อยู่ดีๆ ก็อยากร้าวราน อยากจะน้ำตาคลอ
ใช้ชีวิตสดใสอยู่ดีๆ พี่โจจิกลับมาก็ฟังเนื้อหาโศกๆ ตอกย้ำความแหว่งวิ่นของตัวเองเสียหน่อย จมไปกับทำนองและบาดแผลเก่าๆ เรามันดีไม่พอ ความรักเก่ามันจบไปแล้ว โลกสิ้นสุดแล้ว
ความเศร้าเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่มนุษย์เราเข้าไปสำรวจ ทั้งในโลกของวรรณกรรม บทกวี บทเพลงต่างๆ เรามีละครโศก มีเพลงเศร้า มีหนังที่พาให้น้ำตาเราท่วม และมีเจ้าพ่อเช่นพี่โจจิที่ทั้งใช้ทำนองและเนื้อหา พาเรากลับไปเปิดบาดแผลความรู้สึก ซึ่งบางครั้ง เราเองก็ไม่ได้มีแผลหรือประสบการณ์อะไรให้เศร้า
ในแง่นี้ ความเศร้าจึงเป็นความบันเทิงสำคัญ ในพื้นที่ของบันเทิงคดี ทั้งๆ ชีวิตเราไม่อยากจะเศร้า แต่เราก็มักจะพาตัวเองไปสำรวจความเศร้าจำลอง ไปสร้างความผูกพันหรือความรู้สึกของเรื่องราวของคนอื่น ของตัวละครต่างๆ หัวเราะและแน่นอนร้องไห้ไปกับเรื่องราวเหล่านั้น

เมื่อเราจะสนทนาเรื่องความเศร้า ต้องชี้แจงก่อนว่าความเศร้าก็มีหลายระนาบ มีหลายถ้อยคำ หลายนัยมิติ แต่เดิมเรามักพูดถึงความเศร้า โดยเฉพาะคำว่า ‘โหยหาอาลัย (Melancholia)’ ซึ่งมีนัยไปทางลบ เป็นความโศกเรื้อรัง บางครั้งไม่มีต้นเหตุแน่ชัด แต่เมื่อลองสำรวจทบทวนแล้ว ในความเศร้าแบบความโศกาอาลัย เป็นความเศร้าที่มักเกี่ยวข้องกับการคำนึงสิ่งดีๆ ที่เราโหยหา นึกถึงสิ่งอัน ห้วงเวลาหรือความรู้สึกนั้นๆ ให้กลับมา
ความโศกาของการคิดคำนึงนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความเศร้าที่เจือไว้ด้วยความรื่นรมย์ การกลับไปเปิดปากแผล หรือมองเห็นสิ่งดีๆ ที่เคยมีมา หรือหวังให้มี จึงเป็นความรู้สึกที่คละเคล้าที่ในที่สุด ทำให้เรามองเห็นความงามในความอจีรังของมนุษย์เรา
กายวิภาคของความอาลัย
คำว่า Melancholy เป็นอีกคำที่มีความหมายซับซ้อน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะความรู้สึกของเราก็ซับซ้อนด้วย รากความคิดของคำมาจากการนิยามอาการเจ็บป่วยซึ่งสืบสาวไปได้ยาวนานถึงสมัยกลาง คือคำว่า Melancholy เป็นโรคอย่างหนึ่ง มีอาการซึ่งสัมพันธ์กับไปบุคลิกของคนคนนั้น คือเป็นคนหม่นเศร้า ในการแพทย์สมัยนั้นเชื่อเรื่องสมดุลของของเหลวสีต่างๆ ในร่างกาย ลักษณะคนเศร้าเชื่อว่ามาจากการที่คนคนนั้นมีน้ำดีสีดำ (Black bile) มากกว่าของเหลวอื่นๆ อย่างเลือดสีแดง น้ำดีสีเหลือง และเสมหะสีเขียว
แนวคิดเรื่อง Melancholy จึงเป็นรากฐานหนึ่งทั้งทางความคิดซึ่งถ่ายทอดต่อมาในสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยา กลายเป็นแกนความคิดเรื่องอารมณ์ความรู้สึก มีงานศึกษาเรื่องความโศกาเช่น กายวิภาคของความโศก (The Anatomy of Melancholy) ในศตวรรษที่ 17 ความโศกในขณะนั้นเป็นอาการป่วย แต่ก็มีการสำรวจนัยที่น่าสนใจเช่น คนโศกา (Melancholic) ก็อาจจะมีแง่มุมลึกซึ้งและมีสุขใจ เป็นผู้ที่ซึมซาบในความงามต่างๆ เป็นผู้เสาะแสวงหาสันโดษในป่าเขา ซึ้งซ่านไปกับท่วงทำนองและดนตรี รวมถึงจมไปกับกระแสความคิด
บางส่วนของงานศึกษากายวิภาคความเศร้าซึ่งรวบรวมนัยของความเศร้าในตัวบทและกระแสความคิดต่างๆ เอาไว้ พูดถึงตัวละครของเชคสเปียร์ซึ่งมีตัวละครที่นิยามตัวเองว่าเป็นคนโศก บางตัวละคร เช่น The melancholy Jaques จากบทละครตามใจท่าน (As You Like It) ถึงบอกว่าความโศกนั้น ดีกว่าเสียงหัวเราะด้วยซ้ำ (I do love it better than laughing)
ตัวละคร Jaques ฟังดูจะเป็นโจจิและแฟนโจจิแบบเราๆ
