ในช่วงนี้ คงไม่มีข่าวไหนในวงการกีฬาและบันเทิงที่จะได้พื้นที่สื่อไปมากกว่าข่าวการประกาศเลิกปล้ำอย่างเป็นทางการของจอห์น ซีน่า (John Cena) อดีตนักมวยปล้ำผู้โด่งดังของ WWE (World Wrestling Entertainment)
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา จอห์น ซีน่า ได้ปิดฉากอาชีพนักมวยปล้ำของตัวเองด้วยความพ่ายแพ้ในสังเวียนสุดท้ายกับ กันเธอร์ (Gunther) พร้อมกับการเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว ถือเป็นการสิ้นสุด 20 กว่าปีในวงการมวยปล้ำอาชีพ
แม้หมดบทบาทบนสังเวียน แต่ตัวเขาจะยังคงโผล่มาให้แฟนๆ มวยปล้ำได้เห็นต่อไปแน่นอน แต่หลังจากนี้เราจะได้เห็นจอห์น ซีน่าในฐานะทูตของสมาคม (Brand Ambassador) แทน โดยตัวเขาได้เซ็นสัญญาทูตกับ WWE เป็นระยะเวลา 5 ปี เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือนักมวยปล้ำรุ่นใหม่ต่อๆ ไป
คอนเสิร์ตยังมีวันเลิกรา นักมวยปล้ำเองก็มีวันลงจากสังเวียน เพื่อทบทวนถึงความเป็นตำนานของจอห์น ซีน่า The MATTER จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักกับความเป็นสุดยอดในด้านต่างๆ ของเจ้าตัวในฐานะนักมวยปล้ำกัน

Attitude Adjustment (AA) ท่าไม้ตายในตำนาน
เมื่อพูดถึงสุดยอดนักมวยปล้ำ หนึ่งสิ่งที่ถือเป็นภาพจำสำคัญของพวกเขา คือ ‘ท่าไม้ตาย’ ซึ่งนักมวยปล้ำ แต่ละคนก็จะมีท่าไม้ตายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จอห์น ซีน่าเองก็เช่นเดียวกัน โดยท่าไม้ตายของเขามีชื่อว่า ‘Attitude Adjustment (AA)’ เจ้าตัวจะทำการยกตัวของคู่ต่อสู้ขึ้นไปแบกไว้บนบ่า ก่อนจะทุ่มสุดแรงลงไปที่พื้นด้านล่าง และกระโดดทับตัวอีกฝ่าย เพื่อให้กรรมการมานับถอยหลัง
สาเหตุที่ท่านี้กลายเป็นท่าไม้ตายในตำนานของจอห์น ซีน่า เป็นเพราะขนาดร่างกายเจ้าตัวที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล จึงสามารถยกคู่ต่อสู้ที่หลายครั้งมักมีขนาดร่างกายที่ใหญ่และบึกบึนกว่าได้ แถมตอนก่อนจะทุ่มลงพื้นยังต้องมีจังหวะที่ต้องยกให้เหนือหัวอยู่พักหนึ่งด้วย ถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชายคนนี้อย่างชัดเจน
ตำนานครองแชมป์โลกเยอะที่สุด
คงไม่มีเรื่องใดเป็นตำนานได้เท่ากับ การที่ชายผู้ชื่อว่า จอห์น ซีน่า คือผู้ครองสแชมป์โลก WWE ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการมวยปล้ำ โดยตัวเขาถือครองตำแหน่งแชมป์ทั้งหมด 17 สมัย โดยชนะอดีตนักมวยปล้ำอย่าง ริค แฟลร์ (Ric Flair) ที่ครองตำแหน่งแชมป์ 16 สมัยมาได้หลังจากจบศึกเรสเซิลมาเนีย 41 (WrestleMania 41) ที่ตัวของจอห์นสามารถเอาชนะ โคดี้ โรดส์ (Cody Rhodes) และคว้าแชมป์ WWE มาได้ ก็ถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของวงการมวยปล้ำ
Doctor of Thuganomics
สิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนมวยปล้ำจดจำนักมวยที่พวกเขาชอบได้ คือ กิมมิค (Gimmick) หรือก็คือบุคคลิก ตัวตน และลักษณะเด่นของนักมวยปล้ำแต่ละคน ซึ่งเป็นบทบาที่พวกเขาเลือกจะเป็นบนสังเวียน
สำหรับจอห์น ซีน่า กิมมิกที่สร้างภาพจำและแจ้งเกิดให้กับตัวเขามากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น ‘Doctor of Thuganomics’ หรือกิมมิคการเป็นแร็ปเปอร์สายเกรียน ในทุกครั้งที่จับไมโครโฟน จอห์นจะใช้ลีลาภาษาแบบแร็ปเปอร์ในการตอบกลับและพูดคุยด้วยการใช้ภาษาที่คล้องจองกัน รวมถึงเจ้าตัวยังมีการแร็ปแซวคู่แข่งก่อนขึ้นสังเวียน กลายมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทั้งสร้างสีสันให้กับการแข่งขัน แถมยังเปลี่ยนจากนักมวยปล้ำไร้ชื่อเสียงธรรมดา กลายมาเป็นดาวเด่นของ WWE จวบจนถึงปัจจุบัน
Jorts
หลังจากที่พูดถึง Doctor of Thuganomics กันไปแล้ว คงพลาดน่าดูถ้าไม่ได้พูดถึงอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญของจอห์น ซีน่า อย่าง ‘Jorts’ หรือกางเกงขาสั้น ที่เป็นเครื่องแต่งกายประจำตัวของนักมวยปล้ำคนนี้
