ถ้าพูดถึงอดีตนักมวยปล้ำอาชีพที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง ทุกคนคงนึกถึงชื่อของ Dwayne “The Rock” Johnson เจ้าของตำแหน่งนักแสดงชายที่ค่าตัวสูงที่สุดในโลกคนปัจจุบันเป็นลำดับแรก หรืออาจนึกถึง John Cena ที่ค่อยๆ สร้างผลงานในฮอลลีวูดจนเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
แต่ในบทความนี้เราจะพูดถึงชายที่คนไทยรู้จักในนาม “Drax the Destroyer” จากภาพยนตร์ Guardians of the Galaxy ผู้ตั้งเป้าว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดในโลกให้ได้ เขาคนนั้นคือ “The Animal” Batista เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกมวยปล้ำหกสมัยนั่นเอง
ไม่ใช่พอมีพอกิน แต่พวกเราไม่มีอะไรเลย
เดฟ บอทิสตา (Dave Bautista) ถือกำเนิดที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์นัก คุณแม่ของเขาเป็นช่างทำผม ในขณะที่คุณพ่อเกิดในตระกูลผู้อพยพจากประเทศฟิลิปปินส์และทำงานหาเช้ากินค่ำเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าร้างกันไปตั้งแต่ที่เขายังเด็ก
“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครอบครัวของเราไม่มีอะไรกินเลย คุณแม่จึงเจียดเงินก้อนหนึ่งไปซื้อถั่วมาต้มให้เรากินทั้งสัปดาห์ แต่โชคไม่ดีที่เธอเผลอทำมันไหม้ เราเลยต้อฝืนกินมันไปทั้งแบบนั้น เพราะเราไม่มีเงินไปซื้ออะไรอีกแล้ว” เขาเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่ช่วยผลักดันให้ต้องลุกขึ้นสู้เสมอ
สังคมรอบตัวของเขาในขณะนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกบ้านในเวลากลางคืน เพราะมันเต็มไปด้วยอันธพาล ยาเสพติด และการปล้นชิง การเห็นศพถือเป็นเรื่องธรรมดา เขาเคยเห็นการฆาตรกรรมเต็มสองตาที่สวนหน้าบ้านตั้งแต่อายุไม่ถึงเก้าปีด้วยซ้ำ ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้เองจึงไม่แปลกที่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งอาชญากรรม
“แม่ของผมบอกว่าถ้าผมยังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ผมต้องตายแน่นอน เพราะผมถูกจับแทบทุกวันด้วยข้อหาชกต่อยบ้าง ขโมยรถบ้าง หรืออะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กอายุ 12 ปี พอจะทำได้ และเธอคือคนที่ต้องไปพาตัวผมกลับมาจากสถานีตำรวจเสมอ”
อย่างไรก็ตามเขายอมรับว่าการปล้นชิงถือเป็นการเล่นซนตามมุมมองของเด็กที่เกิดและเติบโตในสังคมแบบนั้น เขาไม่ได้ปล้นเพื่อเอาเงินทอง แต่เขาแค่ขโมยของเล่น เสื้อกันหนาว หรืออะไรก็ตามที่เขาไม่มีปัญญาซื้อได้เอง
วงจรเหล่านี้หมุนเวียนไม่จบสิ้น เขายังคงเข้าออกเรือนจำนับครั้งไม่ถ้วนจนกระทั่งถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเล่นกล้ามเพื่อหวังจะเอาดีทางด้านเพาะกาย รวมถึงได้ทำอาชีพเสริมเป็นบอดี้การ์ดตามไนต์คลับ และจากเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาได้พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อบอทิสตาได้พบกับสองนักมวยปล้ำระดับตำนานอย่าง Mr. Perfect และ Road Warrior Animal โดยบังเอิญที่โรงยิม ทั้งคู่ประทับใจในรูปร่างของบอทิสตาตั้งแต่แรกเห็น จึงแนะนำให้เขาลองไปสมัครเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ แถมยังมั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องกลายเป็นเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคตแน่นอน
จากแมลงสาปสู่สัตว์ประหลาดแห่งวงการมวยปล้ำ
เขาเริ่มเส้นทางสายมวยปล้ำด้วยการไปคัดตัวกับ WCW สมาคมนักมวยปล้ำชั้นนำในยุค 90s แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แถมยังถูกไล่ออกด้วยข้อหา “ไร้ใจในการฝึก” อย่างไรก็ตามเขาได้เล่าในหนังสือชีวประวัติของตนเองว่า ปัญหาจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาหรอก แต่เป็นความผิดพลาดของผู้สอนอย่าง Sgt. Buddy Lee Parker มากกว่า เพราะแทนที่การคัดตัวจะเน้นไปที่เรื่องของทักษะ แต่มันกลับเป็นการเล่นสนุกและถ่มถุยของทีมงานเสียมากกว่า โดยจุดที่เขารับไม่ได้เลยก็คือการถูกจับไปฝึกบนอ้วกของคนที่ฝึกไม่ไหวและต้องตะโกนว่า “ฉันคือแมลงสาปที่ใกล้จะตาย” ไปพร้อมๆ กัน