ที่ชอบดำดึ่งไปกับความเศร้าตามลำพังมาตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
เมื่อความเศร้ากลายเป็นสุข
จากกายวิภาคของความเศร้า ในงานศึกษาของศตวรรษที่ 21 (ปี 2003) เอง ก็มีงานศึกษาที่ชี้ให้เห็นสุทรียศาสตร์ของความโหยหาอาลัยนี้ ในงานศึกษา Melancholy as an Aesthetic Emotion พยายามแยกแยะความรู้สึกโศกาอาลัย ออกจากคำอื่นเช่น Sadness หรือ Depressing
หัวใจหนึ่งของความโศกาอาลัย ก็ตรงกับการเลือกคำว่าอาลัย การแปลในบทความนี้ คือนัยของความโศกาอาลัย มักเชื่อมโยงกับคนหรือสถานที่ที่มีความหมายกับเรา เราคิดถึงไมตรีที่ดีงาม นึกถึงช่วงเวลาที่สวยงาม นึกถึงบ้าน ถึงที่อยู่ที่กิน ถึงบางส่วนในความทรงจำ ที่เราขุดคุ้ยมันขึ้นมา
ตรงนี้เองที่ผู้วิจัยชี้ว่าความรู้สึกโศกาอาลัยมีความประณีตมากกว่าความเศร้าโดยทั่วไป ความเศร้าที่เต็มไปด้วยความนึกถึงจึงมีความรื่นรมย์ (pleasure) มีรสขมอมหวานเจือปน ความโศกาอาลัยจึงเป็นคำที่พ้องไปกับความรู้สึกสำคัญของมนุษย์คือความรัก ความคำนึง ความคิดถึง และความห่วงหา
ดังนั้น ในมิติที่ซับซ้อนของ ‘อารมณ์’ คำว่าอารมณ์ในแง่นี้ไม่ใช่แค่การหลั่งไหลของอารมณ์ แต่เป็นความรู้สึกที่มีการคิดทบทวน (reflection) อย่างการคิดทบทวนถึงความทรงจำต่างๆ ซึ่งการมองย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราว ความรู้สึก หรือความทรงจำใดๆ การใคร่ครวญสิ่งต่างๆ จากระยะไกลๆ ถือเป็นกระบวนการทางสุนทรียะอย่างหนึ่ง เป็นความงามอย่างหนึ่ง
นอกจากการย้อนกลับไปหาช่วงเวลาดีๆ ในอดีต ภาวะโศกาอาลัย ยังถือเป็นขั้นตอนความรู้สึกของมนุษย์ในการรับมือความสูญเสีย คือเมื่อเราเปลี่ยนการพบพานความสูญเสียหรือความเศร้าเสียใจ ในจุดที่เราสามารถย้ายความสูญเสียให้กลายเป็นความทรงจำที่ดี จากความเศร้าปะทุอยู่ค่อยๆ สงบ และเราเริ่มเก็บงำหรือจดจำไว้ในฐานะสิ่งที่มีความสวยงามเจือปน

ไหนๆ เราเปิดด้วยโจจิ เราจะเห็นว่าความดำดึ่งในเนื้อหาของโจจิ ค่อนข้างสอดคล้องกับความเศร้าแบบโศกาอาลัย เขามักจะพูดถึงช่วงเวลาที่สวยงาม หรือการสูญเสียที่ผ่านพ้นไปแล้ว การคนความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา และพูดถึงถ้อยคำที่ทิ่มแทงใจเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา ในท่วงทำนองที่เนิบช้า ยิ่งใหญ่ และสวยงาม ความงดงามอย่างหนึ่งของความเศร้าแบบนี้ คือการที่เรายอมให้ความรู้สึกของเรากลับไปจมและกลมกลืนกับความเศร้า ในฐานะส่วนหนึ่งของเรา ของบาดแผลของเรา และของตัวตนของเรา
ท้ายที่สุด การเสพความเศร้า ยังคงยืนอยู่บนหลักการสำคัญของสุนทรียะ คือการที่เราเรียกความรู้สึกที่ผ่านพ้นไปแล้ว และเราไม่ได้อยู่ในภาวะที่เราเศร้าอยู่โดยแท้จริง เป็นความเศร้าจำลองไม่ว่าจะมาจากการกลับไปสำรวจอดีต หรือการสำรวจในจินตนาการจากเรื่องราวต่างๆ หมายความว่าในความเป็นจริง เรายินดีที่จะจมลง โดยที่รู้ดีว่าเรายังปลอดภัย
นอกจากการยินดีที่ท่วมท้นทางอารมณ์แล้ว การสัมผัสความรู้สึกเศร้าที่มีนัยของความโหยหาอาลัย นัยสำคัญของการที่เราเรียกสิ่งที่ผ่านไปแล้วกลับขึ้นมาให้เคลื่อนไหวอีกครั้ง นัยของความเศร้านี้ สัมพันธ์กับการที่มนุษย์เรากำลังสัมผัสความรู้สึกของความเปลี่ยนผ่าน เป็นการมองเห็นความงามของสิ่งที่ผ่านพ้นไป เป็นความเศร้าและความรื่นรมย์ ในการมองเห็นสัจธรรมในความเป็นมนุษย์
คือความไม่จีรังในสิ่งใด
อ้างอิงจาก