไม่เคยเป็นเพื่อน เลิกกันแล้วจะกลับไปเป็นเพื่อนได้ยังไง
จะว่าไป ตรรกะนี้ก็ดูจะไม่มีอะไรให้โต้แย้ง หากเราวางฟังก์ชั่นคนหนึ่งคนให้เป็นไปในทางโรแมนติก เมื่อฟังก์ชั่นนี้ยุติการทำงาน เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามหาฟังก์ชั่นใหม่ให้กับเขา ลำพังทำตัวเองให้หายเศร้าก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว แล้วจะเอาเวลาไปทุ่มเทกับการหาที่ทางเพื่อให้คนคนหนึ่งยังมีพื้นที่อยู่ในชีวิตของเราเพื่ออะไร ในมุมหนึ่ง มันก็เป็นไปได้ที่เราจะกลายเป็นเพื่อนกันแม้จะไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถ้าการจะไปถึงจุดนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง หลายคนก็ขอเลือกทางที่ไม่เสี่ยงดีกว่า
เลวเกินกว่าจะมีไว้ในชีวิต
พูดก็พูดเถอะ กับคนบางคน การที่เราทนมาจนถึงวันที่บอกเลิกก็มากเกินพอแล้ว ในเมื่อเขาไม่เคยใส่ใจ แอบไปมีคนอื่น แถมยังทำให้เราไม่เหลือความเชื่อมั่นในตัวเอง นอกจากจะไม่ควรมีคนแบบนี้เป็นแฟนแล้ว เรายังไม่ควรมีเขาอยู่ในชีวิตด้วย พูดง่ายๆ ว่ามีไป ชีวิตเราก็มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ
“เลิกได้ก็ดีแล้วมึง แล้วก็อย่าไปคบอีกนะ คนแบบนี้น่ะ”
เพื่อนๆ ร่วมแสดงความยินดี ส่วนเราเองก็ดีใจที่ตัดคนแบบนี้ออกจากชีวิตไปได้สักที…
“แกว่าเรากลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ป้ะวะ” เพื่อนถาม
“ก็แล้วแต่คน แล้วแต่เงื่อนไข แล้วก็อยู่ที่ว่าแกสบายใจแบบไหนนั่นแหละ มันไม่มีคำตอบที่ถูกหรอก” เราตอบ
เป็นสัจธรรมที่ว่า ทุกคนล้วนต้องเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง และในเมื่อความสัมพันธ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้น ทุกคนย่อมต้องเลือก ‘เก็บ’ หรือ ‘ทิ้ง’ ผู้คนที่ผ่านเข้ามาด้วยตัวเองเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือต่างคนต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งสิ้น เราจึงไม่สามารถนำมาตรฐานความสัมพันธ์ของเราไปใช้ตัดสินคนอื่นได้ ถ้าเราทำได้ แต่เขาไม่อยาก ก็ไม่ใช่ว่าเขาผิด หากคนอื่นโอเค ส่วนเราเซย์โน ก็ไม่ต้องมานั่งคิดกับตัวเองว่าหรือเราเปิดใจไม่มากพอ…
สุดท้ายจึงไม่มีผลแพ้ชนะสำหรับ ‘ทีมเลิกแล้วยังเป็นเพื่อนกันได้’ กับ ‘ทีมเลิกแล้วก็อย่าไปรู้จักมันเลย’ มีเพียงเหตุผลว่า ทำไมแต่ละคนจึงเลือกอยู่ทีมนั้น และทำไมมันจึงสำคัญในการทำความเข้าใจมุมมองของอีกทีม
อ้างอิงข้อมูล