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับ WCW แต่การคัดตัวครั้งนั้นก็ทำให้เขารู้ตัวว่าตนเองอยากเป็นนักมวยปล้ำแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจังจนกระทั่งได้เซ็นสัญญากับ WWE อีกหนึ่งสมาคมนักมวยปล้ำชั้นนำของโลก ก่อนที่จะถูกส่งไปที่ค่ายพัฒนาทักษะชื่อ OVW เพื่อขัดเกลาฝีมือและเริ่มขึ้นปล้ำในนาม Leviathan โดยรับค่าจ้างเพียง 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์ ทั้งนี้เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับตำนานนักมวยปล้ำในปัจจุบันอย่าง John Cena รวมถึง Brock Lesnar อดีตแชมป์ UFC อีกด้วย
จะว่าเป็นพรสวรรค์ผสานกับความตั้งใจอันแน่วแน่ก็ได้ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถคว้าแชมป์เฮฟวีเวตของ OVW ได้หนึ่งสมัย
ในที่สุดเขาก็ถูกเรียกตัวกลับไปที่ WWE และเปลี่ยนชื่อปล้ำเป็น Batista ก่อนถูกเลือกให้เข้าร่วมกลุ่มที่ทรงพลังที่สุดแห่งทศวรรษอย่าง Evolution ร่วมกับ Randy Orton, Triple H, และ “The Nature Boy” Ric Flair ซึ่งกลุ่มนี้เองที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
เป็นธรรมดาที่เส้นทางแห่งความสำเร็จมักไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะทันทีที่บอทิสตาได้เข้าร่วมกลุ่ม Evolution เขาก็เจออาการบาดเจ็บเล่นงานจนต้องพักยาวทันที ทาง WWE ซึ่งคาดหวังให้กลุ่มนี้มีอิทธิพลสูงสุดในวงการจึงต้องรีบคิดแผนสำรองเพื่อให้เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไปได้ แผนดังกล่าวคือการตัดเขาออก และเพิ่มสมาชิกใหม่อย่าง Mark Jindrak เข้าไปแทน
อย่างไรก็ตามเมื่อสมาคมได้อัดคลิปโปรโมตสมาชิกใหม่เรียบร้อยแล้ว หัวเรือใหญ่ของกลุ่มอย่าง Triple H กลับมองว่าการรอให้บอทิสตากลับมาน่าจะดีกว่า เพราะสมาชิกใหม่ดูจะเคมีไม่ตรงกับคนอื่นในกลุ่มเท่าไรนัก สมาคมจึงลองพิจารณาเรื่องนี้ดูอีกครั้งและเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เขาจึงได้กลับมาเป็นสมาชิกของกลุ่มอีกครั้ง และประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอด 20 ปีในวงการมวยปล้ำจนถูกเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศในท้ายที่สุด
(หมายเหตุ: เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้พิธีมอบรางวัลของเขาถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด)
เส้นทางใหม่
หลังจากทำทุกอย่างไปแล้วในวงการมวยปล้ำ เขาขึ้นปล้ำแมตช์สุดท้ายของตนเองในศึก WrestleMania 35 และผันตัวมาเป็นนักแสดงอย่างเป็นทางการ มาถึงตรงนี้หลายคนเชื่อว่าเขาต้องการเดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง The Rock ผู้ที่เคยออกมายอมรับว่าทักษะมวยปล้ำอาชีพและการแสดงออกต่อหน้าคนหมู่มากเป็นประโยชน์มากๆ ต่ออาชีพนักแสดง แต่บอทิสตากลับมองเรื่องนี้ต่างออกไป เขาอยากลบภาพนักมวยปล้ำของตนออกไปทั้งหมด ต่างจาก The Rock ที่ทุกวันนี้ก็ยังมีกลิ่นอายของนักสู้บนสังเวียนผ้าใบ
“ผมแตกต่างจาก The Rock และ John Cena เพราะพวกเขาคือนักมวยปล้ำที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง ต่างจากผมที่เป็นนักแสดงเต็มตัวแต่แค่เคยเป็นนักมวยปล้ำมาก่อนเท่านั้น ผมไม่สนใจภาพยนตร์แบบ Fast & Furious หรือ Bumblebee เลย ผมอยากได้บทดีๆ หรือร่วมงานกับผู้ชนะออสการ์มากกว่า […] ผมไม่อยากเป็นแค่คนตัวใหญ่ที่โผล่มาพูดอะไรเท่ๆ ฆ่าศัตรูเยอะๆ และเป็นที่โปรดปรานของสาวๆ แต่ผมอยากเป็นนักแสดงที่ทำให้ผู้ชมร้องไห้ ทำให้พวกเขาขบคิด ตลอดจนให้พวกเขาได้แรงบันดาลใจกลับไป”
ในฐานะของแฟนมวยปล้ำ “The Animal” Batista ถือเป็นคนที่มีของ (it factor) เปรียบง่ายๆ ว่าเป็นคนที่มีพลังงานบางอย่างดึงดูดให้ผู้ชมสนใจและติดตามผลงานของเขาในทุกๆ สัปดาห์ ดังนั้นแม้เส้นทางของ เดฟ บอทิสตา ในวงการภาพยนต์ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เชื่อว่าด้วยความตั้งใจที่ไม่เคยจางหาย พลังงานดังกล่าวก็คงสามารถทำหน้าที่แบบเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในวงการมวยปล้ำ
จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากวันหนึ่งเราจะได้เห็นเขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์เทียบเคียงกับ The Rock หรือแม้แต่ก้าวไปคว้ารางวัลออสการ์อย่างที่หวัง แม้จะดูไกลตัวอยู่บ้างในปัจจุบันก็ตาม
Content by Prachaphoom Boonyatud