แรกเริ่มเดิมทีตัวของจอห์น ไม่ได้แต่งตัวแบบที่เราคุ้นตากันในทุกวันนี้ แต่ด้วยบุคลิกที่ไม่โดดเด่นมากพอ เขาจึงได้คิดและหยิบเอากิมมิคอย่าง Doctor of Thuganomics มาใช้บนเวที ทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนจากการแต่งตัวด้วยกางเกงขาสั้นธรรมดา มาเป็นเสื้อผ้าสไตล์แรปเปอร์ ทั้งเสื้อตัวใหญ่หลวมโคร่ง สร้อยโซ่ หมวกแก็ป รองเท้าผ้าใบ รวมถึงกางเกงยีนส์ขาสั้น ซึ่งต่อมา มันก็ได้กลายเป็นสไตล์เฉพาะตัวของจอห์น ซีน่า ที่เราจะได้เห็นการทุกครั้งเมื่อเขาก้าวเข้ามาในสังเวียน
Unforgiven 2006 แมตช์ที่ตราตรึงผู้ชมที่สุด
ถ้าต้องเลือกแมตช์การแข่งขันของจอห์น ซีน่าที่ตราตรึงใจผู้ชมที่สุดด้วยตนเอง ก็คงเป็นเรื่องยากไม่น้อย เพราะตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี บนสังเวียนมวยปล้ำ เจ้าตัวก็ได้จัดหนักจัดเต็มในทุกศึกที่ผ่านมาเสมอ
หากต้องหยิบมาสักแมตช์ที่น่าจดจำที่สุดของ จอห์น ซีน่า ก็ขอยกมาจากการจัดอันดับของทาง WWE มาเลยดีกว่า โดยแมตช์นั่นของจอห์นคือ แมตช์ระหว่าง จอห์น ซีน่า กับ เอดจ์ (Edge) ในการแข่งขัน Unforgiven 2006 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2006
ทาง WWE ให้เหตุผลว่า แมตช์นี้ถือเป็นการต่อสู้ที่ฉีกภาพจำกันเป็นฮีโร่ของซีน่าอย่างสิ้นเชิง เพราะการต่อสู้ครั้งนี้คลุกกรุ่นไปด้วยความแค้นระหว่างเจ้าตัวกับเอดจ์ ศึกครั้งนี้ซีน่าจึงได้แสดงด้านที่ทั้งโหดและดิบออกมา พร้อมปิดท้ายการต่อสู้ด้วยการใช้ท่า Attitude Adjustment ทุ่มเอดจ์ลงมาจากยอดบันไดทะลุโต๊ะสองตัว เพื่อเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าจอห์น ซีน่า ไม่ได้เป็นแค่ฮีโร่อีกต่อไป แต่เขาคือพลังที่ไม่มีใครหยุดยั้งไว้ได้บนสังเวียน WWE
“You can’t see me!”
คงไม่มีวลีไหนของจอห์น ซีน่า ที่เป็นเอกลักษณ์ได้เท่ากับ “You can’t see me!” อีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะอยู่วงการไหน ไม่ว่าจะเคยดูมวยปล้ำหรือเปล่านั้น แค่เห็นหน้าของซีน่า ท่าทางโบกมือบังหน้าพร้อมประโยคยียวนประจำตัวนี้ก็มักจะผุดขึ้นมาทันที
วลีนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากท่าเต้นประหลาดๆ ของน้องชายตนเอง เขาจึงได้ลองเอาท่าดังกล่าวมาปรับใช้เป็นของตัวเองออกทีวี เมื่อท่าทางนี้ได้รับความนิยม วลีอย่าง “You Can’t See Me” ก็เพิ่มเข้ามาภายหลัง จนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำของเจ้าตัว ทุกครั้งที่ซีน่ายกมือขึ้นมาบนสังเวียน แฟนๆ ข้างล่างเวทีก็จะตะโกนวลีกันได้อย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ “You can’t see me!” ไมได้หมายความว่าคู่ต่อสู้จะมองไม่เห็นตัวเขาแต่อย่างใด หากแต่หมายถึงอีกฝ่ายไม่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าตัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวของซีน่าอยู่เหนือกว่าคู่ต่อสู้นั่นเอง
ผู้ชายที่อำลาเวทีได้น่าจดจำที่สุด
ความสุดยอดข้อสุดท้ายของจอห์น ซีน่าในฐานะนักมวยปล้ำผู้เป็นตำนานคนนี้ ก็ต้องขอยกให้กับสังเวียนสุดท้ายของเจ้าตัว ที่ได้โบกมืออำลาการต่อสู้นี้อย่างเป็นทางการ ด้วยการขอยอมแพ้ และก้าวลงเวทีอย่างสง่างาม
สำหรับชายผู้ไม่เคยยอมแพ้ใคร การตัดสินใจตบเวทีขอยอมแพ้ในครั้งนี้ แม้แฟนหลายคนอาจโห่ร้องแสดงความไม่พอใจและคาดหวังให้ซีน่าชนะกันเธอร์ผู้เป็นคู่แข่งได้ แต่การยอมแพ้กลับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงตัวตนความเป็นฮีโร่ของจอห์น ซีน่าได้อย่างชัดเจน เพราะนี้ไม่ใช่การพ่ายแพ้ที่น่าอับอาย แต่เป็นการถอยตัวเองและส่งต่อเวทีแห่งนี้ ให้นักมวยปล้ำรุ่นใหม่ๆ ได้ขึ้นไปประชันฝีมือกันต่อไป
แม้วินาทีที่ตัวเขาก้าวลงจากสังเวียน คือวินาทีที่ยุคสมัยของ จอห์น ซีน่าสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ แต่ชื่อของเขาจะยังคงจารึกไว้ในฐานะตำนานของ WWE ไปตลอดกาล
อ้างอิงจาก